30 พ.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Trump's tariffs to remain in effect after appeals court grants stay ระบุว่า ศาลอุทธรณ์สหรัฐอเมริกา มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้มาตรการกำแพงภาษี หรือการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ที่ออกโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ยังมีผลบังคับใช้ต่อไปได้ หลังจากที่ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 ระบุว่ามาตรการดังกล่าวของทรัมป์เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย
คำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ดังกล่าวนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย ซึ่งอาจส่งผลให้การเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากคู่ค้าส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า “วันปลดแอก (Liberation Day)” ของทรัมป์ รวมถึงภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ล่าช้าออกไป โดยคำตัดสินของศาลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการที่ทรัมป์กล่าวหาว่าทั้งสามประเทศนี้อำนวยความสะดวกให้ยาเฟนทานิลที่ไหลทะลักเข้าสู่สหรัฐฯ
องค์คณะตุลาการของศาลการค้าฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษา 3 คน ได้วินิจฉัยว่า รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ให้อำนาจแก่รัฐสภาในการเรียกเก็บภาษีและอากร ไม่ใช่ประธานาธิบดี แต่ประธานาธิบดีได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตด้วยการอ้างกฎหมาย พ.ร.บ.อำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งหมายเพื่อจัดการกับภัยคุกคามในช่วงภาวะฉุกเฉินระดับชาติ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลทรัมป์กล่าวว่าพวกเขาไม่หวั่นไหวต่อคำตัดสินของศาลการค้าฯ และคาดว่าจะชนะในการต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ หรือไม่ก็จะใช้อำนาจอื่นๆ ของประธานาธิบดี เพื่อให้แน่ใจว่าภาษีศุลกากรจะมีผลบังคับใช้
ทรัมป์ใช้เหตุผลเรื่อง “ภัยคุกคาม” ในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรราคาแพงจากผู้นำเข้าของสหรัฐฯ สำหรับสินค้าจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเป็นแรงผลักดันในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งคำตัดสินของศาลการค้าฯ จะพลิกโฉมกลยุทธ์ดังกล่าว แต่รัฐบาลทรัมป์กล่าวว่า คำตัดสินของศาลการค้าฯ ไม่ได้ขัดขวางการเจรจากับคู่ค้ารายใหญ่ใดๆ ที่กำหนดไว้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ โพสต์ความในสื่อสังคมออนไลน์ ระบุว่า ตนหวังให้ศาลฎีกา “พลิกคำตัดสินที่น่ากลัวนี้ที่คุกคามประเทศ" ของศาลการค้า พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตุลาการของรัฐบาลว่าเป็นพวกต่อต้านอเมริกา
“การตัดสินใจอันน่าสยดสยองนี้ระบุว่าผมจะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาสำหรับภาษีศุลกากรเหล่านี้ หากปล่อยให้เกิดขึ้น อำนาจของประธานาธิบดีจะถูกทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง ตำแหน่งประธานาธิบดีจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป! การตัดสินใจครั้งนี้ได้รับการยกย่องจากทุกประเทศทั่วโลก ยกเว้นสหรัฐอเมริกา” ทรัมป์ โพสต์ข้อความเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 29 พ.ค. 2568
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า คู่ค้าหลายรายของสหรัฐฯ ได้ให้คำตอบอย่างระมัดระวัง รัฐบาลอังกฤษกล่าวว่าคำตัดสินของศาลการค้าเป็นเรื่องภายในของรัฐบาลสหรัฐฯ และระบุว่าเป็นเพียง "ขั้นตอนแรกของกระบวนการทางกฎหมาย" ทั้งเยอรมนีและคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารของสหภาพยุโรป (EU) กล่าวว่าไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำตัดสินดังกล่าวได้ แต่อีกด้านหนึ่ง มาร์ค คาร์นีย์ (Mark Carney) นายกรัฐมนตรีแคนาดา กล่าวว่า คำตัดสินของศาลการค้าฯ สอดคล้องกับจุดยืนที่ยาวนานของแคนาดา ที่ว่าภาษีศุลกากรของทรัมป์เป็นการกระทำผิดกฎหมาย
ตลาดการเงินซึ่งผันผวนตอบสนองต่อความพลิกผันของสงครามการค้าที่วุ่นวายของทรัมป์ ตอบสนองด้วยความหวังอย่างระมัดระวังต่อคำตัดสินของศาลการค้าฯ แม้การเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดทหลักทรัพย์ในวันที่ 29 พ.ค. 2568 จะถูกจำกัดส่วนใหญ่โดยความคาดหวังว่าคำตัดสินของศาลอาจต้องเผชิญกับกระบวนการอุทธรณ์ที่อาจยาวนาน ตามการวิเคราะห์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ นักวิเคราะห์มองว่าความไม่แน่นอนในวงกว้างยังคงมีอยู่เกี่ยวกับอนาคตของภาษีศุลกากรของทรัมป์ ซึ่งทำให้บริษัทสูญเสียยอดขายมากกว่า 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และต้นทุนที่สูงขึ้น
ภาษีศุลกากรเฉพาะบางภาคส่วน เช่น การนำเข้าเหล็ก อลูมิเนียม และรถยนต์ ถูกบังคับใช้โดยทรัมป์ภายใต้อำนาจที่แยกจากกันด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ และไม่ได้รับผลกระทบจากคำตัดสินของศาลการค้าฯ ขณะที่ ศูนย์ยุติธรรมลิเบอร์ตี้ ซึ่งเป็นกลุ่มไม่แสวงหากำไรที่เป็นตัวแทนของธุรกิจขนาดเล็ก 5 แห่งที่ฟ้องร้องเกี่ยวกับมาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์ ให้ความเห็นว่า คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์เป็นเพียงขั้นตอนตามกระบวนการ
เจฟฟรีย์ ชวาบ (Jeffrey Schwab) ที่ปรึกษาอาวุโสของศูนย์แห่งนี้ กล่าวว่า ศาลอุทธรณ์จะเห็นด้วยกับธุรกิจขนาดเล็กที่เผชิญกับความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขได้จากการสูญเสียซัพพลายเออร์และลูกค้าที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานที่ถูกบังคับให้เกิดขึ้นซึ่งมีต้นทุนสูง และที่สำคัญที่สุดคือภัยคุกคามโดยตรงต่อการอยู่รอดของธุรกิจเหล่านี้
ในวันที่ 29 พ.ค. 2568 ศาลรัฐบาลกลางอีกแห่งยังมีคำวินิจฉัยว่า ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการใช้ พ.ร.บ.อำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ สำหรับสิ่งที่เรียกว่าภาษีศุลกากรแบบตอบแทนอย่างน้อยร้อยละ 10 สำหรับสินค้าจากคู่ค้าส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ และสำหรับภาษีศุลกากรแยกต่างหากร้อยละ 25 สำหรับสินค้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีนที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล อย่างไรก็ตาม คำตัดสินดังกล่าวมีขอบเขตที่แคบกว่ามาก และคำสั่งบรรเทาทุกข์เพื่อหยุดภาษีศุลกากรนั้นมีผลใช้กับบริษัทของเล่นที่ยื่นฟ้องเท่านั้น แต่ฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้อุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าวด้วยเช่นกัน
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า หลังจากที่ตลาดเกิดการประท้วงหลังจากทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 ผู้นำสหรัฐฯ ได้ระงับภาษีนำเข้าส่วนใหญ่เป็นเวลา 90 วัน และกล่าวว่า ตนจะเจรจาข้อตกลงทวิภาคีกับพันธมิตรทางการค้า อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า นอกเหนือไปจากข้อตกลงกับอังกฤษในเดือน พ.ค. 2568 นี้แล้ว ข้อตกลงต่างๆ ยังคงคลุมเครือ และการตัดสินของศาลการค้าฯ เกี่ยวกับภาษีนำเข้าและความไม่แน่นอนของกระบวนการอุทธรณ์อาจทำให้ประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น ไม่กล้าที่จะทำข้อตกลงโดยเร็ว
จอร์จ ลากาเรียส (George Lagarias) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Forvis Mazars บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการตรวจสอบบัญชีและที่ปรึกษาทางธุรกิจ กล่าวว่า หากการอุทธรณ์ไม่ประสบผลสำเร็จในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ชัยชนะหลักคือเวลาที่จะเตรียมตัว และกำหนดขอบเขตของภาษีนำเข้า ซึ่งในขณะนี้จะไม่เกินร้อยละ 15
ขณะที่ Oxford Research สถาบันคลังสมองในอังกฤษ คาดการณ์ว่า คำวินิจฉัยของศาลการค้าฯ น่าจะทำให้ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ลดลงเหลือประมาณร้อยละ 6 แต่คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ทำให้ภาษีศุลกากรจะคงอยู่ที่ประมาณร้อยละ 15 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่ทรัมป์ทำเมื่อต้นเดือน พ.ค. 2568 โดยลดภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าจีนจนถึงปลายฤดูร้อน ในทางตรงกันข้าม อัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจริงอยู่ระหว่างร้อยละ 2 - 3 ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 เมื่อเดือน ม.ค. 2568
สงครามการค้าของทรัมป์ทำให้ผู้ผลิตสินค้าทุกอย่างสั่นคลอน ตั้งแต่กระเป๋าถือและรองเท้าผ้าใบหรูหรา ไปจนถึงเครื่องใช้ในบ้านและรถยนต์ เนื่องจากราคาของวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทเครื่องดื่ม Diageo และผู้ผลิตรถยนต์ General Motors และ Ford เป็นกลุ่มที่เลิกคาดการณ์ผลประกอบการในปีหน้าแล้ว ขณะที่บริษัทที่ไม่ได้อยู่ในสหรัฐฯ เช่น Honda, Campari, Roche และ Novartis กล่าวว่ากำลังพิจารณาย้ายการดำเนินงานหรือขยายการดำเนินงานในสหรัฐฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาษีศุลกากร
ทั้งนี้ ในกระบวนการชั้นอุทธรณ์ ศาลได้สั่งให้ฝ่ายโจทก์ ซึ่งยื่นฟ้องให้เพิกถอนมาตรการกำแพงภาษี ยื่นคำร้องภายในวันที่ 5 มิ.ย. 2568 ส่วนฝ่ายจำเลย คือรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ยื่นคำร้องภายในวันที่ 9 มิ.ย. 2568
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.reuters.com/business/us-ruling-that-trump-tariffs-are-unlawful-stirs-relief-uncertainty-2025-05-29/
” เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา สมาคมไทย-อเมริกันแห่งแคลิฟอร์เนียภาคใต้ นำโดยคุณคิด ฉัตรประภาชัย นายกสมาคมไทยฯ ร่วมกับสมาคมพยาบาลแห่งแคลิฟอร์เนีย โดยคุณพัตรา อัธศวมหากุล นายกสมาคมฯ และ พ.ญ.สุวรรณี วิทยภูมิ ได้จัดกิจกรรม “คลินิกชุมชน” ให้บริการตรวจสุขภาพฟรีแก่คนไทยในชุมชน ณ วัดไทยลอสแองเจลลิส กิจกรรมสำเร็จลงได้ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ตลอดจน คุณพงษ์เดช ตุลาภรณ์ (พอล) – เจ้าของร้าน McDonald’s ผู้สนับสนุน Gift Card มูลค่า $10 จำนวน 50 ใบแก่ผู้เข้าตรวจทุกท่าน
กิจกรรมในครั้งนี้มีบริการตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจค่าน้ำตาลในเลือด และให้คำปรึกษาด้านสุขภาพโดยทีมแพทย์และพยาบาลจิตอาสา โดยมีผู้เข้ารับบริการรวมทั้งสิ้น 75 คน กิจกรรมสำเร็จลงได้ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน นำโดยทีมจิตอาสาจากสมาคมพยาบาลแห่งแคลิฟอร์เนีย ได้แก่ คุณ Nancy Athisin, คุณ Abigail Cruz และทีมพยาบาลอีกหลายท่าน พร้อมด้วยทีมจิตอาสาจากสมาคมไทยฯ และคุณญาดา คริสเทน ผู้ประสานงานนำทีมแพทย์จิตอาสามาร่วมให้บริการ ได้แก่ Dr. Monte Christen, Dr. Mark Knight และ Dr. Mingjia Christen
ในนามของผู้จัดงาน ขอขอบคุณผู้สนับสนุนในการทำให้งานสำเร็จลุล่วงได้เป็นอย่างดีได้แก่:
1. คุณสมชาย ไทยทัน – ผู้ประสานงานและจัดเตรียมสถานที่
2. คุณพงษ์เดช ตุลาภรณ์ (พอล) – เจ้าของร้าน McDonald’s ผู้สนับสนุน Gift Card มูลค่า $10 จำนวน 50 ใบ
3. คุณวรนุข บุญประกอบ และคุณอรวรรณ กิจจาพิพัฒ – ผู้สนับสนุนอาหารเช้าและกลางวัน และ ขนมปังสังขยา “หญิงขนมไทย ”https://yingkanomthai.com/xvebit
กิจกรรมนี้สะท้อนถึงความสามัคคีและการดูแลกันของคนไทยในต่างแดน ซึ่งนับเป็นแบบอย่างของพลังชุมชนที่แท้จริง
รัฐแมนิโทบา และรัฐซัสแคตเชวันของแคนาดา ประกาศภาวะฉุกเฉินและเรียกร้องให้ประชาชนหลายหมื่นคนในพื้นที่ตอนเหนือและตะวันออกของรัฐ เนื่องจากไฟป่าลุกลามกินพื้นที่ไปแล้วหลายหมื่นไร่
วาบ คินิว มุขมนตรีรัฐแมนิโทบา กล่าวว่าประชาชน 17,000 คนต้องอพยพโดยเร็ว รวมถึงจากเมืองฟลินฟลอน หลายคนจะไปพักอยู่ที่สนามฟุตบอลและศูนย์ชุมชนในเมืองวินนิเพกและเมืองอื่นๆ และกองกำลังติดอาวุธของรัฐบาลกลางกำลังเดินทางมาช่วยเคลื่อนย้ายผู้ที่ถูกอพยพ และกล่าวว่าการอพยพครั้งนี้ถือเป็นการอพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวแมนิโทบา และต้องใช้ทรัพยากรและความร่วมมืออย่างมากจากทุกระดับของรัฐบาล
ส่วนสถานการณ์ไฟป่าในรัฐซัสแคตเชวัน ยังคงวิกฤต จนต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน และอพยพประชาชนหลายพันคนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง เนื่องจากมีไฟป่ามากถึง 14 จุด ที่ยังคงลุกลามอยู่ในขั้นที่ควบคุมไม่ได้ ประกาศดังกล่าวอนุญาตให้หน่วยงานของรัฐในระดับต่างๆ เข้าควบคุมสถานการณ์ไฟป่าซึ่งส่งผลให้ประชาชนกว่า 4,000 คน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนในพื้นที่ห่างไกลทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐ สถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวมีกำหนด 30 วันและอาจขยายเวลาออกไปตามความจำเป็น
นอกจากนี้ ไฟป่าในรัฐอัลเบอร์ตายังทำให้ต้องหยุดการผลิตน้ำมันและก๊าซบางส่วนเป็นการชั่วคราว และทำให้ประชาชนในเมืองเล็กๆ อย่างน้อยหนึ่งเมืองต้องอพยพออกไป ด้านบริษัทผลิตน้ำมัน Cenovus Energy เปิดเผยว่าบริษัทได้ลดจำนวนพนักงานที่ไม่จำเป็นในโรงงานที่ฟอสเตอร์ครีกเพื่อรับมือกับไฟป่าทางตอนเหนือของอัลเบอร์ตา
เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ภูมิภาคดังกล่าวได้รับผลกระทบจากไฟป่าที่กินพื้นที่กว่า 18,000 ไร่ ใกล้กับทะเลสาบชิปเปยาน ซึ่งเป็นชุมชนเล็กๆ ทางตอนเหนือของรัฐ ห่างจากศูนย์กลางผลิตทรายน้ำมันฟอร์ตไปทางตะวันตกประมาณ 130 กิโลเมตร
เจ้าหน้าที่รัฐบาลอัลเบอร์ตาเปิดเผยว่าไม่เกิดภัยคุกคามต่อทะเลสาบ Chipewyan ในขณะนี้ แต่ประชาชนได้รับแจ้งอพยพออกไป 1 ชั่วโมง เนื่องจากลมอาจเปลี่ยนทิศได้ ส่วนไฟป่าอีกจุดหนึ่งซึ่งมีขนาดเกือบ 10,000 ไร่ กำลังลุกไหม้อย่างควบคุมไม่ได้ ห่างไปทางเหนือของเมืองสวอนฮิลส์ ประมาณ 7 กม.
เมื่อเย็นวันจันทร์ ประชาชนประมาณ 1,200 คนใน Swan Hills ได้รับคำสั่งให้อพยพออกไป Aspenleaf Energy ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายหนึ่งในพื้นที่ดังกล่าว กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่าได้หยุดดำเนินการชั่วคราวเพื่อป้องกัน และปิดการผลิตน้ำมันประมาณ 4,000 บาร์เรลต่อวัน
ทั้งนี้ ฤดูไฟป่าของแคนาดาเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน โดยฤดูไฟป่าที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นในปี 2023 เมื่อไฟป่าได้ปกคลุมอเมริกาเหนือจนเต็มไปด้วยควันอันตรายเป็นเวลาหลายเดือน.
ที่มา Reuters BBC
ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางมีคำสั่งขยายเวลาคำสั่งชั่วคราวที่ห้ามรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิกถอนสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในการรับนักศึกษาต่างชาติ ถือเป็นชัยชนะเบื้องต้นของมหาวิทยาลัยชื่อดังในศึกที่กำลังเผชิญหน้ากับฝ่ายบริหารของทรัมป์
ผู้พิพากษาอัลลิสัน เบอร์รอจห์ แห่งเขตบอสตัน ออกคำสั่งห้ามเบื้องต้น (preliminary injunction) เพื่อยืดอายุคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่เธอเคยมีคำสั่งไว้เมื่อ 6 วันก่อน ซึ่งขัดขวางไม่ให้รัฐบาลทรัมป์เพิกถอนสิทธิ์ของฮาร์วาร์ดอย่างทันที
ในระหว่างการพิจารณาคดี ฝ่ายรัฐบาลโดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ได้ส่งหนังสือแจ้งฮาร์วาร์ดว่าจะขยายเวลาให้ 30 วันสำหรับยื่นหลักฐานต่อแผนเพิกถอนสิทธิ์รับนักเรียนต่างชาติ ซึ่งแตกต่างจากท่าทีเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ระบุว่าการเพิกถอนมีผลทันที
ทนายจากกระทรวงยุติธรรมให้เหตุผลว่าขณะนี้ไม่มีความจำเป็นต้องมีคำสั่งศาล เพราะทางมหาวิทยาลัยสามารถโต้แย้งได้ผ่านกระบวนการปกครอง
แต่ผู้พิพากษาเบอร์รอจห์ แสดงความไม่ไว้วางใจ โดยระบุว่าแม้กระบวนการจะดำเนินไป แต่ผลลัพธ์ก็อาจกลับมาจุดเดิม พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าฝ่ายบริหารปฏิบัติตามคำสั่งชั่วคราวจริงหรือไม่ หลังจากมีหลักฐานจากฮาร์วาร์ดว่า วีซ่าของนักเรียนใหม่บางรายถูกเพิกถอนไปแล้ว
โดยคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังอยู่ระหว่างเจรจารายละเอียดของคำสั่งห้ามถาวร
มีรายงานว่า ในขณะที่ศาลกำลังมีคำสั่งออกมา ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดซึ่งอยู่ห่างจากศาลเพียง 8 กิโลเมตร กำลังพิธีมอบปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาหลายพันคน โดยอธิการบดีอลัน การ์เบอร์ได้กล่าวต้อนรับผู้สำเร็จการศึกษาว่า "ขอต้อนรับนักศึกษาทุกคน ไม่ว่าจะมาจากถนนใกล้ๆ จากทั่วประเทศและจากทั่วโลก" พร้อมย้ำท้ายประโยคว่า จากทั่วโลก อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งทันที่ที่กล่าวจบก็ได้รับเสียงปรบมือกึกก้องจากทุกคนที่เข้าร่วมพิธี
ทั้งนี้ รัฐบาลทรัมป์เปิดฉากโจมตีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในหลายแนวทาง ทั้งการอายัดงบวิจัยหลายพันล้านดอลลาร์ เสนอให้ยกเลิกสถานะองค์กรปลอดภาษี และเปิดการสอบสวนว่าโรงเรียนเลือกปฏิบัติทางเพศหรือเชื้อชาติ โดยเฉพาะต่อชายผิวขาว เอเชีย หรือกลุ่มรักร่วมเพศ
หนึ่งในแนวทางที่กระทบชัดเจนคือ แผนเพิกถอนสิทธิ์ในการรับนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งฮาร์วาร์ดระบุว่าจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง เนื่องจาก นักศึกษากว่า 1 ใน 4 ของทั้งมหาวิทยาลัยเป็นชาวต่างชาติ และเกือบ 60% ของนักศึกษาปริญญาโทจาก Harvard Kennedy School ก็มาจากต่างประเทศ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยชี้ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการ "ตอบโต้ทางนโยบายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" ซึ่งละเมิดเสรีภาพทางวิชาการอย่างร้ายแรง
หนึ่งวันก่อนหน้า รัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ ของรัฐบาลทรัมป์ ระบุว่าจะเริ่มดำเนินการอย่างเข้มข้นในการเพิกถอนวีซ่านักเรียนจีนที่ศึกษาในสหรัฐ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือเรียนในสาขาที่มีความสำคัญระดับยุทธศาสตร์ แม้จะไม่ได้ระบุสาขาใดโดยเฉพาะ
ปัจจุบันมีนักเรียนจีนกว่า 275,000 คนศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ ถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของมหาวิทยาลัย และเป็นแหล่งบุคลากรสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของอเมริกา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าการจำกัด นักศึกษาต่างชาติจะส่งผลเสียระยะยาว และกำลังผลักดันให้ "สมองไหล" ไปยังประเทศอื่นที่เปิดกว้างกว่า โดยเฉพาะนักเรียนจีน ซึ่งเริ่มหันไปหาประเทศอื่นแล้ว ซึ่งถือเป็นการสูญเสียใหญ่หลวงของสหรัฐฯ.
ที่มา : channelnewsasia
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ว่ากระทรวงข่าวสารกัมพูชาออกแถลงการณ์ ขอความร่วมมือไปยังสื่อมวลชนและผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียในประเทศ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่และการแบ่งปันข้อมูลข่าวสาร “ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายซึ่งกำลังปฏิบัติภารกิจ”...
แม้ไม่ได้มีการพาดพิงหรืออ้างอิงเหตุการณ์ใด แต่การประกาศดังกล่าวของรัฐบาลกัมพูชาเกิดขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดบนแนวชายแดน ซึ่งเกิดการปะทะระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย ที่ช่องบก ใกล้กับหมู่บ้านเตโชมรกต ตำบลมรกต อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหาร และอำเภอน้ำยืน ในจังหวัดอุบลราชธานีของไทย เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย หลังจากนั้น ผู้บัญชาการทหารระดับสูงของทั้งสองประเทศเจรจากัน เพื่อคลี่คลายข้อพิพาท.(เครดิตภาพ : AFP)...
สมเด็จฮุนเซน แสดงจุดยืนชัด หลังเหตุปะทะชายแดนช่องบก ย้ำไม่อยากให้เกิดสงคราม แต่พร้อมรับมือหากถูกบุกรุก สมเด็จฮุนเซน โพสต์แสดงความเสียใจ หลังทหารกัมพูชาเสียชีวิต
วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ได้เกิดเหตุปะทะระหว่าง ทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณ ชายแดนช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีการแบ่งเขตแดนอย่างเป็นทางการ นำไปสู่ความสูญเสียของฝ่ายกัมพูชา โดยมีทหารเสียชีวิต 1 นาย
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ Suon Ron ผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งระบุว่า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งควรเป็นพรมแดนแห่งมิตรภาพและสันติภาพ
ก่อนอื่น ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง และขอร่วมไว้อาลัยกับครอบครัวของ พลทหารเอก ซวน รอน (Suon Ron) ผู้เสียชีวิตจากการถูกโจมตีโดยกองกำลังทหารผู้รุกราน
ชายแดนแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา ไม่ควรมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ข้าพเจ้าขอประณามอย่างรุนแรงต่อบุคคล หน่วยงาน หรือกลุ่มใดก็ตามที่ตัดสินใจดำเนินการรุกรานในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์รุกรานช่วงปี 2008 ถึง 2011 ที่ปราสาทพระวิหาร
ข้าพเจ้าไม่ต้องการเห็นการต่อสู้ใด ๆ เกิดขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเห็นชอบกับการตัดสินใจของรัฐบาลในการส่งกำลังทหารและอาวุธหนักไปยังชายแดน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการป้องกันตัวเองในกรณีที่มีการรุกรานเพิ่มเติม
ข้าพเจ้าหวังว่าการเจรจาที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ระหว่างผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองประเทศ จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี และขอให้ไม่มีความตึงเครียดตามแนวชายแดนทั้งหมด ซึ่งอาจส่งผลให้ความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศต้องหยุดชะงัก
ข้าพเจ้าขอวิงวอนพี่น้องร่วมชาติ โปรดอย่าทำให้ความขัดแย้งนี้ขยายตัวจนกลายเป็นการเกลียดชังทางเชื้อชาติ และขอให้เชื่อมั่นในกระบวนการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลและกองทัพของทั้งสองประเทศ
เราทุกคนเกลียดสงคราม แต่เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องทำสงครามเพื่อต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติ เหมือนที่เราเคยเผชิญระหว่างปี 2008 ถึง 2011 โดยใช้กลยุทธ์สามแนวทาง ได้แก่ การทหาร การทูต และกระบวนการทางกฎหมาย
เปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปราสาทเขาพระวิหาร ปี 2551–2554
สมเด็จฮุนเซนเปรียบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ การบุกรุกบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ระหว่างปี 2551–2554 โดยชี้ว่า การกระทำครั้งนี้คล้ายคลึงกัน และถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ พร้อมประกาศชัดว่า "ผมขอประณามบุคคลหรือชนชั้นใดก็ตามที่อยู่เบื้องหลังการรุกรานครั้งนี้"
ส่งทหารและอาวุธหนักเข้าชายแดน เตรียมพร้อมหากมีการรุกรานซ้ำ แม้สมเด็จฮุนเซนจะย้ำว่าไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งลุกลามเป็นสงคราม แต่ก็แสดงความเห็นชอบกับการที่รัฐบาลกัมพูชา ส่งกำลังทหารและอาวุธหนัก ไปประจำชายแดน เพื่อเตรียมความพร้อมหากมีการบุกรุกเพิ่มเติม
หวังผลการเจรจาระหว่างสองกองทัพจะนำไปสู่ความสงบ
สมเด็จฮุนเซนแสดงความหวังว่า การเจรจาระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ ที่จะเกิดขึ้นในวันถัดไปจะช่วยลดความตึงเครียด และไม่ส่งผลกระทบต่อความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ระหว่างไทยและกัมพูชา
“ขอให้ประชาชนชาวกัมพูชาอย่าใช้ความขัดแย้งนี้เป็นเครื่องมือในการเหยียดเชื้อชาติ และขอให้เชื่อมั่นในรัฐบาลและกองทัพของทั้งสองประเทศ ที่จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม”
ย้ำ 3 แนวทาง: การทูต ทหาร และกฎหมาย
ท้ายที่สุด สมเด็จฮุนเซนกล่าวอย่างหนักแน่นว่า กัมพูชาไม่ต้องการสงคราม แต่หากถูกรุกรานก็จำเป็นต้องลุกขึ้นต่อสู้ โดยจะยึด แนวทาง 3 ประการ ได้แก่ การทูต การทหาร และทางกฎหมาย ในการแก้ไขปัญหาเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012