เศร้าอดีตซีล วัย 38 ช่วยภารกิจ 13 ชีวิตติดถ้ำ เสียชีวิตขณะดำน้ำกลับ จากขนขวดอากาศ ในหลวง รับสั่งจัดพิธีอย่างสมเกียรติ และดูแลครอบครัวบุตรหลาน
เมื่อวันที่ 6 ก.ค. นายภาสกร บุญญลักษม์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย แถลงเมื่อช่วงเช้าระบุว่า เมื่อเวลาตี 2 จ.อ.สมาน กุนัน นักทำลายใต้น้ำจู่โจมนอกราชการ หมดสติขณะดำน้ำกลับและเสียชีวิตในเวลาต่อมา หลังลำเลียงขวดอากาศเข้าสนับสนุนการทำงานภายในถ้ำหลวง จากโถง 3 ไปสามแยก
ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งให้จัดพิธีอย่างสมเกียรติ และดูแลครอบครัวบุตรหลาน โดยทางญาติจะนำร่างไปประกอบพิธีที่ จ.ร้อยเอ็ด อย่างไรก็ตามหน่วยซีลทุกคนยังมีขวัญกำลังใจดี พร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่
ขณะที่พลเรือตรีอาภากร อยู่คงแก้ว ผบ.หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ (ซีล) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ รับศพจ.อ.สมาน ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ พร้อมย้ำว่าเราไม่ได้ทำภารกิจด้วยความบ้าบิ่น หรือไม่มีแผน ทั้งที่สถานการณ์บีบคั้น เวลาค่อนข้างจำกัด ซึ่งจำเป็นต้องเร่งวางขวดอากาศเป็นระยะ โดยนักดำน้ำ 1 คน ต้องขนขวดอากาศคนละ 3 ถัง
สำหรับผู้เสียชีวิต ปัจจุบันลาออกมาทำงานที่การท่าอากาศยานไทย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะนี้เรามีอดีตซีล มาเป็นอาสาสมัครช่วยงาน เพราะหน่วยซีล ต้องทำหน้าที่เหมือนหัวหมู่ ทะลวงฟัน ส่วนอดีตซีล จะเป็นผู้สนับสนุน ซึ่งจ่าเอกสมาน ทำหน้าที่นำขวดอากาศเข้าไปวางตามรายทาง ซึ่งหลังจากวางขวดอากาศเสร็จ เกิดหมดสติ ทางบัดดี้พยายามปฐมพยาบาลแต่ไม่รู้สึกตัว จึงพยายามนำกลับมาที่โถง 3 ปฐมพยาบาลอีกครั้ง แต่ยังไม่รู้สึกตัว จึงรีบพาตัวออกมา แล้วนำส่งโรงพยาบาล
อย่างไรก็ตาม หน้าที่ของเรายังต้องดำเนินงานต่อ เพราะเราฝึกมาให้ทำงานในภาวะเสี่ยง การเจ็บป่วย หรือเสียชีวิต เป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญ และเราไม่เคยเสียขวัญ กำลังพลที่เสียไป เราจะไม่ให้สูญเปล่า เราจะเดินหน้าต่อไป
จ.อ.สมาน กุนัน อายุ 38 ปี เป็นอดีตนักทำลายใต้น้ำจู่โจม รุ่น 30 ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ระงับเหตุ ฝ่ายรักษาความปลอดภัย บ.ท่าอากาศยานไทย ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้จ.อ.สมาน ได้ดำน้ำเมื่อเวลา 20.37 น. วันที่ 5 ก.ค. เพื่อลำเลียงขวดอากาศ จากโถง 3 ไปยังจุดต่างๆ บริเวณสามแยก กระทั่งเสร็จภารกิจ ขณะดำน้ำกลับ ได้หมดสติในน้ำ ทางคู่ดำน้ำได้ทำการปฐมพยาบาล (CPR) แต่ไม่ได้สติ จึงนำกลับมายังโถงสาม เพื่อปฐมพยาบาลอีกครั้ง แต่ จ.อ.สมาน ไม่ได้สติและเสียชีวิตลง ถูกนำร่างออกมา ส่งไปยัง รพ.ค่ายพญาเม็งรายมหาราช.
ซีอีโอ สเปซเอ็กซ์ เสนอวิธีพาเด็กๆ นักบอลทีมหมูป่า ออกจากถ้ำหลวง อาจจะใช้ ‘ท่อลม’ กว้างราว 1 ม.ในช่วงอันตรายที่สุดของถ้ำ สูบลมเข้าไปจนลอยติดเพดานถ้ำ จากนั้นให้เด็กๆ คลานออกมาแทนดำน้ำ
เมื่อ 6 ก.ค. 61 นายอีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท สเปซเอกซ์ และบอริ่ง คอมพานี ในสหรัฐฯ เสนอความเห็นผ่านทางทวิตเตอร์ วิธีช่วย 13 ชีวิตติดถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยไม่ต้องดำน้ำว่า อาจจะใช้ ท่อลมไนลอน ความกว้างประมาณ 1 เมตร สอดเข้าไปในช่องทางเดินที่ลำบากที่สุดของถ้ำหลวง จากนั้นก็สูบลมเข้าไป เหมือนกับ ‘บ้านลม’ ที่เด็กๆ เล่น โดยท่อลมนี้จะลอยติดเพดานถ้ำ ซึ่งทำให้เด็กๆ ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายจากการดำน้ำ
ก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ ซีอีโอ สเปซเอ็กซ์ ได้ทวีตข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ แจ้งว่า ขณะนี้ ทีมวิศวกรของ สเปซ เอกซ์ เตรียมเดินทางมาประเทศไทย ในวันนี้ (7 ก.ค.) เพื่อดูว่าพวกเราสามารถช่วยเหลือรัฐบาลไทยในภารกิจพา 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง ออกมาจากถ้ำได้อย่างไรบ้าง เพราะบางทีอาจมีความซับซ้อนหลายอย่าง ซึ่งจะเป็นเรื่องยากที่จะทราบได้ ถ้าไม่ได้อยู่ตรงนั้น
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ MabzMagz ส่งข้อความไปถามอีลอน มัสก์ ผ่านทางทวิตเตอร์ว่า คุณสามารถไปช่วยพาเด็กๆ และโค้ช 13 ชีวิตออกจากถ้ำหลวงได้มั้ย ซึ่ง อีลอน มัสก์ ตอบว่าเท่าที่ทราบ รัฐบาลไทยได้ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว แต่ตนก็ยินดีจะไปช่วย ถ้าสามารถจะช่วยได้
ผบ.ทบ. ชี้นำ "ทีมหมู่ป่า" ออกจากถ้ำต้องมั่นใจ 100% ว่าสำเร็จ ยันกำลังพลพร้อม รับการดำน้ำ มีความเสี่ยง เสียใจ "อดีตซีลจิตอาสา" พลีชีพ คาดพักผ่อนน้อย
เมื่อวันที่ 6 ก.ค.61 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.) ว่า ได้เน้นย้ำให้มีการปรับกำลัง ในการช่วยเหลือการปฏิบัติงานใน ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ของทีมหมูป่าอคาเดมี่ ขณะนี้กำลังพลที่ส่งเข้าไปสนับสนุนถือว่าเพียงพอแล้ว ในส่วนของกองทัพบก มีกำลังพลกว่า 1,200 คน แบ่งการปฏิบัติงานเป็น 3 ส่วน คือ 1.ปฏิบัติงานภายในถ้ำหลวง ช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องการลำเรียง ขนย้ายทุกอย่าง ร่วมกับหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (นสร.) 2. สนับสนุนการระบายน้ำ พื้นที่รอบถ้ำ และเบี่ยงทางน้ำ 3.ปฏิบัติงานในพื้นที่บนเขาและยังคงปฏิบัติภารกิจ ร่วมกับกรมป่าไม่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ตนได้สั่งการเพิ่มเติมในเรื่องการพลัดเปลี่ยนกำลังเพื่อหมุนเวียนกำลังพลชุดใหม่เข้าไปทดแทนกำลังพลที่อ่อนล้าจาการทำงาน ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลระดับล่างที่ใช้แรงงาน
พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า สำหรับแนวทางการนำเด็กและโค้ช จำนวน 13 คน ออกมาจากถ้ำทางน้ำนั้น ต้องมีสิ่งประกอบหลายๆอย่าง ที่จะทำให้เรามั่นใจ 100 % ว่าจะประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย 1.ความพร้อมของเจ้าหน้าที่ ทั้ง หน่วยซีล และหน่วยสนับสนุน ยุทโธปกรณ์ ตนคิดว่ามีความพร้อมพอสมควร อาจจะขาดอุปกรณ์พิเศษบางอย่าง แต่คนพร้อมแล้ว 2.ตัวน้องๆทั้ง13 คน จะต้องพิจารณาใน 3 ส่วนคือ 1.ร่างก่าย ที่จะต้องได้รับการฟื้นฟู ให้แข็งแรงเหมือนเดิม หรือใกล้เคียงของเดิม ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะต้องใช้เวลา 5 ชั่วโมงในการเดินทางออกมา 2.ขีดความสามารถทางน้ำ และการใช้เครื่องมือ ซึ่งจำเป็นต้องเรียนรู้พอสมความ และ 3.ความพร้อมของจิตใจ เพราะการดำน้ำสภาพจิตใจสำคัญที่สุด ต้องนิ่ง และควบคุมสติได้ โดยเฉพาะการดำน้ำในถ้ำที่มีพื้นที่แคบ และมองไม่เห็น ทราบว่าในบางช่วงของการเดินทางทางน้ำน้องๆต้องดูแลตัวเองด้วย 3.สภาวะแวดล้อมแบ่งเป็น 2 ประการ คือปริมาณน้ำ และอากาศ ขณะนี้ทราบว่าหน่วยในพื้นที่พยายามทุกทางเพื่อจะเติมอากาศเข้าไปและลดปริมาณน้ำในถ้ำ
พล.อ.เฉลิมชัย ยังกล่าวถึง กรณีอดีตหน่วยซีลเสียชีวิตขณะปฏิบัติงานว่า การดำน้ำถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตราย การยึดถือกฎนิรภัยเป็นเรื่องสำคัญ แต่ตนไม่ทราบข้อมูลในขณะนั้น ยืนยันได้ว่าทุกคนที่เข้าไปมีความรู้ความสามารถ แต่เราไม่รู้สถานการณ์ในขณะนั้น ว่าอะไรทำให้เกิดความพลาดพลั่ง
“เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ เขาทุ่มเททั้งชีวิต สำหรับการทำงานครั้งนี้ และเป็นเพียงอดีตข้าราชการที่มีจิตอาสาเข้ามาช่วย การทำงานในภารกิจซ้ำๆ คนน้อย พื้นที่ห่างไกล เวลาพักผ่อนน้อย และสภาวะภายในถ้ำ ไม่ได้อยู่สบาย หลับนอนไม่สมบรูณ์ อาจจะส่งผลโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว ผมได้ฝากเน้นย้ำไปยังกำลังพล เพียงแต่บางครั้ง ใจอยากจะช่วย และคิดว่าไหว ต้องเข้าใจอะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด เราทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนความหวังที่จะนำน้องๆออกจากถ้ำโดยเร็วที่สุดนั้น เชื่อว่าจะทำได้ ทุกภาคส่วนช่วยเหลือกันเต็มที่ ถือเป็นสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวและว่า
ขณะนี้ เป็นเรื่องที่ตอบอยาก ว่าควรนำเด็กและโค้ช ออกทางน้ำ หรือทางโพล่งถ้ำ เพราะทั้ง 2 ทางมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การเข้าทางโพล่งถ้ำ ถ้าเราทำได้เป็นเรื่องที่ดี แต่ดูจากพื้นฐานก็อยากพอสมควร ทั้งความลึก และเครื่องมือที่จะต้องทำในเวลาจำกัด ส่วนการออกทางน้ำก็จะมีสิ่งที่ต้องคำนึ่งถึงมากมาย อย่างไรก็ตาม ให้หน้างานเป็นผู้ตัดสินใจ
6 ก.ค. 61 เมื่อเวลา 20.15 น.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า ด้วยพระเมตตาธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสังฆราช และด้วยพระบารมีอันแผ่ไพศาลแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ช่วยอำนวยพร คุ้มครองภัยต่างๆ ให้เด็กและโค้ชทีมฟุตบอล "หมูป่า อะคาเดมี แม่สาย" ทั้ง 13 คน ที่พลัดหลงในถ้ำหลวง จ.เชียงรายได้อยู่รอดปลอดภัย มีสวัสดิภาพทุกคน จวบจนถึงวินาที ที่ชุดดำน้ำกู้ภัยได้เข้าไปพบ
นายกฯ ยังได้กล่าว ขณะนี้เหลือขั้นตอนในเรื่องของการเคลื่อนย้ายออกจากถ้ำให้ปลอดภัย อีกทั้งให้มีการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ให้กลับคืนสู่สภาพปกติ ซึ่งเรายังต้องดำเนินการร่วมกันอย่างรอบคอบต่อไป
ทั้งนี้ ทุกวิกฤต ย่อมแฝงไว้ด้วยโอกาสเสมอ เหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นการแสดงให้ชาวโลกได้เห็นถึง พลังแห่งความรู้ รัก สามัคคี ของชนชาติไทยที่มีอยู่ในสายเลือดทุกยุคทุกสมัยให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรค และผ่านห้วงเวลาแห่งความยากลำบากไปด้วยกันได้เสมอ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง แม้จะไม่ได้สร้างความเสียหายในวงกว้าง แต่ความทุกข์ร้อนใจก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียง13 ครอบครัว เท่านั้น เนื่องจากว่าถ้าเราทุกคนเอาใจเขา มาใส่ใจเราแล้ว ก็ลองตรึกตรองให้ดีว่า ถ้า 13 ชีวิตในถ้ำนั้น คือ ลูกหลาน - ญาติ พี่น้องของเราที่กำลังประสบภัยจากธรรมชาติถูกกักอยู่ในความมืด มีทุกข์กาย ทุกข์ใจ อย่างแสนสาหัสในชีวิต แล้วก็เฝ้ารอคอยความช่วยเหลือจากภายนอกด้วยความหวัง ที่จะได้กลับสู่อ้อมกอดของพ่อแม่ในเร็ววัน
"ผมคิดว่า เราทุกคนก็คงจะมีความรู้สึกทุกข์ร้อนใจไม่ต่างกัน เราถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน คนไทยทั้งประเทศ ดังนั้น การปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยครั้งนี้ จึงเป็นไปตามหลักเมตตาธรรม และหลักมนุษยธรรมโดยทั่วไป" นายกฯ กล่าว
และว่า ตนอยากจะวิงวอนให้ทุกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ได้ตระหนัก และอยู่บนหลักพื้นฐานดังกล่าวด้วย เมื่อเขาออกมาได้ เขาคงมีแต่เพียงคำพูดขอบคุณคนไทยทั้งประเทศ แล้วเขาก็สามารถแสดงออกได้ด้วยการตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เพื่อเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นพลังดีๆ สำหรับรับใช้สังคม และพัฒนาประเทศชาติต่อไปนะครับ ถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ให้กับรุ่นน้อง รุ่นหลังต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณสื่อมวลชน ที่พยายามจะนำเสนอแง่มุมที่เป็นสาระประโยชน์ต่อสังคม ควบคู่ไปกับการรายงานสถานการณ์ และเป็นการรวบรวมกำลังใจ ส่งไปยัง "13 ครอบครัว" ของผู้ประสบภัย หน่วยซีล ทีมกู้ภัย ทีมนักดำน้ำต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องอีกหลายพันคน ที่ทำงานประสานสอดคล้องกันภายใต้ "ศูนย์อำนวยการร่วม" ซึ่งเราต้องมีการถอดบทเรียนเพื่อเตรียมมาตรการลดความเสี่ยงในอนาคตไว้ด้วย โดยเฉพาะแผนการฝึกพลเรือน ตำรวจ และทหาร
"ขอให้กรณีศึกษาของไทยใช้เป็นประโยชน์ในวันข้างหน้า แล้วก็แก้ไขข้อบกพร่องในครั้งนี้ ไม่ให้เกิดซ้ำอีก ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่ถ้าเกิดขึ้นจะต้องไม่มีปัญหาในครั้งต่อไป ต้องสมบูรณ์ที่สุด การวางแผน การจัดทำระบบแจ้งเตือนภัยต่างๆ ป้ายต่างๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยว การสำรวจถ้ำที่น่าสนใจ เหล่านี้ ต้องเร่งสำรวจ โดยเฉพาะถ้ำหลวง - ขุนน้ำนางนอน ต้องสำรวจทุกมุม และรับรู้อันตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะต่อไปอาจจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ของประเทศไทยและของโลก" นายกฯ กล่าว
สำหรับจิตอาสา แม้ว่าจะไม่ได้มีบทบาทหลักในการกู้ภัย แต่การหยิบยื่นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ช่วยเหลือ มีจิตสาธารณะหลายคน หลายท่านที่เห็นเจ้าหน้าที่เขามีความพอใจ ก็คือที่มาช่วยซักผ้าเจ้าหน้าที่ มีการบริจาคสิ่งของ อาหาร ดูแลสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็น ให้การบริการอาหาร - เครื่องดื่ม - ยารักษาโรค ช่วยหยิบจับ - ช่วยขนของอีกมากมาย ล้วนแต่เป็นการปิดทองหลังพระทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นส่วนช่วยหล่อลื่นให้เรื่องยาก เป็นเรื่องง่าย และทำให้ภารกิจหลักๆ ประสบความสำเร็จด้วยดี
"สำหรับทีมนักประดาน้ำจากหลายประเทศ ทีมปีนเขาสูงเก็บรังนกจากเกาะลิบง ทีมขุดเจาะน้ำบาดาลจากโคราช ทีมเครื่องสูบน้ำหัวพญานาคจากนครปฐม โอ้ย.. กล่าวได้ไม่หมดหรอกนะครับ เยอะแยะไปหมด ขอชื่นชมนะครับ วัดทุกวัด พระ ศาสนาทุกศาสนา ผู้นำในประเทศไทย ได้มีการการสวดมนต์ กล่าวคำอวยพร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครู นักเรียน ทุกโรงเรียนที่ส่งกำลังใจไปช่วย กล่าวได้ไม่หมด ใครกล่าวไม่ครบก็ขอโทษด้วย ขอขอบคุณด้วยใจจริงๆ ของนายกฯ แล้วก็แทน 13 คน กับครอบครัวด้วย" นายกฯ กล่าว
ผู้ว่าฯ ภูเก็ต เผยพบแล้ว 21 ศพ เหยื่อเรือล่มภูเก็ต สั่งค้นหาผู้สูญหายอีก 35 คน ในรัศมี 10 กิโลเมตร ททท.ประสานสนง.ปักกิ่งให้ข้อมูลญาตินักท่องเที่ยว
ความคืบหน้าการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุเรือฟินิกซ์ล่มที่ เกาะเฮ อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อวานนี้ (5 ก.ค.) ทำให้มีผู้สูญหาย 56 คน ล่าสุดตั้งเช้าวันนี้ (6 ก.ค.) ได้มีการส่งทีมค้นหาออกสำรวจค้นหาในบริเวณจุดเกิดเหตุและใกล้เคียงปูพรมทางอากาศและทางเรือ จนสามารถค้นหาผู้ประสบภัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนทั้งที่เสียชีวิต และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
ต่อมาเวลา 14.30 น. นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตพร้อมด้วย พล.ร.ต.เจริญพล คุ้ม ราษี รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงความคืบหน้าการกู้ชีพกู้ภัยกรณีสถานการณ์เรือล่มในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ว่า จากเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมาซึ่งมีเรือล่มในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตจำนวน 3 ลำ
ประกอบด้วยเรือฟีนิกซ์ซึ่งมีผู้โดยสารและลูกเรือรวม 105 คน,เรือ เซเนเรต้า มีผู้โดยสารและลูกเรือรวม 42 คน และเรือเจ็ตสกีมีผู้โดยสารจำนวน 2 คน จากสถานการณ์การกู้ชีพกู้ภัยดำเนินการเข้าสู่วันที่ 2 มีผลการดำเนินงาน ดังนี้ ในส่วนของเรือเซเนเรต้า และเรือเจ็ตสกี ทีมกู้ชีพกู้ภัยสามารถให้การช่วยเหลือผู้โดยสารและลูกเรือจนได้รับความปลอดภัยแล้วทั้ง 2 ลำ รวมผู้โดยสารและลูกเรือ 44 คน
ส่วนเรือฟีนิกซ์ซึ่งมีผู้โดยสารรวม 105 คน (แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน 93 คนลูกเรือและไกด์ 12 คน) การดำเนินการกู้ชีพกู้ภัยสามารถช่วยเหลือนักท่องเที่ยวและลูกเรือได้จำนวน 49 คน พบศพผู้เสียชีวิตแล้วจำนวน 21 คน และต้องดำเนินการค้นหาอีกจำนวน 35 คน
ผู้ว่าฯภูเก็ต กล่าวว่า ทีมกู้ชีพกู้ภัยจะวางเป้าหมายหลักทำการค้นหาในบริเวณซากเรือฟีนิกส์เป็นจุดสำคัญ เพื่อหาผู้โดยสารที่ติดค้างในลำเรือให้ได้มากที่สุด ควบคู่กับการลาดตะเวนค้นหาในทะเลในรัศมี 10 กิโลเมตร และจะดำเนินการค้นหาอย่างต่อเนื่องทั้งทางอากาศ ทางน้ำและทางบกจนกว่าจะพบผู้สูญหายทั้งหมด
พล.ร.ต.เจริญพล คุ้มราษี รองผู้บัญชาทัพเรือภาคที่ 3 กล่าวว่า ได้มีการบูรณาการกำลังและอากาศยาน ในการค้นหา รวมถึงการส่งชุดประดาน้ำลงตรวจสอบยังพิกัดที่เรือฟินิกซ์จม และได้เจ้าไปตรวจสอบในตัวเรือได้ 1 ห้อง พบผู้สูญหาย ประมาณ 10 คน แต่ด้วยระดับน้ำที่เรือจมลึกประมาณ 40 เมตร ทำให้การเข้าไปช่วยเหลือได้ลำบาก ซึ่งชุดแรกใช้เวลา 45 นาทีและกำลังจะส่งชุด 2 ลงไปตรวจสอบเพิ่มเติม
ขณะที่นางกนกกิตติกา กฤตวุฒิกร ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต กล่าวว่า ทาง ททท.ภูเก็ต ได้มีการรับข้อมูลทั้งหมดจากศูนย์บัญชาการจังหวัดภูเก็ตซึ่งอยู่ที่ท่าเทียบเรืออ่าวฉลองเพื่อส่งให้กับสำนักงานปักกิ่งเพื่อเป็นข้อมูลแก่ญาติหรือเพื่อนฝูงในการติดตามข้อมูลนักท่องที่สูญหาย