ข่าว
เด็กน.ร.ถามโจรใต้ ยิงครูหนูทำไม

เมื่อวันที่ 15ม.ค. พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ทองสองสี รักษาการ ผกก.สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาสรับแจ้งมีเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหารหมวดลาดตระเวนที่ 2กองร้อยลาดตระเวนที่ 4 ชุดเฉพาะกิจที่ 127ปัตตานี ริมถนนจารุเสถียรสายสุไหงโก-ลก – สุไหงปาดี บริเวณโคนเสาไฟฟ้าตรงข้าม 3แยก ทางไปที่ทิ้งขยะของเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ซึ่งตั้งอยู่บ้านโต๊ะลือแบเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จึงรุดไปตรวจสอบพบที่โคนเสาไฟฟ้ามีหลุมลึก 2ฟุต กว้าง 4 ฟุตและมีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบใส่ไว้ในกล่องเหล็ก หนัก 10ก.ก.จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสารตกกระจายเกลื่อนพื้นถนนนอกจากนี้มีรถยนต์หุ้มเกราะฮัมวี่อีก 1 คัน จอดห่างจุดเกิดเหตุ 4เมตร ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย คือ พลทหารกฤต พิบูลย์ อายุ 22 ปีมีอาการแน่นหน้าอกและหูอื้อ นำตัวส่ง รพ.สุไหงโก-ลก ไปก่อนหน้า

จากการสอบสวน จ.ส.อ.สนั่น จันทร์คง หัวหน้าชุดทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้นำกำลัง รวม 14 นาย นั่งรถยนต์หุ้มเกราะฮัมวี่ 2คัน รถ วี 150 อีก 1 คัน รวม 3คัน ออกจากฐานตั้งอยู่บ้านบาโงฮูมอ ม.5 ต.กาวะ อ.สุไหงปาดีเพื่อลาดตระเวนตรวจสอบความเรียบร้อยเส้นทางพื้นที่รับผิดชอบ จาก อ.สุไหงโก-ลก จรดอ.ตากใบ ในการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จของสมเด็จพระเทพฯถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวน แฝงตัวอยู่ในป่ารกทึบจุดชนวนระเบิดที่นำไปวางไว้บริเวณใต้โคนเสาไฟฟ้าจนเกิดระเบิดขึ้นในขณะที่รถยนต์หุ้มเกราะฮัมวี่คันที่ 3ขับผ่าน อนุภาพของระเบิดทำให้ พลทหารกฤต ซึ่งเป็นพลปืนประจำรถยนต์หุ้มเกราะที่ยืนถือปืนโผล่ศีรษะออกจากเหนือตัวรถ ได้รับบาดเจ็บ

ส่วนที่ จ.ยะลา ผู้สื่อข่าวรายงาน จากกรณีที่เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายศุภกฤษ แซ่ลุ่ง อายุ 38 ปี ครูโรงเรียนบ้านนิบง หมู่ 2 ต.กาบัง อ.กาบัง จ.ยะลา เสียชีวิต ในขณะขี่รถจักรยานยนต์เดินทางกลับบ้านที่อ.เทพา จ.สงขลา เหตุเกิดที่หมู่ 5 ต.จะแหน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เมื่อเวลา 16.00 น. ของวันที่ 14 ม.ค. นั้น ล่าสุด นายพิชัยคงศรี ผอ.โรงเรียนบ้านนิบง เปิดเผยว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลอย่างมากเหมือนสมาชิกในครอบครัวของโรงเรียนต้องมาเสียชีวิตกับเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งที่พรุ่งนี้ก็เป็นวันครูไม่น่ามีเหตุการณ์แบบนี้ ครูคือเป้าหมายอ่อนแอ สำหรับวงการการศึกษาโดยเฉพาะครูศุภกฤษ เพราะเดินทางด้วยรถ จยย. เพียงลำพังคนเดียว ส่วนขวัญและกำลังใจตอนนี้ย่ำแย่มาก เนื่องจากวันครูควรจะมีของขวัญที่มีคุณค่ากว่านี้สำหรับโรงเรียนก็ยังเปิดการเรียนการสอนปกติ

ด้าน ด.ญ. ฮาซูรา เบ็ญทามะ ชั้น ป.5/1 กล่าวว่าคุณครูศุภกฤษ คือคุณครูประชั้น ครูสอนเก่งมาก และเป็นคนดีสอนให้พวกเราเป็นคนดีเรียนกับครูสนุกมาทำให้พวกหนูรู้สึกว่าพวกหนูอยากเป็นคนดีและหนูไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับครู หนูเสียใจมากค่ะ คุณครู สอนวิชาสุขศึกษา สอนพละ ครูสอนวอลเล่กับหนูสนุกมากเลยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหนูเสียใจมากเลยหนูไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยากจะบอกคนที่ทำร้ายคุณครูว่าทำไมต้องทำกับครูศุภกฤษแบบนี้ด้วยเขาทำอะไรให้คุณถึงได้ทำแบบนี้

ขณะที่ นายกฤษดาโรจนภาพงศ์ ผอ.โรงเรียนบ้านลากอ ในฐานะประธานชมรมครูอำเภอยะหา-กาบัง เปิดเผยว่าจุดอ่อนของการ รปภ.ครู นั้น จะมีปัญหาตรงที่เป็นพื้นที่กว้าง รอยต่อ 2 จังหวัด ที่ผ่านมา การ รปภ.นั้นได้มีการประสานกันอยู่ ในช่องว่างก็มีการประสานกัน แต่บังเอิญขณะที่เกิดเหตุ บางช่วงกองกำลังเปลี่ยน การประสานเดิมอาจจะมีความบกพร่อง จนเกิดเป็นช่องว่างอยู่ หลังจากนี้ก็คงต้องเข้มงวดมากขึ้น

“สำหรับในวันพรุ่งนี้ซึ่งตรงกับวันครู ในพื้นที่นี้ ครูทุกคนก็ไม่ขออะไรมาก นอกจาก ให้ครูปลอดภัย อยากให้ครูได้สอนเด็กแล้วมีความสุขให้เด็กได้พัฒนาเท่านั้น ให้ครูมีกำลังใจขอความปลอดภัยมากว่าสิ่งอื่น” ผอ.โรงเรียนบ้านกาลอ กล่าว

เจ็บแล้วจบ จริงหรือ?

การประกาศปิดกรุงเทพฯหรือยุทธการ “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” ของคุณสุเทพและคณะกปปส.กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก ว่ากระทบกับเศรษฐกิจของประเทศมากน้อยแค่ไหน เป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือเปล่า และเป็นยุทธวิธีในการต่อสู้กับรัฐบาลที่เหมาะสมหรือไม่ เพราะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยเฉพาะคนในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่เป็นแนวร่วมของกปปส.เอง ข้อสำคัญยังถือว่าเป็นการต่อสู้ในเชิงสันติอหิงสาอยู่หรือไม่ เพราะมีการข่มขู่คุกคามตัดน้ำตัดไฟ และไล่ให้คนที่ได้รับผลกระทบไปต่างจังหวัด ไปต่างประเทศ หรือให้คนขับรถแท๊กซี่ออกไปหากินแถวชานเมืองเป็นต้น

ประเด็นเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้น ก็มีผู้ให้ความเห็นต่างๆกันไป แต่มีอยู่คู่หนึ่งที่สื่อได้นำมาเป็นประเด็นข่าวในการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเห็นที่ขัดแย้งกัน เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ คือความเห็นของคุณ ประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) อดีตประธานกรรมการหอการค้าไทย และความเห็นแย้งของคุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง

โดยทั้งสองท่านได้แสดงความเห็นเอาไว้ดังต่อไปนี้

คุณประมนต์ “การยกระดับการชุมนุมที่เรียกว่าปิดกรุงเทพฯ จะส่งผลต่อภาคธุรกิจเพียงเล็กน้อย และภาคธุรกิจก็ขานรับการยกระดับการชุมนุม เนื่องจากเป็นความเสียหายในระยะสั้น เพื่อนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว ก็ถือว่าเจ็บแต่จบ และนักธุรกิจก็น่าจะยอมรับได้”

ส่วนคุณกิตติรัตน์ก็โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า “ผมตกใจมากกับคำกล่าวที่ว่า การปิดกรุงเทพฯจะส่งผลต่อภาคธุรกิจเพียงเล็กน้อย เป็นความเสียหายในระยะสั้น ผมแทบไม่เชื่อว่าเป็นคำพูดของคุณประมนต์จริงหรือเปล่า เพราะในฐานะที่คุณประมนต์เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในวงการเศรษฐกิจและการค้า ควรจะทราบดีว่าการปิดกรุงเทพฯ จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง”

ผมอ่านความเห็นของทั้งคู่ที่ตีพิมพ์ผ่านหน้าสื่อหนังสือพิมพ์แล้ว ก็ได้แต่เห็นใจทั้งสองท่านที่ต่างก็สวมหมวกกันคนละใบ จึงมีมุมมองในเรื่องนี้แตกต่างกัน

เรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากปฏิบัติการ ”ปิดกรุงเทพฯ” ในครั้งนี้นั้น ผมว่าไม่ต้องไปนั่งเถียงกันหรอกครับ ว่าจะกระทบหรือไม่กระทบ กระทบมากหรือกระทบน้อย เพราะแม้แต่กปปส.เองก็ยังยอมรับว่า ต้องกระทบต่อเศรษฐกิจแน่นอน และอาจเป็นวัตถุประสงค์หนึ่งในปฏิบัติการครั้งนี้เสียด้วยซ้ำไป ที่ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง เพื่อเป็นการกดดันรํฐบาลให้ยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของกปปส. หรืออย่างน้อยก็เป็นการแสดงให้นักธุรกิจทั้งหลายเห็นว่ารัฐบาลหมดสภาพในการดูแลกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเมืองหลวงของประเทศแล้ว เข้าข่ายเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวตามความต้องการของกปปส. ซึ่งจะทำให้นักธุรกิจทั้งหลายตัดสินใจ “เลือกข้าง” ได้ง่ายขึ้น จนเข้าข่าย “เจ็บแต่จบ” อย่างที่คุณประมนต์ว่าเอาไว้

แต่คำถามที่ผมอยากถามในที่นี้ก็คือ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าถ้าเดินตามแนวทางที่กปปส.และคุณสุเทพขีดเส้นให้ทุกคนต้องเดินตามในวันนี้แล้วมันจะ “เจ็บแล้วจบ”

เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามันจะไม่เป็นการเดินเข้าสู่วังวนแห่ง “วงจรอุบาทย์” ทางการเมืองที่ใช้วิธีการนอกระบบมาโค่นล้มกันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

คุณสุเทพและกปปส.อาจจะบอกว่า คณะของตนมีความชอบธรรมที่จะทำการ “ปฏิวัติประชาชน” โค่นล้มรัฐบาลที่คดโกง เป็นเผด็จการเสียงข้างมาก ปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลอีกต่อไป ดังนั้นจึงสามารถจะใช้วิธีการอารยะขัดขืน ชุมนุมกันโดยปราศจากอาวุธ แต่ก็ประกาศจะยึดกรุงเทพฯ ขัดขวางการเดินทาง การทำมาหากินโดยปกติสุขของประชาชน ขัดขวางการเลือกตั้งซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน เพื่อจุดหมายปลายทางคือการขับไล่รัฐบาล

แต่วิธีการเหล่านี้เป็นวิธีการนอกระบบทั้งสิ้น และก็เป็นวิธีการที่กลุ่มนปช.เคยใช้สมัยที่คุณสุเทพดำรงตำแหน่งรองนายกฯในสมัยรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ซึ่งตอนนั้นนปช.ก็กล่าวหาว่ารัฐบาลไม่มีความชอบธรรม เพราะไปตั้งรัฐบาลกันในค่ายทหาร และก็เคยกล่าวหาว่ารัฐบาลชุดที่แล้วมีการโกงกินคอร์รัปชั่นกัน เหมือนกับที่กปปส.กล่าวหารัฐบาลชุดนี้อยู่ในขณะนี้เช่นกัน

ดังนั้นเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าถ้าเดินตามคุณสุเทพในครั้งนี้แล้ว เหตุการณ์ในอดีตมันจะไม่หวนคืนมาอีก เพราะในเมื่อมีการใช้วิธีการนอกระบบมาล้มกันได้ ต่อให้ปฏิรูปการเมืองกันอย่างไร ในที่สุดก็จะมีคนที่ไม่พอใจปลุกระดมมวลชนมาล้มรัฐบาลลงด้วยวิธีการนอกระบบอีกไม่มีที่สิ้นสุด

เราจะเห็นได้ว่า ตราบใดที่เรายังเชื่อว่าการเมืองไทยจะแก้กันได้ด้วยอำนาจนอกระบบ การเมืองจะไม่มีวันสงบ จึงมีแต่หนทางที่ถูกต้องตามกติกาเท่านั้นที่จะทำให้ทุกฝ่ายต้องยอมรับทั้งปากและใจ นั่นก็คือ การให้ประชาชนตัดสินใจอนาคตของตนเองด้วยการเลือกตั้งเท่านั้น

แน่นอนว่าการเลือกตั้งคงไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม 100% แต่เราสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆได้โดยการออกกฏเกณฑ์กติกาควบคุมให้รัดกุมขึ้น เข้มงวดขึ้น มีการตรวจสอบที่เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะในบรรยากาศที่มวลมหาประชาชนกำลังตื่นตัวกับสิทธิทางการเมืองและต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง เราควรฉวยโอกาสแปรเปลี่ยนพลังประชาชนอันทรงอานุภาพนี้ ไปเป็นพลังผลักดันให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น เป็นการเลือกตั้งที่สะอาดที่สุดเท่าที่เคยมีมาแทนที่จะไปขัดขวางการเลือกตั้ง

แกนนำและนักวิชาการฝ่ายกปปส.อาจจะบอกว่าหมดหวังกับนักการเมือง หมดหวังกับการเลือกตั้งแล้ว ต้องการหยุดประเทศไทยเพื่อสร้างการเมืองใหม่ที่ดีกว่าเดิม เป็นการเมืองในอุดมคติ หยุดการเลือกตั้งซักสองปี ปฏิรูปการเมืองให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยมาเลือกตั้งกันทีหลังก็ยังไม่สายเกินไป

แต่ก็มีผู้วิจารณ์ว่า นักทฤษฎีที่พูดอย่างนี้มีอยู่สองประเภทคือ หนึ่ง คือคนที่ไร้เดียงสาทางการเมือง มองการเมืองอย่างมีอุดมคติ มีเจตนาดีต่อบ้านเมือง แต่มองไม่ทะลุว่า การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ ใครก็ตามที่ขี้นมาปกครองหรือมีอำนาจทางการเมือง ล้วนแล้วแต่ต้องรักษาและสนองผลประโยชน์ทางชนชั้นที่ตนเองสังกัดอยู่ทั้งสิ้น ดังนั้นการเมืองโดยเนื้อแท้และความเป็นจริงแล้ว จึงเป็นเรื่องของการจัดสรรอำนาจและการต่อรองผลประโยชน์ทางชนชั้นเท่านั้น

การหยุดการเลือกตั้งแล้วหันไปใช้ระบบสรรหาหรือแต่งตั้งแทนนั้น (ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวร) จริงอยู่อาจได้คนที่มีคุณภาพตรงตามใจผู้แต่งตั้งหรือสรรหา แต่นั่นก็คือตัวแทนทางชนชั้นที่มาจากคัดเลือกของคนเพียงกลุ่มเดียว (ซึ่งไม่รู้ว่าใครมอบอำนาจให้และเป็นตัวแทนของใคร) ย่อมไม่สามารถกล่าวอ้างได้ว่าเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ อีกทั้งยังเป็นการริดรอนสิทธิของประชาชนในการเลือกผู้แทนของตนเอง ด้วยอัตวินิจฉัยของตัวเขาเอง ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยที่ใช้กันทั่วโลกอีกด้วย

ส่วนอีกประเภทหนึ่งที่บอกว่าให้หยุดการเลือกตั้งเอาไว้ก่อน รอจนปฏิรูปการเมืองให้เรียบร้อยก่อนนั้น ดูจากรายชื่อแล้วปรากฏว่ามากกว่าครึ่ง คือผู้ที่มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จึงทำให้เกิดคำถามว่าท่านร่างมาเองกับมือแล้วทำไมตอนนี้จึงมาบอกว่าต้องปฏิรูปกันอีกแล้ว

นอกจากนั้น บางคนที่เป็นแกนนำกปปส.อยู่ในขณะนี้ ก็มีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นแบบเขตเดียวคนเดียว หรือ One Man One Vote และเพิ่มส.ส.บัญชีรายชื่อเป็น 125 คน โดยหวังว่าจะได้เปรียบในการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 พอมาถึงวันนี้ก็ยังบอกว่าจะต้องปฏิรูปกติกาการเลือกตั้งกันอีก จึงทำให้เกิดข้อครหาว่า จะต้องปฏิรูปจนกว่าจะขนะการเลือกตั้งใช่หรือไม่

สรุปก็คือกลุ่มที่สองนี้ เป็นกลุ่มที่ไม่เชื่อในเลือกของการเลือกตั้งโดยประชาชน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่า ความคิดของคนกลุ่มนี้คือ ไม่จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แต่อาจใช้การเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ หรือระบบสัดส่วนตามสาขาอาชีพแทน

ซึ่งแนวความคิดของคนกลุ่มนี้ได้สะท้อนออกมาโดยมีการเสนอว่า ระบบการออกเสียงเลือกตั้งนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ระบบ 1 คน 1 เสียงเท่าๆกัน แต่อาจใช้ระบบการเสียภาษีหรือการศึกษามากำหนดคะแนนเสียงแทน หรือมีการพูดว่าคะแนนเสียงของคนกรุงเทพฯมีคุณภาพมากกว่าคะแนนเสียงของคนต่างจังหวัด หรือคนต่างจังหวัดมีความรู้ความเข้าใจเรื่องของประชาธิปไตยน้อยกว่าคนกรุงเทพฯ เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งบอกว่า คนกลุ่มนี้เป็นพวกที่ไม่เชื่อในเรื่องของการเลือกตั้งโดยประชาชน ดังนั้น ถ้ามอบอำนาจในการปฏิรูปประเทศให้กับเขา ก็คาดเดาได้ไม่ยากว่ากติกาการปกครองประเทศในรูปแบบใหม่จะออกมาเป็นแบบใด

สุดท้ายนี้ผมยังเชื่อว่าปัญหาการเมืองไทยควรจะแก้กันในระบบ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปอย่างที่ผ่านๆมา แต่เราควรฉวยโอกาสนี้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยแปรเปลี่ยนพลังมวลมหาประชาชนที่ออกมาในครั้งนี้ จากพลังทำลายล้างให้กลายเป็พลังสร้างสรรค์ โดยกดดันให้รัฐบาลต้องดำเนินการจัดตั้งสภาปฏิรูปประเทศขึ้นโดยฝ่ายที่เป็นกลางและมีกฏหมายรองรับก่อนการเลือกตั้ง

พร้อมทั้งกำหนดให้พรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ทุกพรรคต้องมาลงสัตยาบันรับรองว่า หลังการเลือกตั้งจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติโดยมีผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมรัฐบาลจำนวนหนี่ง เพื่อร่วมกันดำเนินการปฏิรูปประเทศตามข้อเสนอของสภาปฏิรูปฯทุกประการภายในกำหนดหนึ่งปี หลังจากนั้นจึงยุบสภาแล้วให้มีการเลือกตั้งกันใหม่อีกครั้ง

โดยวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เราสามารถปฏิรูปประเทศไปพร้อมๆกับการรักษาประชาธิปไตยเอาไว้ได้ โดยทำให้ทุกฝ่ายยอมรับกติกาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างยินยอมพร้อมใจ และหลุดพ้นจากการเมืองแบบวงจรอุบาทย์ที่ครอบงำประเทศไทยมาเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว

แต่แนวทางนี้คงไม่มีทางสำเร็จหรอกครับ ถ้าลุงกำนันและกปปส.ยังไม่ยอมเลิกปิดกรุงเทพฯ เพราะแกประกาศแล้วงานนี้ไม่มี win/win มีแต่ win/lose เท่านั้น !!!

คำถามจาก′ชูวิทย์′ ถึง′มาร์ค-เทือก′ อกสามศอกกลัวอะไร-มีอะไรมากถึงขนาดต้องยอมให้บ้านเมืองฉิบหาย?

จากกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้ลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุมหารือเกี่ยวกับข้อเสนอของ กกต. ที่ขอให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งออกไป โดยเป็นการหารือร่วมกับองค์กรภาครัฐ เอกชน นักวิชาการกว่า 70 องค์กร ที่หอประชุมกองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง ซึ่งมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมด้วย เนื่องจากไม่พอใจ ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวนั้น

เมื่อเวลา ประมาณ 16.00 น. วันที่ 15 มกราคม นายชูวิทย์ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก "ชูวิทย์ I′mNo.5" พร้อมกกับรูปภาพที่มีผู้หญิงวัยกลางคน เข็นรถให้กับหญิงชรา โดยระบุข้อความว่า

"ประชาธิปไตยรอได้ แต่คนป่วยรอไม่ได้

ใครจะเชื่อก็เชื่อไป แต่การเมืองไทยนั้นเขาเล่นด้วยระบบตัวแทน หรือที่เรียกว่า "นอมินี" ขนาดทักษิณไม่อยู่เมืองไทย อาศัยอยู่ที่ "ดูไบ" แท้ๆ ทำไมการเมืองไทยถึงไปขึ้นอยู่กับทักษิณได้? ใครต่อใครต้องตีตั๋วเครื่องบินไปหา

แล้วทำไมคนอย่างคุณสุเทพอยู่แค่สุราษฎร์ฯ นั่งยันนอนยันว่าไม่เล่นการเมืองอีกต่อไปแล้ว ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว จบเรื่องนี้จะไปใช้ชีวิตแบบคนแก่ที่สุราษฎร์

จะเล่นการเมืองอยู่เบื้องหลัง เป็นนอมินีแบบนักการเมืองไทยคนอื่นๆไม่ได้? แม้แต่คนโดนเว้นวรรคการเมือง 5 ปี ยังเล่นการเมืองอยู่เบื้องหลังตลอด

เมื่อเช้านี้ผมไปประชุมหารือ "การเลื่อนเลือกตั้ง" รอคุณอภิสิทธิ์และคุณสุเทพอยู่นาน เมื่อทราบว่าทั้งสองคนไม่มาแน่ ผมจึงออกจากห้องประชุม เพราะไม่มีประโยชน์ในการประชุม เมื่อทั้งหมดที่มาไม่ใช่คู่กรณี รัฐบาล เป็นคู่กรณีกับ กปปส.

หากจริงใจ ต้องมาเจรจากัน บ้านเมืองไม่ใช่ของคุณสุเทพคนเดียว โดยเฉพาะคุณอภิสิทธิ์ จะเที่ยวแอบอยู่หลังคุณสุเทพตลอดไปไม่ได้ เพราะเมื่อคุณสุเทพชนะ คุณอภิสิทธิ์ได้ประโยชน์ แต่ถ้าคุณสุเทพแพ้ คุณสุเทพแพ้อยู่คนเดียว คุณอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ไม่เกี่ยว

ผมถึงบอกว่า ลูกผู้ชายเขาไม่ทำกันแบบนี้ อกสามศอกจะกลัวอะไร? กล้าทำ กล้ารับ กล้าคุย ขนาดเขาทำสงคราม แม่ทัพรบทัพจับศึก ยังต้องเจรจาความกันก่อน เพราะหากเจรจาหลีกเลี่ยงสงครามได้ ไม่ต้องสูญเสียไพร่พล คนต้องล้มตาย สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ

แต่นี่คนไทยด้วยกันแท้ๆ ทำไมถึงเจรจากันไม่ได้? คุณมีอะไรมากถึงขนาดต้องยอมให้บ้านเมืองฉิบหาย ปิดสถานที่ราชการ ตัดน้ำตัดไฟ เพื่อที่คุณจะได้ปฏิรูป?

ถ้าปฏิรูปจริง ผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะไม่ได้ลงเลือกตั้ง

ท้ายสุด โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้พื้นที่ม็อบอย่าง โรงพยาบาลจุฬาฯ โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ โรงพยาบาลรามาฯ ธรรมดาคนต้องมาเข้าคิวตั้งแต่ตี 5 กว่าจะได้ตรวจบ่ายโมง รับยาบ่ายสาม แต่ตอนนี้ว่างเปล่า คนป่วยไม่กล้ามา เพราะเขาบอกปิดสี่แยก ส่วนที่ไม่ไหวจริงๆจำเป็นต้องมา ถึงขนาดต้องเข็นกันข้างฟุตบาธแบบนี้ล่ะครับ เพราะหาแท็กซี่ไม่ได้"