ข่าว
งานวิจัยจีนเผยสาเหตุ “เชื้อเดลต้า” แพร่เร็ว ระบุแพร่พันธุ์ในร่างคนได้มากกว่าเดิม 1,000 เท่า

ทีมนักวิจัยในสังกัด ศูนย์เพื่อการควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) แห่งมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน เผยแพร่รายงานผลการศึกษาวิจัยเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า ผ่านเว็บไซต์ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ เปิดเผยถึงสาเหตุที่ทำให้เชื้อกลายพันธุ์เดลต้า หรือ บี.1.617.2 ซึ่งพบครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย สามารถแพร่ระบาดได้เร็วกว่าเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมถึง 225 เปอร์เซ็นต์ว่า เป็นเพราะเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า สามารถขยายตัวในร่างกายผู้ติดเชื้อได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก

ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่ติดเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า จะมีปริมาณเชื้อในระบบทางเดินหายใจมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมถึงราว 1,000 เท่า นอกจากนั้น ผู้ที่ติดเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า มีแนวโน้มว่าสามารถแพร่ต่อให้กับผู้อื่นได้ในเวลาอันรวดเร็วกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิม ทีมวิจัยพบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว เชื้อเดลต้า ใช้เวลาเพียง 4 วันในการขยายตัวภายในร่างกายของผู้ติดเชื้อได้ในปริมาณสูงจนสามารถตรวจพบได้ ในขณะที่เชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิม ต้องใช้เวลานาน 6 วัน

ในการวิจัยดังกล่าว ทีมนักวิทยาศาสตร์ของจีน ใช้วิธีการวิเคราะห์ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ติดเชื้อกลายพันธุ์เดลต้าในการแพร่ระบาดครั้งแรกในจีน ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 21 พฤษภาคมจนถึง 18 มิถุนายนปีนี้ ที่เมืองกวางโจว เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง โดยใช้วิธีการตรวจวัดระดับเชื้อเดลต้าในผู้ป่วยจำนวน 62 คน และนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกับระดับของเชื้อไวรัสในผู้ติดเชื้อ 63 คนซึ่งติดเชื้อในปี 2020 ที่เป็นเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิม

ทีมวิจัยสรุปว่า เนื่องจากผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ติดเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า มีแนวโน้มที่จะแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้เร็วกว่าผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิม ทำให้มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องแยกกักตัวผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อกลายพันธุ์นี้ในทันทีเป็นเวลา 14 วัน

นอกเหนือจากวิธีการแยกกักตัวดังกล่าว วิธีที่ดีในการต่อต้านการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า ก็คือการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั้งนี้ นายแพทย์ โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์ซีดีซีของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า เมื่อตรวจสอบสถิติล่าสุดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาในสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกา 99.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนทั้งสิ้น

แอ่งชิกชูลูบ และชุมชนจุลินทรีย์ที่ฟื้นคืนชีพ

ด้วยความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภัยพิบัติทางนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้นหรือผลกระทบของดาวเคราะห์น้อย การวิจัยว่าชีวิตบนโลกตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม นิเวศวิทยา และวิวัฒนาการที่สำคัญ เช่นการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในอดีตนั้นจะมีผลกับทางธรณีวิทยาอย่างไร เรื่องเหล่านี้มีความสำคัญต่อความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับความยืดหยุ่นของสิ่งมีชีวิตบนโลก

ล่าสุด นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเคอร์ติน ในออสเตรเลีย รายงานถึงการศึกษาจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในหินที่อยู่ลึกลงไปใต้บริเวณที่มีการพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อยที่กวาดล้างไดโนเสาร์ไปจากโลกเมื่อ 66 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งเรียกว่าแอ่งอุกกาบาตหรือแอ่งธรณีชิกชูลูบ (Chicxulub) ในเม็กซิโก นักวิจัยเผยว่า ทดลองใช้การจัดลำดับยีน การนับเซลล์ และระยะฟักตัว เพื่อศึกษาชุมชนจุลินทรีย์และพบว่าการเสียรูปทางธรณีวิทยาที่เกิดจากผลกระทบเมื่อ 66 ล้านปีก่อน ยังคงสร้างสิ่งมีชีวิตใต้พื้นที่แอ่งดังกล่าว โดยผลกระทบจากการชนในสมัยโบราณยังคงมีอิทธิพลต่อประเภทของจุลินทรีย์ที่พบในปัจจุบัน

นักวิจัยเชื่อว่าประมาณ 1 ล้านปีหลังจากการปะทะชน แอ่งที่เกิดขึ้นจากการชนได้เย็นตัวลงจนมีอุณหภูมิต่ำพอที่จุลินทรีย์จะฟื้นคืนชีพ และวิวัฒนาการแยกจากสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลกในช่วง 65 ล้านปีที่ผ่านมา ดังนั้น การค้นพบนี้ จึงให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิตของจุลินทรีย์ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงและการฟื้นตัวของสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วจากเหตุการณ์รุนแรง เช่น การชนของดาวเคราะห์น้อย

(Credit : NASA/NOAA/GOES Project)


รัฐมนตรีสาธารณสุขอินเดียลาออก รับผิดชอบคุมวิกฤติโควิดไม่อยู่

อินเดียเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีสาธารณสุขและรัฐมนตรีอีกหลายตำแหน่ง หลังรัฐมนตรีสาธารณสุขตัดสินใจลาออก เพื่อรับผิดชอบที่คุมโควิดไม่อยู่ ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงการรักษา จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

นายฮาร์ช วาร์ธัน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการครอบครัวของอินเดียประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อ 7 กรกฎาคม เพื่อรับผิดชอบต่อความล้มเหลว ที่ไม่สามารถบริหารจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ จนทำให้ผู้ติดเชื้อในระลอกสองพุ่งขึ้นถึงหลักแสน ซ้ำยังเตียงขาดแคลน ออกซิเจนไม่เพียงพอ

จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยการตัดสินใจลาออกในครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับที่รัฐบาลนิวเดลีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าจัดการและควบคุมเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ทำให้นายนเรนทรา โมดี ตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรี และนำคนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารงาน หวังปรับภาพลักษณ์ของคณะรัฐมนตรีให้ดีขึ้น โดยได้นายมันสุข มัณฑวิยา เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการของกระทรวงเคมีและปุ๋ย รวมถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการของกระทรวงท่าเรือ การขนส่งและทางน้ำ มาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขคนใหม่ นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงไอที และรัฐมนตรีกระทรวงปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติด้วย

ทั้งนี้ นายวาร์ธัน เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการครอบครัวเมื่อปี 2557 ภายใต้คณะรัฐบาลของ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรี จนเมื่อสิ้นสุดวาระแรกของโมดี ต่อมาปี 2562 วาร์ธัน ได้ร่วมรัฐบาลอีกครั้ง ในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข หลังโมดีชนะการเลือกตั้งนายกฯ สมัยที่สอง

ที่มา : อัลจาซีร่า


สุดอุกอาจ กลุ่มคนร้ายลอบสังหารประธานาธิบดีเฮติ คาบ้านพัก

เฮติช็อก ประธานาธิบดีเฮติถูกกลุ่มคนร้ายบุกลอบสังหารคาบ้านพักในเมืองหลวง ขณะที่ภริยาได้รับบาดเจ็บ

สำนักข่าวต่างประเทศและบีบีซี รายงาน ประธานาธิบดีโฌเวเนล โมอิส แห่งเฮติ หนึ่งในกลุ่มประเทศแถบทะเลแคริบเบียน ถูกกลุ่มคนร้ายบุกลอบสังหารที่บ้านพักส่วนตัว ในกรุงปอร์โตแปงซ์ เมืองหลวง ในขณะที่ นางมาร์ติน โมอิส ภริยาได้รับบาดเจ็บสาหัส

นายโคลด โจเซฟ รักษาการนายกรัฐมนตรีเฮติ ออกมาแถลงข่าวร้ายที่เกิดกับประธานาธิบดีโมอิส วัย 53 และภริยา พร้อมระบุว่ากลุ่มคนร้ายพร้อมอาวุธซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นกลุ่มใด ได้บุกเข้าไปในบ้านพักของประธานาธิบดีโมอิส เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 7 ก.ค. 64 ตามเวลาท้องถิ่น และได้สังหารประธานาธิบดีโมอิช ในขณะที่นางมาร์ติน โมอิช สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของเฮติ ได้รับบาดเจ็บ

นายโจเซฟ รักษาการนายกรัฐมนตรีเฮติ ได้ประณามกลุ่มคนร้ายที่ลอบสังหารประธานาธิบดีโมอิช ว่าลงมือก่อการอย่างชั่วร้าย ไร้มนุษยธรรมและป่าเถื่อน ในขณะเดียวกัน นายโจเซฟ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลเฮติจะใช้มาตรการทุกอย่างเพื่อรับประกันความปลอดภัยของประเทศชาติ และขณะนี้เขาได้เข้ามาควบคุมการบริหารประเทศ และขอเรียกร้องให้ประชาชนอยู่ในความสงบ

ทั้งนี้ ประธานาธิบดี โฌเวเนล โมอิส ปัจจุบัน อายุ 53 ปี เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของเฮติ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560

ตำรวจเฮติ เปิดโฉมหน้า “ทีมสังหารต่างชาติ” ซัลโวประธานาธิบดี

ตำรวจเฮติ – เมื่อวันที่ 9 ก.ค. บีบีซี รายงานความคืบหน้าการลอบสังหารประธานาธิบดีโฌเวเนล มออิซ ผู้นำเฮติ ถึงบ้านพักบนเขาเหนือกรุงปอร์โตแปรงซ์ เมื่อราว 01.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อวันพุธที่ 7 ก.ค. ว่า พล.ต.อ.เลอง ชาร์ล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเฮติ แถลงข่าวรายละเอียดของทีมสังหารเป็นกลุ่มทหารรับจ้าง 28 คน

ในจำนวนนี้ 17 คน เป็นชาวโคลัมเบีย 15 คน และชาวอเมริกันเชื้อสายเฮติ 2 คนถูกจับกุมหลังยิงต่อสู้กับตำรวจในบ้านพักที่หลบซ่อนตัวในเมืองหลวง ขณะที่ไต้หวันยืนยันว่า 11 คนจาก 17 คน เข้ามาหลบในสถานทูตประจำกรุงปอร์โตแปรงซ์ด้วย ขณะที่ผู้ต้องสงสัยที่เหลือ 8 คน ยังหลบหนี ส่วนอีก 3 คน ถูกยิงวิสามัญฆาตกรรม

ระหว่างการแถลงข่าว ตำรวจเฮติเปิดเผยโฉมหน้าผู้ต้องสงสัยถูกสวมกุญแจมือไพล่หลังสภาพเปื้อนเลือดและฟกช้ำมานั่งพื้นเรียงกันหน้ากระดาน พร้อมหลักฐานที่ยึดได้ต่อหน้าสื่อมวลชน เป็นหนังสือเดินทางงโคลัมเบีย อาวุธ กระสุน “ชาวต่างชาติเข้ามาประเทศของเราเพื่อสังหารประธานาธิบดี” พล.ต.อ.ชาร์ล กล่าว

นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ เลอ นูแวลลิสต์ ของเฮติ รายงานว่า สิ่งของที่ผู้ต้องสงสัยครอบครองมีธนบัตรสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ สมุดเช็คส่วนตัวของประธานาธิบดี และเซิร์ฟเวอร์ที่จับภาพกล้องวงจรปิดจากบ้านพักของประธานาธิบดีด้วย

ขณะที่รัฐบาลโคลัมเบียแถลงว่า ทีมสังหารอย่างน้อย 6 คน เป็นทหารเกษียณโคลัมเบีย และให้คำมั่นที่จะช่วยเหลือเฮติในการสอบสวน ส่วนกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า พลเมืองตนเองถูกจับกุมหรือไม่

อย่างไรก็ตาม สื่ออเมริกันและแคนาดารายงานว่า พลเมืองอเมริกัน 1 ใน 2 คนที่ถูกจับกุม ชื่อนายเจมส์ โซลาเจส วัย 35 ปี จากรัฐฟลอริดา เป็นอดีตบอดี้การ์ดสถานเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำเฮติ

ทั้งนี้ กลุ่มติดอาวุธบุกเข้าไปถึงบ้านพักประธานาธิบดีเฮติ จากนั้น ยิงนายมออิซและนางมาร์แต็ง ภริยา และห้องทำงานและห้องนอนประธานาธิบดีมออิซถูกตรวจค้นระหว่างการโจมตีด้วย

นายมออิซถูกพบนอนหงายพร้อมแผลกระสุน 12 จุด ถูกควักลูกตาข้างหนึ่ง และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ขณะที่นางมาร์แต็งบาดเจ็บสาหัส ถูกย้ายไปรักษาไปฝั่งสหรัฐฯ ในรัฐฟลอริดา ด้วยอาการทรงตัว

คลิปวิดีโอนาทีสังหารเผยกลุ่มติดอาวุธชุดดำปลอมเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐ (DEA) ตะโกนว่า “นี่คือปฏิบัติการของ DEA ทุกคนหมอบลง !” ส่วนลูกทั้งสามคนอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว โดยลูกสาวรอดชีวิตจากการหลบซ่อนตัวในห้องนอน ขณะที่ 2 คนรับใช้ที่บ้านพักประธานาธิบดีถูกร้ายจับมัดตัว

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาชนบางส่วนโกรธแค้นและเข้าร่วมค้นหามือสังหาร และช่วยตำรวจติดตามผู้หลบซ่อนตัวในพุ่มไม้ ต่อมา จุดไฟเผารถยนต์ผู้ต้องสงสัย 3 คันและทำลายหลักฐาน ขณะที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเฮติขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ ท่ามกลางประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ยังมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ และประเทศโดมินิกัน ชาติเพื่อนบ้าน ที่ยังปิดพรมแดน

ทั้งนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่า ใครเป็นผู้วางแผนการโจมตีและแรงจูงใจคืออะไร แต่นายโคลเดอ โฌแซ็ฟ นายกรัฐมนตรีเฮติรักษาการ บอกบีบีซีว่า ประธานาธิบดีมออิซ วัย 53 ปี อาจตกเป็นเป้าเนื่องจากกำลังต่อสู้กับ “ผู้มีอำนาจ” ในประเทศ

ตอลิบันโวควบคุมดินแดนอัฟกานิสถานได้แล้ว 85%

กลุ่มตอลิบันกำลังได้ใจที่สหรัฐฯ เร่งถอนทหารพ้นอัฟกานิสถาน ประกาศเมื่อวันศุกร์ว่า ตอนนี้นักรบตอลิบันควบคุมดินแดนของอัฟกานิสถานไว้ได้ร้อยละ 85 แล้ว หลังจากเพิ่งยึดจุดผ่านแดนกับอิหร่านและเติร์กเมนิสถานไว้ได้

คำประกาศของผู้แทนเจรจาของตอลิบันที่อยู่ระหว่างเยือนรัสเซียเมื่อวันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม มีออกมาไม่กี่ชั่วโมงคล้อยหลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ แถลงที่กรุงวอชิงตัน ปกป้องการตัดสินใจถอนกำลังทหารอเมริกันพ้นจากประเทศที่สหรัฐฯ เปิดฉากรุกรานเมื่อเกือบ 20 ปีก่อนว่า ภารกิจทางทหารของสหรัฐฯ

จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 สิงหาคม หลังจาก “บรรลุ” เป้าหมายแล้ว และแม้ไบเดนจะยอมรับว่า ไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่รัฐบาลอัฟกันในกรุงคาบูลจะสามารถควบคุมได้ทั้งประเทศ แต่เขายืนกรานว่า เขาจะไม่ส่งคนอเมริกันอีกรุ่นหนึ่งมาทำสงครามที่อัฟกานิสถานอีก

ที่กรุงมอสโก ชาฮาบุดดิน เดลาวาร์ ผู้แทนเจรจาของตอลิบัน แถลงว่า “ดินแดนของอัฟกานิสถาน 85%” อยู่ภายใต้การควบคุมของนักรบตอลิบันแล้ว ซึ่งรวมถึงประมาณ 250 เขต จาก 398 เขตของอัฟกานิสถาน อย่างไรก็ดี เอเอฟพีกล่าวว่า คำกล่าวอ้างของเขาไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างอิสระและรัฐบาลคาบูลก็ปฏิเสธด้วย

มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย กล่าวในวันศุกร์ว่า ขณะนี้ตอลิบันควบคุมชายแดนอัฟกานิสถานฝั่งที่ติดกับทาจิกิสถานไว้ได้ราว 2 ใน 3

ผู้แทนเจรจาของตอลิบันมากรุงมอสโกเพื่อพบกับทูตซามีร์ คาบูลอฟ ของรัสเซียประจำอัฟกานิสถานเมื่อวันพฤหัสบดี โดยกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า ตอลิบันให้คำรับประกันกับรัสเซียว่าพวกเขาจะไม่ละเมิดพรมแดนของประเทศเอเชียกลาง ซึ่งเคยเป็นสมาชิกของอดีตสหภาพโซเวียต

สัปดาห์นี้ ทหารอัฟกันมากกว่า 1,000 นายหนีเข้าทาจิกิสถาน หลังจากนักรบตอลิบันรุกโจมตีอย่างหนักในภาคเหนือของประเทศในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และสามารถควบคุมเส้นทางส่วนใหญ่ในภาคเหนือไว้ได้ ในขณะที่กองกำลังของรัฐบาลควบคุมได้เพียงเมืองหลวงของจังหวัดต่างๆ ที่ต้องอาศัยการเสริมทัพและส่งกำลังบำรุงทางอากาศของกองทัพอากาศ ที่อยู่ภายใต้ความตึงเครียดรุนแรงอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนที่ตอลิบันจะรุกโจมตีที่มั่นของรัฐบาลแบบสายฟ้าแลบในภาคเหนือและตะวันตก

อีกด้านหนึ่ง ซาบิฮุลเลาะห์ มูญาฮิด โฆษกของตอลิบัน เปิดเผยกับเอเอฟพีว่า นักรบตอลิบันยึดเมืองอิสลามกาลา เมืองชายแดนที่อยู่ติดกับอิหร่าน กับเมืองตอร์กุนดีที่เป็นจุดผ่านแดนสู่เติร์กเมนิสถาน ไว้ได้แล้ว

ที่กรุงคาบูล ตอเร็ก อาเรียน โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กำลังมีความพยายามขับไล่พวกนักรบตอลิบันออกจากที่มั่น ในสัปดาห์นี้ หน่วยคอมมานโดอัฟกันปะทะกับพวกนักรบในเมืองกาลาอีนอว์ เมืองหลวงของจังหวัดแบดกิสในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ทำให้ประชาชนอพยพหนีจากเมืองนี้หลายพันคน

วันศุกร์ กระทรวงกลาโหมกล่าวว่า รัฐบาลเข้าควบคุมเมืองนี้ได้เบ็ดเสร็จแล้ว ส่วนประธานาธิบดีอัชราฟ กานี ที่การพูดคุยสันติภาพกับตอลิบันหยุดชะงักมาเนิ่นนาน กล่าวว่า รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แม้จะยอมรับว่ามีความยากลำบากรออยู่ข้างหน้า

ประธานาธิบดีไบเดนของสหรัฐฯ ยืนกรานว่า อนาคตของอัฟกานิสถานต้องให้ชาวอัฟกันตัดสินกันเองเท่านั้น แต่เขายอมรับว่ายังไม่มีความแน่ใจว่าจะเป็นเช่นไร แต่เมื่อถูกตั้งคำถามว่า การเข้ายึดครองของตอลิบันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ใช่หรือไม่ ไบเดนปฏิเสธว่า ไม่ใช่