ข่าว
โจรโรคจิตแอบถ่ายลูกสาวอาบน้ำ พ่อสุดแค้น! สั่งติดป้ายประจาน

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจรัญ คุ้มจิตร และนางอรษา อุ่นใจ สองสามี-ภรรยา ในหมู่ 13 ต.เกาะพลับพลา อ.เมือง จ.ราชบุรี ได้มีการว่าจ้างให้ช่างเขียนป้ายมีข้อความว่า “โปรดระวัง แถวนี้มีโจรชั่ว โรคจิต” ติดไว้ที่ด้านหน้าบ้าน หลังจากเมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมาได้มีโจรโรคจิตใช้โทรศัพท์มือถือส่องขึ้นมาทางรูคานไม้ช่องกระเบื้องหลังคาบริเวณหลังห้องน้ำ เข้าไปแอบถ่ายลูกสาวขณะเข้าห้องน้ำหลายครั้ง จนถึงขณะนี้ยังจับตัวไม่ได้ มีแต่รองเท้าทิ้งไว้ให้ดูเป็นหลักฐาน

นายจรัญกล่าวว่า ลูกสาวใช้ห้องน้ำทุกวัน กลัวมากจนวิ่งร้องไห้ เข้าใจว่าคนพวกนี้ไม่มีอะไรทำ จ้องแต่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งที่ทำมาหากินสุจริตแต่ต้องมาระวังกับคนพวกนี้ และตรงด้านหลังห้องน้ำมีทางเชื่อมต่อกับบ้านใกล้เคียง พวกนี้อยากรู้อยากเห็น เป็นมาหลายครั้งก็ยังจับตัวไม่ได้ พอรู้ตัวก็วิ่งหนีหายจนตามไม่ทัน

ด้านนางอรษากล่าวว่า ล่าสุดลูกสาวเจอโจรโรคจิตยื่นโทรศัพท์เข้ามาทางช่องหลังคาพอดีขณะที่กำลังแปรงฟัน ถึงรู้ว่ามีคนแอบถ่าย ลูกสาวตกใจส่งเสียงร้อง สามีได้ยินจึงรีบเข้าไปช่วย และได้แจ้งผู้ใหญ่บ้านให้ทราบ แต่ไม่สามารถแจ้งหน่วยงานใดได้เพราะยังไม่มีหลักฐาน พบแต่รองเท้าแตะสีดำจำนวน 1 คู่ แต่ทั้งคู่เป็นรองเท้าคนละเบอร์ คาดว่าใส่สลับกัน จึงคาดว่าเป็นคนแถวนี้ อยากประจานความเลวร้ายให้ชาวบ้านรู้และระวังตัว โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกสาว ซึ่งตอนนี้ต้องอยู่อย่างหวาดผวา ต้องคอยดูแลเวลาเข้าห้องน้ำ และตนได้จ้างช่างนำแผ่นยิปซัมอุดรูหลังคาเพื่อป้องกันอีกทาง พร้อมกับเขียนป้ายประจานแขวนไว้ที่หน้าบ้าน

“อยากฝากเจ้าหน้าที่ให้ช่วยสอดส่องหมู่บ้าน ช่วยกันสืบหาตัวโจรโรคจิตมาดำเนินคดี เพราะเป็นภัยสังคมที่ต้องร่วมมือกัน ทั้งนี้ หลังจากปิดป้ายดังกล่าว ได้มีชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง พอทราบข่าวต่างก็หวาดผวา โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกสาวจะต้องระวังเป็นพิเศษ” นางอรษา กล่าว

‘บิ๊กตู่’วอนปมสังฆราช ควรหยุดเคลื่อนได้แล้ว

“นายกฯ”วอนกลุ่มเคลื่อนไหวปมปัญหาตั้งสังฆราชองค์ใหม่ควรหยุดเคลื่อนได้แล้ว ชี้ไม่ควรนำปัญหาทางโลกทางธรรมมาโยงให้เกิดปัญหา

11มี.ค.59 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ“คืนความสุขให้คนในชาติ” ถึงปัญหาการแต่งตั้งสังฆราชองค์ใหม่ ว่า เรื่องนี้เป็นสำคัญอีก ซึ่งจริงๆแล้ว ตนไม่อยากพูดเรื่องนี้ แต่ตนเห็นว่ามีการเคลื่อนไหวหลายด้านด้วยกันในระยะหลัง หยุดเสียที ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นฆราวาสอะไรก็แล้วแต่ คนไทยอย่าลืมว่าคนไทยกว่า 90 % นับถือศาสนาพุทธ เราต้องทำให้คนไทยทั้ง 90% นั้นมีความเชื่อมั่น มีความศรัทธาอย่างแท้จริงในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะต้องนำมาสู่การปฏิบัติ ที่จะทำให้เกิดความสงบสุขในสังคม พระพุทธเจ้าคงไม่ต้องการสอนให้เอาพระธรรมมาทำให้เกิดความขัดแย้ง วินัยสงฆ์เป็นระเบียบปฏิบัติ เพื่อจะให้สงฆ์นั้นอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข กฎหมายของฆราวาส กฎหมายของประชาชนทั่วๆไป ทั้งพระทั้งฆราวาสทั้งประชาชนทุกกลุ่ม ก็คือประชาชนทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้นต้องเคารพกฎหมายโดยรวมของชาติด้วย เพราะงั้น แยกกันให้ออก อะไรทางโลก อะไรทางธรรมโยงกันไป โยงกันมาขัดแย้งกันไปตลอด แล้วจะอยู่กันยังไง สิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องกลับไปทบทวนว่าโลกใบนี้ บางพื้นที่พุทธศาสนาเกิดขึ้นก่อน ไปๆ มาๆ หายไปหมดเลย วันนี้เหลือประเทศไทยนี่ ค่อนข้างจะเป็นประเทศที่มีนับถือพุทธเยอะ เยอะมาก 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ทำไมเราไม่รักษาตรงนี้ให้ได้ 90 ล่ะ ทำไมจะต้องแบ่ง 90 เป็น 60 – 40 อะไรกันหรือไง ในภายใต้ของศาสนาพุทธอย่างเดียว ตนว่าไม่ใช่นะ ทุกศาสนาก็ต้องอยู่ร่วมกันได้ในประเทศไทย ท่านเป็นอัครศาสนูปถัมภก

"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งแล้วว่า ไม่ว่าคนจะนับถือศาสนาใด ถ้าอยู่ในประเทศไทยนะครับ เชื้อชาติไทย สัญชาติไทยนั้น พระองค์ก็ต้องทรงสนับสนุน ทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดียวกันนะครับ จะเลือกปฏิบัติไม่ได้ ไม่งั้นอีกฝ่ายก็เอากฎหมายนี้มาเล่นงานพวกข้างนี้ ข้างนี้เอากฎหมายอีกอันมาข้างนี้ ก็กฎหมายเดียวกันทั้งหมด จะทำยังไง กฎหมายสงฆ์ก็กฎหมายสงฆ์ กฎหมายฆราวาสก็กฎหมายฆราวาส แต่ทั้งพระฆราวาส อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐนะ ถ้าพร้อมเรียบร้อยก็ตั้งได้ทั้งหมดนะ ถ้าไม่พร้อมขัดแย้งอยู่อย่างนี้ อย่าแยกคน 90% ของเราออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์เล็ก เปอร์เซ็นต์น้อยเลย อย่าไปเกี่ยวกับเรื่องการเมือง น่าจะมีเบื้องหลังอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องของกลไกทางขบวนการยุติธรรมเขาตรวจสอบซิครับ ทำไมจะต้องใจร้อนอะไรกันขนาดนั้น บ้านเมืองกำลังจะปฏิรูป กำลังจะเลือกตั้ง เอ้าตีกันเรื่องพระ เรื่องอะไรอีก วุ่นวายไปหมดเลยนะ แต่ไม่เป็นไร ผมก็ยังสู้อยู่นะ ทำให้ท่าน แต่อย่าขัดแย้งก็แล้วกันนะ อย่าให้เขาใช้ประโยชน์ไปในเรื่องการเมืองด้วยนะครับ จะเข้าทางกับคนที่ไม่หวังดีที่เขากำลังทำอยู่ในวันนี้ " นายกฯ กล่าว


ป.ป.ช. ชี้มูลร่ำรวยผิดปกติ346 ล้าน. ส่งอัยการฟ้องยึดทรัพย์'ธาริต เพ็งดิษฐ'

เมื่อวันที่ 10 มี.ค.59 ที่ผ่านมา นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนกรณีการกล่าวหานายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่ำรวยผิดปกติ แถลงผลการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ว่าที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เสียงว่านายธาริต มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ จึงส่งคำร้องให้อัยการสูงสุดยื่นต่อศาลให้สั่งทรัพย์สินของนายธาริต คู่สมรสและผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวน 346 ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน

โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณารายงานผลการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า นายธาริต และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส มีทรัพย์สินจำนวนมาก หรือมีทรัพย์สินมากหรือมีหนี้สินลดลงมาก เกินกว่าฐานะและรายได้ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะพึงมีได้ อีกทั้งยังปรากฏพฤติการณ์โอน ยักย้าย แปรสภาพหรือซุกซ่อนทรัพย์สิน รวมทั้งให้บุคคลอื่นถือทรัพย์สินแทน

โดยพบว่า นายธาริตให้นายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ ซึ่งเป็นหลานชายของนายธาริต และนางวรรษมล และบริษัท ปิยธนวรรษ จำกัด ซึ่งมีนายปิยฤกษ์ และนางกานดา เผือดจันทึก น้องสาวของนางวรรษมล เป็นกรรมการบริษัท มีชื่อเป็นผู้ถือครองทรัพย์สินจำนวนมากแทนนายธาริต และนางวรรษมล

จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า นายธาริต ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 346,652,588 บาท โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือหนี้สินลดลงมากผิดปกติ

แต่เนื่องจากทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติดังกล่าวบางส่วนได้มีการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สิน ทำให้ไม่สามารถติดตามทรัพย์สินได้ คงเหลือทรัพย์สินที่นายธาริต ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำสั่งอายัดไว้เป็นการชั่วคราว จำนวน 90,260,687 บาท

ทรัพย์สินที่ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติในส่วนที่เหลือจำนวน 256,391,901.12 บาท ให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของนายธาริต และนางวรรษมล โดยให้ส่งรายงานและสำนวนการไต่สวนให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาล ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเพื่อขอศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 80 และมาตรา 83 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ด้านนายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนว่ามีข้าราชการระดับสูงสร้างบ้านที่เกรงว่าจะรุกล้ำเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเขาใหญ่ ป.ป.ช.จึงลงพื้นที่ตรวจสอบและพบว่าเจ้าของบ้านคือ ภรรยา ของนายธาริต จากนั้นป.ป.ช.ได้ดำเนินตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของนายธาริตที่เคยแสดงบัญชีต่อป.ป.ช.ว่ามีรายการดังกล่าวอยู่หรือไม่ ซึ่งไม่พบรายการดังกล่าว มีเหตุอันควรสงสัยว่าร่ำรวยผิดปกติ จึงตั้งอนุกรรมการไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐาน ต่อมาพบพฤติการณ์ยักย้ายแปรสภาพ ซุกซ่อนทรัพย์สินต่างๆ ป.ป.ช.จึงสั่งอายัดไว้ สองครั้ง จำนวน 90 ล้านบาท แล้วได้แจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งนายธาริต ได้มารับทราบข้อกล่าวหา แต่ไม่ยอมมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าไม่เข้าใจข้อกล่าวหาขออนุกรรมการไต่สวน และบอกว่าอนุกรรมการไม่ให้ความเป็นธรรม

ทั้งนี้ อนุกรรมการได้เปรียบเทียบรายได้ของธาริต ซึ่งพบว่ามีทรัพย์สินที่ป.ป.ช.พิจารณาว่าไม่มีที่มาที่ไป และมีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 346 ล้านบาท จึงมีมติชี้มูลความผิดกรณีร่ำรวยผิดปกติ

นายปรีชา กล่าวว่าสำหรับเสียงลงมติชี้มูลความผิดที่เป็นเอกฉันท์จำนวน 7 เสียงนั้น มีกรรมการ 2 คนที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม คือ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ ที่ติดภารกิจ และพล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง ที่ขอไม่เข้าร่วมประชุมเนื่องจากทนายความของนายธาริตมีนามสกุลเดียวกับพล.ต.อ.สถาพร จึงเกรงว่าจะมีส่วนได้ส่วนเสีย


เพื่อไทย ฟุ้ง ตอบโต้กต. คนก็รอฟังทักษิณมาก

“อนุสรณ์” โต้ “ดอน” ระบข้อมูลด้านเดียว ชี้ มีคนไทยในต่างแดนจำนวนมากอยากฟัง “แม้ว” พูด อัดอย่ามโน ยกเมฆ-ดิสเครดิตคนอื่นเพื่อหวังเอาใจคสช.

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุ มีคนไทยในต่างประเทศคัดค้านการขึ้นกล่าวที่สถาบันนโยบายโลกของนาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า นายดอน อาจได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือได้รับข้อมูลด้านเดียวจากฝั่งขาประจำ ข้อเท็จจริงคือ มีคนไทยในต่างประเทศและชาวต่างชาติจำนวนมาก อยากเข้าไปฟังการกล่าวในสถาบันนโยบายโลกของนายทักษิณ จนที่นั่งไม่เพียงพอ ซึ่งคณะผู้จัดได้จัดเตรียมการถ่ายทอดในช่องทางต่างๆ ซึ่งผู้สนใจก็สามารถติดตามรับฟังได้ในช่องทางต่างๆที่ผู้จัดเตรียมไว้ให้ได้อยู่แล้ว นายดอน อย่ามโน ยกเมฆส่งเดช ส่วนคนที่จะไปคัดค้านก็ไม่เป็นปัญหา ผู้จัดก็คงจัดเตรียมสถานที่สำหรับการคัดค้านไว้ให้เหมือนกับกรณี มีคนไปประท้วงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อครั้งเยือนสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาคงไม่ปล่อยให้กลุ่มนกหวีดขาประจำไปชัตดาวน์นิวยอร์ค ชัตดาวน์ระบบราชการ ชัตดาวน์สนามบินของเขาง่ายๆเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย

ดังนั้น ขอเพียงผู้คัดค้านอย่านำนิสัยชัตดาวน์ ที่เป็นพฤติกรรมถาวรติดไป ก็คงไม่เกิดปัญหาอะไร ดร.ทักษิณ ยังไม่ได้พูดอะไร นายดอนอย่ามโน วิตกจริต โอเวอร์แอคชั่น เพื่อเอาใจผู้มีอำนาจเกินเหตุ คนเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ชนะการเลือกตั้งแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทุกครั้ง ย่อมจะไม่ไปพูดอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติแน่นอน ปัญหาการเมืองภายในประเทศถือว่าจิ๊บจ๊อย เพราะวันนี้และที่ผ่านมานายทักษิณ พูดเพื่อนำเสนอข้อมูลวิชาการต่อระดับโลกแล้ว นายดอน เคยประจำที่สวิตเซอร์แลนด์ วอชิงตัน อยู่นิวยอร์ก 4 ปี เคยไปเยี่ยมเทพีแห่งสันติภาพสักครั้งหรือไม่ ทำไมไม่ซึมซับเอาจิตวิญญาณแห่งเสรีภาพ สิทธิขั้นพื้นฐาน และกระบวนการประชาธิปไตยมาบ้างเลย แม้แต่การประชุมรัฐมนตรีความร่วมมือเอเซียหรือเอซีดี ครั้งที่ 14 ที่โรงแรมเคมเปนสกี้ กรุงเทพมหานคร ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-10 มีนาคมนี้ นายดอน ทำไมไม่บอกประชาชนว่า คนที่ริเริ่มเอซีดี คือ นายทักษิณ นายดอน จะเลือกข้าง หรือพูดเพื่อเอาใจคสช.ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งนายดอนเข้ามารับตำแหน่ง เข้าใจได้ แต่อย่าให้ไกลถึงขั้นพูดความจริงครึ่งเดียว เพื่อมุ่งหวังใส่ร้าย ดิสเครดิตคนอื่น ถือว่า เสียราคานักการฑูต ที่ควรจะมีมาตรฐานคุณธรรม จริยธรรมสูงกว่านี้หรือไม่


"ทักษิณ"บรรยายที่นิวยอร์ก เตือนไทยตกขบวนเศรษฐกิจ

นายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในช่วงไฮไลต์ของการบรรยายที่งาน “สนทนาเป็นการส่วนตัวกับทักษิณ ชินวัตร” (Thaksin Shinawatra in Private Discussion) ซึ่งจัดโดยสถาบันนโยบายโลก (World Policy Institute) ที่นครนิวยอร์ก ของสหรัฐฯ ว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของไทยจะไม่สามารถวางโครงสร้างพื้นฐานในเชิงสถาบัน ที่จะส่งเสริมให้มีการลงทุน การผลิต และความร่วมมือระหว่างไทยกับต่างประเทศได้ เนื่องจากอาจเปิดช่องให้มีการแทรกแซงอำนาจฝ่ายบริหาร และ นิติบัญญัติ โดยอำนาจพิเศษของวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง และฝ่ายตุลาการ

“เมื่อพิจารณาถึงเค้าโครงของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันคงเป็นไปได้ยากที่จะได้มาซึ่งรัฐบาลที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและความท้าทายในศตวรษที่ 21 ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ได้กำหนดให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 200 คนซึ่งจะถูกแต่งตั้งโดย “ผู้เชี่ยวชาญ” วุฒิสภาจะมีอำนาจมากยิ่งขึ้นในการยับยั้งการออกพระราชบัญญัติต่างๆ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีขอบเขตอำนาจในการตัดสินคดีที่มากยิ่งขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจในการไต่สวนและวินิจฉัยคดี เมื่อมีบุคคลใดก็ตามได้ดำเนินการร้องเรียน โดยไม่ได้มีเงื่อนไขที่ว่ากรณีดังกล่าวต้องเป็นข้อพิพาทจริงที่องค์กรทางการเมืองหรือศาลอื่นได้ดำเนินการยื่นเรื่องแก่ศาลรัฐธรรมนูญ”นายทักษิณ กล่าว

“หากพวกเราคิดว่าหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย คือ รากฐานเพื่อการสร้างความเจริญเติบโตและเสถียรภาพของประเทศ หัวข้อสำคัญที่พวกเราต้องพิจารณาคงเป็นเรื่องที่ว่า อำนาจตุลาการจะล่วงล้ำอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารหรือไม่ เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารเศรษฐกิจของประเทศในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว ผมหวังว่าคงจะไม่มีการใช้อำนาจตุลาการที่เกินกว่าความจำเป็นอีกในอนาคต กรณีศึกษาในประเทศต่างๆ ได้แสดงให้พวกเราเห็นว่า การใช้อำนาจพิจารณาทบทวนโดยศาล โดยไม่ได้มีการถ่วงดุลและตรวจสอบ อาจกลายเป็นการใช้อำนาจอย่างไม่ เหมาะสมและเป็น “ยุทธวิธีเตะถ่วงงาน” จนสุดท้ายก่อให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ” อดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ กล่าว

อดีตนายกรัฐมนตรีแสดงวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจโลกในศตวรรษที่ 21 ว่า ควรให้ความสำคัญแก่การขยายความร่วมมือเพื่อสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกับประเทศคู่ค้าต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในเอเชีย ควรส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความมั่งคั่งให้แก่ประชาชนแบบระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาค เพราะความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีการผลิตแบบอุตสาหกรรมไปสู่ “สภาวะปกติใหม่ของโลกปัจจุบัน” หรือ “New Normal” จากรูปแบบ “การผลิตสินค้าในประเทศเดียว” สู่ “ระบบเครือข่ายการออกแบบ การสรรหาปัจจัยการผลิต และการผลิตที่มีลักษณะข้ามชาติ” และอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างมากโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย

“ประเทศไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความท้าทายของโลกในศตวรรษที่ 21 ได้ ตลอดช่วงกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง สัดส่วนมูลค่าการส่งออกต่อรายได้ประชาชาติของประเทศไทยและมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในประเทศไทยได้แสดงให้พวกเราได้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางของเศรษฐกิจไทยที่เชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นเข้ากับชะตากรรมของเศรษฐกิจโลก” นายทักษิณ เชื่อมโยงประเด็นสถานการณ์ไทย ที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับนานาชาติ

ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีน กับ สหรัฐฯ ที่มักถูกมองแบบเหมารวมว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน อดีตนายกฯไทยมองว่าการปกครองที่แตกต่างกัน ซึ่งนำไปสู่นโยบายเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศที่แม้จะเป็นคนละขั้ว แต่เป็นกระบวนการคู่ขนาน ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง จะสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมให้แก่ทั้งภูมิภาคเอเชียและโลกตะวันตก

"ทักษิณ"บรรยายที่นิวยอร์ก เตือนไทยตกขบวนเศรษฐกิจ

นายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในช่วงไฮไลต์ของการบรรยายที่งาน “สนทนาเป็นการส่วนตัวกับทักษิณ ชินวัตร” (Thaksin Shinawatra in Private Discussion) ซึ่งจัดโดยสถาบันนโยบายโลก (World Policy Institute) ที่นครนิวยอร์ก ของสหรัฐฯ ว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของไทยจะไม่สามารถวางโครงสร้างพื้นฐานในเชิงสถาบัน ที่จะส่งเสริมให้มีการลงทุน การผลิต และความร่วมมือระหว่างไทยกับต่างประเทศได้ เนื่องจากอาจเปิดช่องให้มีการแทรกแซงอำนาจฝ่ายบริหาร และ นิติบัญญัติ โดยอำนาจพิเศษของวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง และฝ่ายตุลาการ

“เมื่อพิจารณาถึงเค้าโครงของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันคงเป็นไปได้ยากที่จะได้มาซึ่งรัฐบาลที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและความท้าทายในศตวรษที่ 21 ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ได้กำหนดให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 200 คนซึ่งจะถูกแต่งตั้งโดย “ผู้เชี่ยวชาญ” วุฒิสภาจะมีอำนาจมากยิ่งขึ้นในการยับยั้งการออกพระราชบัญญัติต่างๆ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีขอบเขตอำนาจในการตัดสินคดีที่มากยิ่งขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจในการไต่สวนและวินิจฉัยคดี เมื่อมีบุคคลใดก็ตามได้ดำเนินการร้องเรียน โดยไม่ได้มีเงื่อนไขที่ว่ากรณีดังกล่าวต้องเป็นข้อพิพาทจริงที่องค์กรทางการเมืองหรือศาลอื่นได้ดำเนินการยื่นเรื่องแก่ศาลรัฐธรรมนูญ”นายทักษิณ กล่าว

“หากพวกเราคิดว่าหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย คือ รากฐานเพื่อการสร้างความเจริญเติบโตและเสถียรภาพของประเทศ หัวข้อสำคัญที่พวกเราต้องพิจารณาคงเป็นเรื่องที่ว่า อำนาจตุลาการจะล่วงล้ำอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารหรือไม่ เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารเศรษฐกิจของประเทศในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว ผมหวังว่าคงจะไม่มีการใช้อำนาจตุลาการที่เกินกว่าความจำเป็นอีกในอนาคต กรณีศึกษาในประเทศต่างๆ ได้แสดงให้พวกเราเห็นว่า การใช้อำนาจพิจารณาทบทวนโดยศาล โดยไม่ได้มีการถ่วงดุลและตรวจสอบ อาจกลายเป็นการใช้อำนาจอย่างไม่ เหมาะสมและเป็น “ยุทธวิธีเตะถ่วงงาน” จนสุดท้ายก่อให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ” อดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ กล่าว

อดีตนายกรัฐมนตรีแสดงวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจโลกในศตวรรษที่ 21 ว่า ควรให้ความสำคัญแก่การขยายความร่วมมือเพื่อสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกับประเทศคู่ค้าต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในเอเชีย ควรส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความมั่งคั่งให้แก่ประชาชนแบบระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาค เพราะความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีการผลิตแบบอุตสาหกรรมไปสู่ “สภาวะปกติใหม่ของโลกปัจจุบัน” หรือ “New Normal” จากรูปแบบ “การผลิตสินค้าในประเทศเดียว” สู่ “ระบบเครือข่ายการออกแบบ การสรรหาปัจจัยการผลิต และการผลิตที่มีลักษณะข้ามชาติ” และอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างมากโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย

“ประเทศไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความท้าทายของโลกในศตวรรษที่ 21 ได้ ตลอดช่วงกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง สัดส่วนมูลค่าการส่งออกต่อรายได้ประชาชาติของประเทศไทยและมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในประเทศไทยได้แสดงให้พวกเราได้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางของเศรษฐกิจไทยที่เชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นเข้ากับชะตากรรมของเศรษฐกิจโลก” นายทักษิณ เชื่อมโยงประเด็นสถานการณ์ไทย ที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับนานาชาติ

ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีน กับ สหรัฐฯ ที่มักถูกมองแบบเหมารวมว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน อดีตนายกฯไทยมองว่าการปกครองที่แตกต่างกัน ซึ่งนำไปสู่นโยบายเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศที่แม้จะเป็นคนละขั้ว แต่เป็นกระบวนการคู่ขนาน ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง จะสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมให้แก่ทั้งภูมิภาคเอเชียและโลกตะวันตก