ข่าว
'สปุตนิก ไลต์' วัคซีนตัวที่ 4 ของ 'รัสเซีย' ฉีดโดสเดียว-ป้องกันเกือบ80%

7 พฤษภาคม 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน กระทรวงสาธารณสุขของรัสเซีย พร้อมผู้พัฒนาและสนับสนุนสปุตนิก ไลต์ (Sputnik Light) วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) แบบฉีดโดสเดียว ประกาศว่ารัสเซียอนุมัติการใช้งานวัคซีนดังกล่าวภายในประเทศแล้ว

แถลงการณ์ร่วมระบุว่าข้อมูลที่รวบรวมหลังการฉีดนาน 28 วัน บ่งชี้ว่าวัคซีนสปุตนิก ไลต์ มีประสิทธิภาพร้อยละ 79.4 ขณะสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ด้านระบาดวิทยาและจุลชีววิทยากามาเลยาที่เป็นผู้พัฒนาวัคซีนข้างต้นเผยว่า วัคซีนผ่านการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพป้องกันเชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ทั้งหมด และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง

การศึกษาทางคลินิกระยะที่ 3 ซึ่งครอบคลุมผู้คน 7,000 คน อยู่ระหว่างดำเนินการในหลายประเทศ อาทิ รัสเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกานา โดยคาดว่าจะได้รับผลลัพธ์ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้

แถลงการณ์ร่วมเผยว่าวัคซีนสปุตนิก ไลต์ จะมีราคาต่ำกว่า 10 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 310 บาท) ทั่วโลก และมีขั้นตอนการจัดเก็บและขนส่งที่สะดวก

“วัคซีนสปุตนิก ไลต์ มีประสิทธิภาพตั้งแต่ฉีดครั้งแรกหรือกลับมาฉีดซ้ำ รวมถึงเพิ่มพูนประสิทธิภาพเมื่ออใช้ร่วมกับวัคซีนชนิดอื่นด้วย” อเล็กซานเดอร์ จินต์สเบิร์ก ผู้อำนวยการสถาบันฯ กล่าว

ก่อนหน้านี้รัสเซียได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนสปุตนิก ไฟว์ (Sputnik V) เอพิวัคโคโรนา (EpiVacCorona) และโควิแวค (CoviVac) แล้ว อีกทั้งเริ่มต้นการผลิตวัคซีนคาร์นิแวค-คอฟ (Carnivac-Cov) ขนานใหญ่ ซึ่งเป็นวัคซีนตัวแรกของโลกที่ใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ในสัตว์

ฉาวอีก อดีตผู้นำมาเลย์ถูกปรับฐานฝ่าฝืนมาตรการโควิด

อดีตผู้นำมาเลเซียถูกปรับเป็นเงินกว่า 2 หมื่นบาท ฐานละเมิดกฎควบคุมการระบาดของโควิด-19 โดยไม่ยอมลงทะเบียนและวัดอุณหภูมิก่อนเข้าใช้บริการในร้านอาหาร

นายนาจิบ ราซัค อดีตผู้นำมาเลเซีย งานเข้าต่อเนื่อง หลังยังมีคดีค้างเก่าติดตัวจากเรื่องอื้อฉาวกรณีหลบเลี่ยงภาษีกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในกองทุน 1MDB ล่าสุดนายนาจิบ ราซัค วัย 67 ปี มีเรื่องให้ตกเป็นข่าวอีกครั้ง โดยได้ฝ่าฝืนมาตรการคุมเข้มโควิด ไม่ยอมลงทะเบียนและวัดอุณหภูมิก่อนเข้าใช้บริการในร้านอาหาร จนถูกปรับเป็นเงินถึง 3 พันริงกิต หรือประมาณ 22,000 บาท

โดยการสั่งปรับครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากมีคนโพสต์คลิปลงในโซเชียลมีเดีย ขณะที่อดีตผู้นำมาเลเซียและผู้ติดตามเดินออกจากรถเข้าไปในร้านข้าวมันไก่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยไม่มีการลงทะเบียนและตรวจวัดอุณหภูมิ จนนำไปสู่การสอบสวนของตำรวจ ซึ่งนายราซัคโพสต์เฟซบุ๊ก ยอมรับว่าเขาทำผิดจริง และยอมเสียค่าปรับแต่โดยดี ขณะที่เจ้าของร้านข้าวมันไก่ก็ถูกสั่งปรับ 1 หมื่นริงกิต หรือประมาณ 76,000 บาท ฐานละเลยให้ผู้ใช้บริการละเมิดมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด

นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินคดีกับรัฐมนตรีที่ละเมิดกฎ ด้วยการเดินทางข้ามเมืองไปร่วมงานแต่งงานอย่างผิดกฎหมายด้วย

ที่มา : แชนแนลนิวส์เอเชีย


ฟิลิปปินส์คุมเข้มการเดินทางเข้าประเทศ สกัดโควิดกลายพันธุ์

7 พ.ค. 2564 : ฟิลิปปินส์ขยายเวลาในการกักตัวนักเดินทางที่จะเข้ามาในประเทศ เป็นอย่างน้อย 14 วัน จากเดิมที่กักตัวเพียง 1 สัปดาห์ เพื่อหวังสกัดการระบาดของโควิด-19 กลายพันธุ์

โดยตามมาตรการกักตัวล่าสุด จะมีผลกับทั้งผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และได้รับวัคซีนต้านโควิดแล้ว โดยจะต้องกักตัวในสถานที่ที่ภาครัฐจัดให้ในช่วง 10 วันแรก ส่วนอีก 4 วัน จะเป็นบ้านหรือที่พักของตัวเอง โดยนักเดินทางทุกคนจะได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในวันที่ 7 หลังจากเดินทางมาถึง ซึ่งแม้ว่าผลตรวจจะเป็นลบ ก็ยังต้องกักตัวให้ครบตามกำหนด

ฟิลิปปินส์นับเป็นชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สถานการณ์การระบาดของโควิดวิกฤติหนักเป็นอันดับต้นๆ ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่อยู่ในหลักล้าน และยังมีการตรวจพบเชื้อกลายพันธุ์ทั้งสายพันธุ์อังกฤษและแอฟริกาใต้ และเสียชีวิตมากกว่า 18,000 ศพ

โดยล่าสุดทางฟิลิปปินส์ได้ออกมาตรการห้ามนักเดินทางจาก อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา เนปาล บังกลาเทศ เข้าประเทศ เพื่อหวังสกัดการระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียแล้ว หลังจากที่พบผู้โดยสารถึง 5 คน ที่มีประวัติเดินทางไปอินเดีย ติดเชื้อโควิด-19 เมื่อเดือนก่อน ซึ่งมีการนำตัวอย่างเชื้อไปตรวจสอบแล้วว่าเป็นสายพันธุ์ใด

ขณะเดียวกัน ทางการฟิลิปปินส์ได้อนุญาตให้เรือบรรทุกสินค้า ที่เดินทางมาจากอินเดียเข้าจอดเทียบท่าได้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (6 พ.ค.64) เพื่อช่วยทำการรักษาลูกเรือชาวฟิลิปปินส์ 12 จาก 21 คนที่ติดเชื้อ

โควิดด้วย ในจำนวนผู้ป่วย 12 ราย พบว่ามี 2 คนที่อาการสาหัส และต้องเคลื่อนย้ายตัวไปรักษาในโรงพยาบาล ส่วนคนที่เหลือยังคงรักษาตัวและสังเกตอาการอยู่บนเรือ

ที่มา : แชนแนลนิวส์เอเชีย


'ญี่ปุ่น' จ่อต่อเวลา-ขยายพื้นที่ภาวะฉุกเฉิน รับมือโควิด-19 ระลอกสี่

7 พฤษภาคม 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ยาสุโตชิ นิชิมูระ รัฐมนตรีด้านการรับมือโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ของญี่ปุ่น เปิดเผยว่าญี่ปุ่นจะขยายระยะเวลาของภาวะฉุกเฉินจากโรคโควิด-19 ที่ปัจจุบันครอบคลุมจังหวัดโตเกียว โอซากา เกียวโต และเฮียวโงะ จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม

นิชิมูระ ระบุว่าญี่ปุ่นจะประกาศเพิ่มจังหวัดไอจิ และฟุกุโอกะเป็นพื้นที่ภายใต้มาตรการฉุกเฉินตั้งแต่วันพุธ (12 พ.ค.) โดยการตัดสินใจนี้จะทำให้ผู้ว่าการและทางการท้องถิ่นสามารถบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเพิ่มเติม โดยทั้งหมดจะมีผลเป็นทางการภายในช่วงบ่ายวันศุกร์ (7 พ.ค.)

เมื่อวันพฤหัสบดี (6 พ.ค.) เจ้าหน้าที่รัฐบาลระบุว่าโยชิฮิเดะ สุงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จะประกาศภาวะฉุกเฉินในจังหวัดไอจิและฟุกุโอกะ พร้อมยืนยันการขยายระยะเวลาของภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ที่มีการบังคับใช้ในปัจจุบันในวันศุกร์ (7 พ.ค.)

“รัฐบาลจะหารือกับคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาของภาวะฉุกเฉินในวันศุกร์ เราจะตัดสินใจระยะเวลาและพื้นที่ในการบังคับใช้มาตรการนี้” สุงะกล่าว

เจ้าหน้าที่รัฐบาลระบุว่าจังหวัดที่อยู่ภายใต้ภาวะกึ่งฉุกเฉินในปัจจุบันอันได้แก่ ไซตามะ ชิบะ คานางาวะ เอฮิเมะ และโอกินาวะ จะถูกขยายระยะเวลาจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมเช่นกัน และจะเพิ่ม 3 จังหวัด ได้แก่ ฮอกไกโด กิฟุ และมิเอะ เข้าอยู่ภายใต้ภาวะกึ่งฉุกเฉินด้วย

ญี่ปุ่นประกาศภาวะกึ่งฉุกเฉินในพื้นที่ข้างต้น โดยอ้างอิงกฎหมายที่มีการแก้ไขเพื่อให้รัฐบาลกลางสามารถประกาศภาวะกึ่งฉุกเฉิน ช่วยให้หน่วยงานรัฐสามารถดำเนินมาตรการพิเศษเพื่อต่อต้านโรคระบาดในพื้นที่ที่เกือบถูกจัดเป็นภาวะฉุกเฉิน

แม้ญี่ปุ่นจะประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นครั้งที่ 3 แต่ผู้ว่าการบางจังหวัดที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ากระบวนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของรัฐบาลกลางมีความล่าช้า ยังคงเชื่อว่ามาตรการต่อต้านโรคโควิด-19 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันไม่สามารถต้านทานการแพร่ระบาดระลอกที่ 4 ในเวลานี้ได้

ยูริโกะ โคอิเกะ ผู้ว่าการกรุงโตเกียว แสดงความกังวลเกี่ยวกับยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ติดเชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ ที่มีอัตราการติดเชื้อสูง โดยโคอิเกะเชื่อว่าสถานการณ์ในโตเกียวอยู่ในระดับรุนแรงและยังเร็วเกินไปจะยกเลิกภาวะฉุกเฉิน

เมื่ออ้างอิงจากการวิเคราะห์ในหลายด้านแล้ว เราเชื่อว่าจำเป็นต้องขยายระยะเวลาของภาวะฉุกเฉินต่อไปก่อน” โคอิเกะกล่าว


‘ไบเดน’ อัดงบเกือบ 9 แสนล้านบาท เยียวยาพิษโควิดธุรกิจร้านอาหาร

7 พ.ค. 2564 เว็บไซต์ นสพ.The Sun ของมาเลเซีย เสนอข่าว It’s a wrap: Biden buys tacos in boost for US restaurants ระบุว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เดินทางไปยังร้านอาหารเม็กซิกัน ตาเกเรีย ลาส เกเมลาส (Taqueria Las Gemelas) ในกรุงวอชิงตัน ดีซี เพื่อซื้อทาโก (Taco) อาหารประจำชาติของเม็กซิโกรับประทาน

การปรากฏตัวของ ไบเดน ในครั้งนี้ สอดคล้องกับการที่เขาพยายามผลักดันมาตรการเยียวยาธุรกิจร้านอาหารที่เพิ่งเริ่มประกอบการ โดยจัดงบประมาณไว้ 2.86 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 8.9 แสนล้านบาท เนื่องจากร้านอาหารเป็นหนึ่งในกิจการที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 และวันดังกล่าวที่ ไบเดน อยู่ในร้านอาหารอันเป็นส่วนหนึ่งของผู้ย้ายถิ่นชาวเม็กซิกัน เขาก็ได้สั่งทาโกมาเป็นอาหารกลางวัน

จอช ฟิลลิปส์ (Josh Phillips) เจ้าของร่วมของร้านดังกล่าว เปิดเผยว่า ผู้นำสหรัฐฯ สั่งทาโก 4 ชิ้น และเคซาติญา (Quesadilla) อีก 2 ชิ้น กับไส้กรอกโชริโซ (Chorizo) และซอสฮาวาเนโร ซัลซา (Habanero Salsa) เมื่อสั่งแล้ว ไบเดน ยังหันไปพูดแบบติดตลกกับเจ้าหน้าที่ผู้ติดตามว่านี่เป็นทาโกของตนเองอีกต่างหาก และยังบอกด้วยว่าในช่วงหาเสียงเลือกตั้งบางครั้งก็ไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน

อีกด้านหนึ่ง กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) รอง ปธน.สหรัฐฯ ซึ่งเดินทางไปร้านหนังสือ บุ๊คส์ ออน เดอะ สแควร์ (Books on the Square) ในเมืองโพรวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์ พร้อมด้วย จินา ไรมอนโด (Gina Raimondo) รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยรอง ปธน.สหรัฐฯ ได้ซื้อหนังสือ 4 เล่ม เป็นนวนิยาย 3 เล่ม ส่วนอีกเล่มหนึ่งเป็นตำราทำอาหาร

เสี่ยงอันตรายต่ำ ! จีนแถลงแล้ว หลังจรวดลองมาร์ช 5 บี กำลังกลับสู่พื้นโลก

วันที่ 7 พ.ค. เอเอฟพี รายงานว่า ทางการจีนแถลงถึงกรณีที่จรวดลอง มาร์ช 5 บี ที่จะตกกลับสู่พื้นโลก หลังแยกจากสถานีอวกาศของจีนว่า โอกาสที่จะเกิดความเสียหาย “ต่ำมาก”

นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวว่า “ความเป็นไปได้ที่จะเกิดอันตรายต่อการเดินอากาศหรือประชาชนที่อยู่บนพื้นโลกต่ำมาก” เนื่องจากจรวดส่วนใหญ่จะถูกทำลายเมื่อกลับสู่ชั้นบรรยากาศโลก และเสริมว่าจีนจะแจ้งให้ประชาชนทราบอย่างทันท่วงที

หลังเจ้าหน้าที่การทหารสหรัฐอเมริกาเตือนว่าลำตัวจรวดลอง มาร์ช 5 บี จะกลับสู่พื้นโลกวันที่ 8-9 พ.ค. และตกลงบริเวณที่มีประชากรอาศัยอยู่ แต่ยากที่คาดเดาพิกัดและเวลาแน่ชัด กลายเป็นกระแสในสื่อสังคมออนไลน์

ขณะที่พลเอกลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่า กองทัพสหรัฐฯ ไม่มีแผนยิงจรวดลอง มาร์ช 5 บี เพื่อสกัดก่อนตกสู่พื้นโลก เนื่องจากมีความสามารถที่จะดำเนินการวิธีต่างๆ มากมาย และหวังว่า จรวดจะตกลงบริเวณที่จะไม่มีใครอันตราย เช่น มหาสมุทร หรือสถานที่สักแห่งคล้ายๆ กัน

พลเอกออสตินแถลงด้วยว่า จีนประมาทเลินเล่อที่ปล่อยให้จรวดหลุดออกวงโคจร และผู้อยู่ในมิติอวกาศ (space domain) ควรทำงานด้วยวิธีปลอดภัยและรอบคอบ

ทั้งนี้ ต่อให้จรวดหรือชิ้นส่วนจรวดตกจากน่านฟ้าโดยไร้การแตกหักหรือการกลับสู่ชั้นบรรยากาศโลก โอกาสสูงมากที่จะตกลงมหาสมุทรบนโลกซึ่งประกอบด้วยน้ำถึง 70%

โจนาธาน แมคโดเวลล์ นักดาราศาสตร์ผู้ติดตามวัตถุที่โคจรโลกบอกว่าเส้นทางที่จรวดดังกล่าวจะตกสู่พื้นโลกมีทั้งทางเหนือนครนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา กรุงมาดริดของสเปน กรุงปักกิ่งของจีน หรือไปไกลถึงทางใต้ของชิลี และกรุงเวลลิงตันของนิวซีแลนด์

ทั้งหมดครอบคลุมมหาสมุทรและพื้นที่มีประชากรและไม่มีประชากร อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่แล้วเศษอวกาศจะลุกไหม้ในชั้นบรรยากาศก่อน

ขณะที่เครื่องติดตามเศษอวกาศทางดาวเทียมตรวจพบจรวดลอง มาร์ช 5 บี ความยาวราว 30 เมตร ความกว้าง 5 เมตร เคลื่อนที่อย่างช้าๆ ด้วยความเร็วมากกว่า 6.5 กิโลเมตรต่อวินาที และไม่สามารถคาดเดาได้ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา และการกลับมาของเศษอวกาศครั้งนี้จะถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดที่ไม่มีการควบคุม

ก่อนหน้านี้ จีนยิงจรวดลอง มาร์ช บี 5 ขึ้นสู่อวกาศ เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2563 เพื่อทดสอบอวกาศยานในการเตรียมส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ แต่ภารกิจดังกล่าวสิ้นสุดด้วยการที่จรวดกลับสู่พื้นโลกโดยไม่มีการควบคุม (uncontrolled reentry) แกนกลางจรวดตกลงสู่พื้นโลกไม่กี่วันหลังจากนั้น นอกชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก ซึ่งได้รับการยืนยันจากฝูงบินควบคุมอวกาศที่ 18 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ติดตามเศษอวกาศในวงโคจรของโลก

ทั้งนี้ จีนตั้งเป้าที่จะสร้างสถานีอวกาศสัญชาติจีนในชื่อเทียนกงเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2565 โดยจะโคจรโลกที่ระดับความสูง 340-450 กิโลเมตร) และคาดว่าน้ำหนักสถานีอวกาศเทียนกงจะมีน้ำหนัก

ระหว่าง 81,648- 99,790 กิโลกรัม สัดส่วนเท่ากับ 1 ใน 5 ของน้ำหนักสถานีอวกาศนานาชาติ หรือไอเอสเอส ที่มี 925,335 กิโลกรัม และจะมีกำหนดเลิกใช้งานหลังปี 2567