จตุพร ลั่น นปช.ไม่มีวันยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับผู้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ยันพร้อมต่อสู้ให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. มองว่าทางออกที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องแสวงหาคือ ตัวตนของตัวเอง เพราะตลอด 82 ปีของคนไทยมีข้อสรุปแล้วว่า ประเทศต้องมีความเป็นประชาธิปไตย ดังนั้น ข้อเสนอที่ทำให้ประชาธิปไตยถอยหลัง คนไทยจะรับไม่ได้ และหากจะปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง อยากถามว่า อำนาจจะมอบให้บุคคลใด เพราะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส.ได้สรุปชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจากฝ่ายตัวเอง กติกาของประชาธิปไตยถอยหลังมาแล้วถึง 3 ครั้ง เพราะความต้องการจะปฏิรูปประเทศเพื่อทำลายพรรคการเมือง ล้างระบอบทักษิณ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของกลุ่มนปช.ที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่ต้องต่อสู้ให้การเลือกตั้งเกิดขึ้น
นายจตุพร เสนอว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยัน จะปฏิรูปประเทศก่อน กลุ่มกปปส.ยังประกาศคัดค้านการเลือกตั้ง รวมถึง กกต.ยังทำหน้าที่อย่างที่เป็นอยู่ ก็ยังไม่ต้องจัดการเลือกตั้งอยู่กันไปแบบนี้ จนกว่าทั้ง 3 ฝ่ายนี้ จะออกมาบอกว่า พร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง เพราะเปล่าประโยชน์ที่จะจัดเลือกตั้งและเป็นการเอาเปรียบประชาชน เพียงศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้เขตเลือกตั้งที่ไม่สามารถเลือกตั้งได้เขตเดียวเป็นโมฆะ การเลือกตั้งก็พังครืนลงมา ขณะที่กลุ่ม นปช.ก็จะต่อสู้เพื่อให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นต่อไป แต่ยืนยันว่า ไม่มีวันที่จะยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ผู้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เตรียมเข้าพบปลัดกระทรวงกลาโหม เห็นว่า เป็นเพียงการทำตามนายสุเทพ เท่านั้นจึงไม่เห็นความจำเป็น
นอกจากนี้ นายจตุพร ยังเชื่อว่าแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสถานภาพนายกรัฐมนตรีก็จะไม่เกิดสุญญากาศขึ้น เพราะตามกฎหมายรองนายกรัฐมนตรีที่สามารปฏิบัติหน้าที่แทนได้
"ศอ.รส." เล็งยื่นหนังสือฟ้อง "สุเทพ-แกนนำ กปปส." 1 พ.ค. ฐานกบฏ-ขวางเลือกตั้ง ประณามยิง "วิทวัส-ไม้หนึ่ง" สั่งตำรวจเร่งเอาผิด พร้อมตั้งข้อสังเกต "เดลินิวส์" เสนอภาพยิงปะทะแจ้งวัฒนะ...
วันที่ 25 เม.ย. 57 ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) แถลงสรุปผลการประชุม มีเรื่องสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้ 1. ตามที่ ศอ.รส. ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 2 เรื่อง การดำเนินคดีกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. และแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมชุมนุม เมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น ศอ.รส. ขอเรียนว่า ศอ.รส.ได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินคดีแกนนำผู้จัดการชุมนุม ซึ่งมีการกระทำผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่องตลอดมา
โดยเฉพาะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และแกนนำ กปปส. ที่ถูกกำหนดให้เป็นคดีพิเศษ ในข้อหาฐานความผิดร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันก่อเหตุความไม่สงบในบ้านเมือง ร่วมกันยุยงให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง ร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ และในฐานความผิดอื่นๆ ซึ่งขณะนี้การสอบสวนในคดีพิเศษดังกล่าวได้เสร็จสิ้นแล้ว
คณะพนักงานสอบสวน ซึ่งประกอบด้วยพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการของสำนักงานอัยการสูงสุด จึงได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคน รวมทั้งหมด 80 คน โดยกำหนดส่งสำนวนการสอบสวน พร้อมความเห็นดังกล่าวไปยังพนักงานอัยการในวันที่ 1 พ.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ จะได้มีคำสั่งทางคดีและฟ้องผู้กระทำผิดได้ภายในวันที่ 10 พ.ค.
ดังนั้น ศอ.รส.จึงได้ออกแถลงการณ์ดังกล่าวเพื่อแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบถึงการดำเนินคดีกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. พร้อมทั้งแจ้งเตือนพี่น้องประชาชน อย่าได้หลงเชื่อการปราศรัยชวนเชื่อของนายสุเทพและพวก รวมถึงงดเว้นการเข้าร่วมชุมนุมใหญ่กับกลุ่มมวลชน กปปส.
2.ศอ.รส.มีความกังวลต่อเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้อาวุธปืนยิงใส่ประชาชน ดังเช่นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งวัยรุ่น 2 คน ถูกยิงได้รับบาดเจ็บใกล้เวทีชุมนุมของกลุ่ม กปปส. แจ้งวัฒนะ ขณะขับรถจักรยานยนต์ผ่านบริเวณดังกล่าว และเมื่อเช้ามืดวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ก็เกิดเหตุในทำนองเดียวกัน ซึ่งมีการยิงอาวุธปืนใส่ผู้ที่ขับรถจักรยานยนต์ผ่านบังเกอร์ของกลุ่มผู้ชุมนุมของกลุ่ม กปปส. แจ้งวัฒนะ จนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 5 ราย
เหตุเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า กลุ่ม กปปส.มีการใช้ความรุนแรงและสะสมอาวุธปืน จึงไม่ใช่การชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธ ศอ.รส.จึงขอเตือนให้พี่น้องประชาชนงดเว้นการเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. และหลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณการชุมนุม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปรับเปลี่ยนเส้นทางการจราจรบริเวณการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ที่ถนนแจ้งวัฒนะแล้ว
3.ศอ.รส. ได้รับรายงานถึงเหตุการใช้ความรุนแรงบริเวณการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. แจ้งวัฒนะอีกว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา เวลาประมาณ 23.00 น. พ.อ.วิทวัส วัฒนะกุล ซึ่งเดินทางผ่านบริเวณดังกล่าวเพื่อกลับบ้านพัก ได้ถูกกลุ่มการ์ด กปปส. ยิงปืนใส่หลายนัดที่ขาทั้ง 2 ข้าง และยังถูกการ์ด กปปส. รุมทำร้ายอีกด้วย เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า กลุ่มการ์ด กปปส. แจ้งวัฒนะ มีการใช้ความรุนแรง กับผู้ที่สัญจรผ่านไปบริเวณดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม
4.ศอ.รส. ได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุเมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่ นายกมล ดวงผาสุก หรือ ไม้หนึ่ง ก.กุนที กวีเสื้อแดง จนเป็นเหตุให้นายกมลเสียชีวิต ซึ่ง ศอ.รส. ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสืบสวนสอบสวน เพื่อนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีโดยเร็ว
ทั้งนี้ ศอ.รส.ขอประณามผู้ที่ก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้ และ ศอ.รส. มีความกังวลอย่างยิ่งว่า เหตุลอบยิงนายกมล อาจเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างๆ ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จึงขอเรียกร้องให้แกนนำอย่าได้ปลุกระดมมวลชน ให้เกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือเกลียดชังอีกฝ่าย และขอให้พี่น้องประชาชน ใช้วิจารณญาณในการรับฟังข่าวสารต่างๆ
5.ศอ.รส.ได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่อาคารสำนักงานข่าวเดลินิวส์ เมื่อวานนี้ ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ศอ.รส.ขอประณามผู้ก่อเหตุ และขอตั้งข้อสังเกตว่า เหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 23 เม.ย. ได้เสนอภาพข่าวการยิงปะทะกัน บริเวณถนนแจ้งวัฒนะเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยเป็นหนังสือพิมพ์เพียงฉบับเดียวที่นำเสนอข่าวดังกล่าว.
เมื่อเวลา 13.25 น. วันที่ 25 เมษายน ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนแจ้งวัฒนะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหนัาพรรคประชาธิปัตย์เดินสายพูดคุยเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ว่า เป็นนิมิตรหมายที่ดีที่เราจะได้หันหน้ามาเจรจากัน และสิ่งที่ดีอย่างน้อยคือจุดร่วมของนายอภิสิทธิ์ที่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง และเห็นด้วยว่าการพูดคุยกันนั้นต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนอย่างเห็นซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีพร้อมพูดคุยกับนายอภิสิทธิ์หรือไม่น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ความจริงแล้วเราก็เปิดกว้างมาโดยตลอดที่จะให้มีการพูดคุยกัน ถ้าผู้นำฝ่ายค้านได้มีการมาร่วมพูดคุยกันเพื่อหาทางออก ถือว่าเป็นโอกาสที่เราจะหาทิศทางที่จะเดินไปด้วยกัน เพื่อที่จะทำอย่างไรให้ประเทศกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และสิ่งที่เราดีใจอีกเรื่องหนึ่งคือการที่นายอภิสิทธิ์เห็นด้วยว่าการใช้กำลังรุนแรง การปฏิวัติรัฐประหารไม่ใช่คำตอบของการทำให้ประเทศกลับสู่สันติภาพได้
นักข่าวถามว่านายอภิสิทธิ์ได้มีการนัดหมายพูดคุยแล้วหรือไม่น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวสั้นๆ ว่า "ยังเลยค่ะ"
เมื่อถามว่าควรให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. เข้ามาร่วมพูดคุยด้วยหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ก็เป็นความหวังที่ดี และคิดว่านายอภิสิทธิ์ควรที่จะหารือกับนายสุเทพไว้บ้าง ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้รับฟังและค่อยๆ ปรับกันตามกรอบของรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามถึงการที่นายอภิสิทธิ์จะพูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายด้วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องเรียนว่านายอภิสิทธิ์เองคงต้องคุยกับทุกคน เพราะต้องให้แน่ใจว่าแนวความคิดหรือจุดเริ่มต้นนี้คนส่วนใหญ่เห็นด้วย ตนก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เราจะเดินสายคุยกับหลายๆ คน และในส่วนของรัฐบาลเองก็อยากเปิดโอกาสให้กับทุกคนได้มีจุดเริ่มต้นและแนวทางร่วมกันในการหาทางออกให้กับประเทศอย่างไรเพราะว่าเมื่อก่อนเราอาจจะเห็นความเห็นต่างๆ ทำได้ยาก เพราะเนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติได้ตามกรอบของรัฐธรรมนูญ แต่วันนี้แนวทางของนายอภิสิทธิ์อยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มนปช.นัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 6 พฤษภาคม และกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้านนัดชุมนุมในวันที่ 28 เมษายน อยากให้ชะลอการชุมนุมไว้ก่อนหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ความจริงแล้วต้องเรียนว่า การชุมนุมต่างๆ นั้นหากชุมนุมโดยสงบและอยู่ภายใต้กรอบกฏหมายนั้นก็เป็นสิทธิเสรีภาพที่ทำได้ แต่ต้องขอร้องทุกฝ่ายว่าการชุมนุมต่างๆ ต้องของความกรุณาว่าให้ยึดปฏิบัติตามกรอบของกฏหมาย และขออย่านำไปสู่ความรุนแรง รวมถึงอย่าทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจ ซึ่งเราทุกคนต้องช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดี
เมื่อถามว่าในการชุมนุมของกลุ่มนปช. วันที่ 6 พฤษภาคมที่จะออกมาปกป้องนายกรัฐมนตรีจากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ก็อย่างที่บอกว่าการชุมนุมนั้นต้องอยู่ในกรอบของกฏหมายถ้าตามกรอบของกฎหมายก็เป็นสิทธิเสรีภาพที่ทำได้ แต่ในส่วนของการตัดสินของศาลเราพูดคุยกันอยู่แล้วว่าการตัดสินนั้นขึ้นอยู่กับผู้ที่ตัดสินที่จะต้องปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรมและให้ความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียมกันทั้งผู้ถูกกล่าวหาและผู้กล่าวหาหากมีความเป็นธรรมผลการตัดสินออกมาอย่างไรทุกคนก็คงต้องยอมรับ ถ้าต่างคนต่างไม่ได้รับความเป็นธรรม เราก็เป็นห่วงในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ตั้งความหวังทั้งกับศาลรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะต้องคำนึงถึงจุดนี้ด้วย และศาลก็ยืนยันแล้วว่าจะปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกันตามหลักสากล
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012