ข่าว
แฉ‘ยิ่งลักษณ์’ใช้พาสปอร์ตอีกประเทศหนีออก “ศรีวราห์”ประสานตร.สากลยังไม่พบเบาะแส

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. ประชุมติดตามความคืบหน้าในการหาเบาะแสติดตามตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยคดีรับจำนำข้าว ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ออกหมายจับ หลังไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณบ้านพัก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในซอยโยธินพัฒนา 3 ช่วงวันที่ 23 ส.ค. พบรถผ่านเข้า-ออกบริเวณบ้านพักมากกว่า 10 คัน แต่ตอนนี้ที่ต้องสงสัยมี 1 คันกำลังติดตามอยู่ แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดว่าทำไม แต่ไม่ใช่รถที่ปรากฏเป็นข่าว ส่วนรถตราโล่ที่ปรากฏเป็นข่าว เป็นรถสายตรวจของสน.ลาดพร้าว ทะเบียน ฆห 7334 กรุงเทพมหานคร ทำหน้าที่ตรวจปกติเวลา 20.55 น. โดยเวลาในกล้องวงจรปิดระบุเวลา 20.50 น. ช่วงเวลาเหลื่อมกันนิดหน่อย วันนี้ให้นำรถสายตรวจคันดังกล่าวมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมกับร้อยเวรสน.ลาดพร้าว โดยให้มาเก็บดีเอ็นเอในรถ เพื่อให้ประชาชนสิ้นสงสัย ว่าตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องในการพาหลบหนีหรือไม่ โดยสั่งการให้เก็บดีเอ็นเอในรถคันดังกล่าว ว่ามีดีเอ็นเอคนอื่นที่ไม่ใช่ตำรวจปะปนหรือไม่ ถ้ามีค่อยนำตัวมาเก็บดีเอ็นเอเปรียบเทียบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องนำน้องไปป์ หรือนายศุภเสกข์ อมรฉัตร ลูกชายน.ส.ยิ่งลักษณ์ มาเก็บดีเอ็นเอเปรียบเทียบไหม พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ถ้าพบว่ามีคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับรถ อาจต้องพิจารณาเชิญน้องไปป์และคนอื่นๆ มาตรวจเก็บดีเอ็นเอ แต่ยืนยันเป็นแค่รถสายตรวจปกติ

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้รับคำตอบจากประเทศต่างๆว่ายังไม่พบตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยประเทศกัมพูชายืนยันว่าไม่พบตัว ส่วนประเทศสิงคโปร์ไม่พบหลักฐานการใช้หนังสือเดินทางน.ส.ยิ่งลักษณ์เข้าออก ขณะเดียวกันตำรวจสากลและยูเออีที่อยู่ในเครือข่ายตำรวจสากล ตอบมาแล้ววันนี้ว่าไม่พบน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยอมรับจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ไหน สำนักงานตำรวจคนเข้าเมือง(สตม.)ยืนยันว่าไม่เห็น กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.)ตรวจสอบช่องทางธรรมชาติทั่วประเทศก็ไม่เห็น ไม่พบผ่านเข้าออก ตอนนี้ยังไม่อาจชี้ว่าอยู่ในหรือนอกประเทศ ซึ่งเป็นไปได้ว่ามีการเปลี่ยนหนังสือเดินทางเพื่อหลบหนี ในส่วนคนพาหลบหนีก่อนวันที่ 25 ส.ค.ที่ศาลฎีกาฯออกหมายจับก็ไม่ผิด หากยังอยู่ในประเทศ เว้นแต่พาออกนอกประเทศที่ขัดคำสั่งศาลกรณีห้ามออกนอกประเทศ ตรงนี้อาจมีความผิด

“ตำรวจได้ตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งก่อนวันที่ 25 ส.ค. ย้อนไปถึงก่อนวันที่ 23 ส.ค. พบว่ามีคนในบ้านพบเห็นน.ส.ยิ่งลักษณ์ครั้งสุดท้าย เวลา 14.00 น. วันที่ 23 ส.ค. แม้แต่ผกก.หนุ่ยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และยืนยันสอดรับกับข้อมูลที่มีคนพบเห็นที่บ้านครั้งสุดท้าย”พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากน.ส.ยิ่งลักษณ์หลบหนีคดีรับจำนำข้าวเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงได้ส่งข้อมูลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งข้อมูลและรายละเอียดไปให้ตำรวจสากลช่วยตรวจสอบและติดตามตัว แต่ไม่พบข้อมูลของน.ส.ยิ่งลักษณ์แต่อย่างใด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ทางการข่าวได้ข้อมูลว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีพาสปอร์ตของประเทศอื่นอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นไปได้ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์อาจใช้พาสปอร์ตเล่มนี้หลบหนีไปยังประเทศอื่น ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเร่งประสานและติดตามตัว

สรยุทธ ผมเกรียนใส่ชุดนักโทษ บอก 'ไบรท์' กังวลแม่ป่วยหนัก

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 31 ส.ค. น.ส.พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ หรือ น้องไบรท์ เปิดเผยในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ว่า วานนี้ (30 ส.ค.) ได้ไปเยี่ยม นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ภายหลังศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 13 ปี 4 เดือน ในคดีร่วมกันยักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการคุยคุ้ยข่าว ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ อสมท จำนวนกว่า 138 ล้านบาท โดยศาลฎีกาไม่ให้ประกัน

น้องไบรท์ เล่าว่า นายสรยุทธนั่งในห้องเยี่ยมญาติได้ตัดผมเกรียนเหมือนทรงนักเรียน ซึ่งได้บอกกับตนว่าเพิ่งตัดผมเมื่อช่วงเช้า โดยใส่ชุดสีน้ำตาลอ่อน เป็นเครื่องแบบนักโทษ และได้บอกว่ามีกำลังใจดีมากแต่คืนแรกนอนไม่ค่อยหลับเป็นเรื่องธรรมดาในที่แปลกที่ แต่ถ้าบอกว่าไม่เครียดเลย อยู่สบายดีก็คงไม่ใช่ ซึ่งชีวิตต้องดำเนินต่อ ต้องอยู่ให้ได้ ถ้ามองในแง่ดีการเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในนี้ เหมือนมาหาบทเรียนในชีวิตได้คุยกับคนหลายคน มีหนังสือให้อ่าน และเริ่มปรับตัวได้บ้าง

น้องไบรท์ บอกขออนุญาตเล่าถึงการไปเยี่ยมนายสรยุทธอีกว่า นายสรยุทธ ยืนยันว่าไม่เคยคิดจะหนี ถ้าหนีต้องหนีตลอดชีวิต การหนีไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา หนีในเมืองไทยคนไทยจำหน้าได้หมด ถ้าหนีไปเมืองนอกคนไทยก็รู้จัก ก็จับตัวส่งมาเมืองไทยอยู่ดี ต้องอยู่ซ่อนตัวตลอดชีวิต ถ้าอยู่เรือนจำยังมีจุดสิ้นสุด อยู่ลำบากแต่ก็ต้องค่อยๆ ปรับตัว และได้คิดถึงสิ่งเลวร้ายที่สุดว่าจะเกิดอะไรบ้าง ถ้าไปสู่จุดนั้นจริงๆ ต้องอยู่ให้ได้ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป

น้องไบรท์ ยังเล่าอีกว่า ตอนนี้สิ่งที่นายสรยุทธกังวลที่สุดคือสุขภาพของคุณแม่ ซึ่งป่วยหนักอยู่ ณ เวลานี้ และกลัวว่าจะไม่ทันได้ออกมาดูคุณแม่ ซึ่งหลังจากนี้ถ้าได้ออกมา จะค่อยๆ คิด เมื่อออกจากเรือนจำแล้วสิ่งไหนที่อยากทำบ้าง พร้อมระบุทิ้งท้ายกับตนว่า "ไม่ต้องห่วง พี่อยู่ได้"


โรฮีนจา ปะทะเดือดทหารพม่า 7 วันตายอื้อ 400 ลี้ภัย 5 หมื่น

เมื่อ 1 ก.ย.60 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวสถานการณ์ชาวมุสลิม โรฮีนจา ในรัฐยะไข่ หนีการสู้รบระหว่างกองกำลังติดอาวุธโรฮีนจากับกองกำลังทหารเมียนมา ที่ปะทุรุนแรงครั้งใหม่เมื่อ 25 เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมาว่า ตามรายงานของสหประชาชาติ ระบุ เพียงแค่สัปดาห์เดียว มีชาวมุสลิมโรฮีนจา อพยพออกจากรัฐยะไข่ ถึงเกือบ 50,000 คน ในจำนวนนี้ ราว 27,000 คน ลี้ภัยเข้าไปชายแดนของบังกลาเทศ และอยู่ในค่ายลี้ภัยที่คอกซ์’บาซาร์ ขณะที่ผู้ลี้ภัยโรฮีนจาอีกประมาณ 20,000 คน พำนักบริเวณชายแดนของสองประเทศที่จัดตั้งให้เป็นเขต No man’s Land หรือเขตไม่ให้คนอาศัยอยู่

ขณะเดียวกัน กองทัพเมียนมาแถลงเมื่อวันพฤหัสฯที่ 31 ส.ค.ว่า การปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างกลุ่มติดอาวุธโรฮีนจากับกองกำลังทหารเมียนมา ที่รัฐยะไข่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมียนมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 400 ราย ภายในระยะ 1 สัปดาห์ โดยในจำนวนผู้เสียชีวิต เป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธโรฮีนจาราว 370 นาย ขณะที่มีทหารสิ้นชีพ 13 นาย เจ้าหน้าที่รัฐ 2 ราย และพลเรือนเสียชีวิต 14 ราย

ซีเอ็นเอ็น รายงานด้วยว่า มีศพชาวโรฮีนจาถึง 20 ศพ ถูกดึงขึ้นจากแม่น้ำ นาฟ บริเวณชายแดนระหว่างเมียนมากับ บังกลาเทศ เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา ขณะที่ชาวโรฮีนจาจำนวนมากกำลังทะลักหนีภัยการสู้รบเข้าไปอยู่ในบังกลาเทศ โดยหัวหน้าหน่วยรักษาชายแดนของบังกลาเทศ ในเมืองเทกนาฟ เผยกับนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า คาดว่า ชาวโรฮีนจาที่เสียชีวิตเหล่านี้ ประสบเหตุจมน้ำ หลังจากเรือคว่ำขณะจะข้ามมาลี้ภัยในบังกลาเทศ


โปรดเกล้าฯ นายทหาร “บิ๊กเข้” นั่งปลัดกลาโหม

วันที่ 1 ก.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องให้นายทหารรับราชการ โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ จำนวน 990 ตำแหน่ง ประกาศเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2560 โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

ซึ่งมีรายชื่อและตำแหน่งที่น่าสนใจ อาทิ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผู้ช่วยผบ.ทบ.) เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรมว.กลาโหม เป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อรอจ่อขึ้นเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหมในปีหน้า ขณะที่พล.อ.วิสุทธิ์ นาเงิน เจ้ากรมเสมียนตรากระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา และพล.อ.อ.สุรศักดิ์ ทุ่งทอง เสนาธิการทหารอากาศ เป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม

ด้านกองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ เสนาธิการทหาร ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ตามคาด พล.อ.หัสพงศ์ ยุววรรธนะ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) เป็นรองผบ.ทสส. พล.อ.ยศนันทน์ หร่ายเจริญ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เป็นรองผบ.ทสส. พล.อ.อ.สุทธิพงษ์ อินทรียงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผู้ช่วยผบ.ทอ.) เป็นรองผบ.ทสส. พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี รองเสนาธิการทหาร เป็นเสนาธิการทหาร พล.อ.ธงชัย สาระสุข หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผบ.ทสส. เป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.)

ส่วนกองทัพบกปรากฏว่า พล.อ.สสิน ทองภักดี เสนาธิการทหารบก ขึ้นเป็นรองผบ.ทบ. ส่วนพล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 เป็น ผู้ช่วยผบ.ทบ. พร้อมกับพล.ท.วีรชัย อินทุโสภณ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน เป็นผู้ช่วยผบ.ทบ. พล.ท.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รองเสนาธิการทหารบก ขยับขึ้นเป็นเสนาธิการทหารบก พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา แม่ทัพน้อยที่ 1 ในสายบูรพาพยัคฆ์ ซึ่งเป็นน้องรัก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ตามคาด ขณะที่พล.ต.ธรรมนูญ วิถี รองแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1

กองทัพเรือ พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ (ผู้ช่วยผบ.ทร.) ขึ้นเป็นผบ.ทร. ส่วนพล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ เป็นรองผบ.ทร. เพื่อรอจ่อคิวขึ้นเป็นผบ.ทร.ในปีต่อไป พล.ร.อ.นวพล ดำรงพงศ์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ เป็นผู้ช่วยผบ.ทร. พล.ร.ท.พิเชฐ ตานะเศรษฐ รองเสนาธิการทหารเรือ เป็นเสนาธิการทหารเรือ พล.ร.อ.รังสฤษดิ์ สัตยานุกูล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพเรือ เป็นผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ

ส่วนกองทัพอากาศ พล.อ.อ.ยรรยง คันธสร ที่ปรึกษาสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ เป็นรองผบ.ทอ. พล.อ.อ.ชาญฤทธิ์ พลิกานนท์ รองเสนาธิการทหารอากาศ ขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ทอ. และพล.อ.อ.วันชัย นุชเกษม ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพอากาศ เป็นเสนาธิการทหารอากาศ

กู้ร่าง 2 นศ.ไทยได้แล้ว ญาติรอศพอาทิตย์หน้า

หน่วยกู้ภัยของเมืองเฟรซโน่ ใช้เฮลิคอปเตอร์โรยตัวเจ้าหน้าที่ลงไปกู้ร่าง 2 นักศึกษาไทยได้สำเร็จ ใช้สายเคเบิ้ลลากรถเข้าฝั่ง แล้วนำศพขึ้นมาได้โดยปลอดภัย

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 นายคิด ฉัตรประภาชัย ผู้สื่อข่าวพิเศษของไทยแอลเอ ได้รายงานว่าหน่วยกู้ภัยของเมืองเฟรซโน่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้เริ่มทำการเก็บกู้ร่างของสองนักศึกษาไทย นางสาวทิวาดี แสงสุริยฤทธิ์ กับ “น้องกอล์ฟ” นายภคพล ชัยรัตน์ทรงพร นักศึกษาไทยระดับปริญญาโทจาก University Of South Florida ที่เกิดอุบัติเหตุขับรถพลัดตกเขาที่ Kings Canyon National Park รัฐ California เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ได้พบรถที่ตกลงไปในหุบเขาลึก 640 ฟุต ซึ่งมีร่าง 2 นักศึกษาเสียชีวิตอยู่ในรถคันนั้น แต่เนื่องจากภูมิประเทศและดินฟ้าอากาศไม่อำนวยให้ทำการเก็บกู้ร่างของสองนักศึกษาได้ จนเวลาล่วงเลยมาถึง 36 วันจึงได้เริ่มทำการในวันนี้

เจ้าหน้าที่ประมาณ 60 คนจากเจ้าหน้าที่ทางหลวง Sheriffs และหน่วยกู้ภัย ได้เตรียมงานกันตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า พอเวลาเที่ยงได้ใช้เฮลิคอปเตอร์ ซี - 47 ชีนุก โรยตัวหน่วยกู้ภัยลงไปที่รถ ที่ประสบอุบัติเหตุค้างอยู่บนแก่งหิน ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวหลากเจ้าหน้าที่ได้ดึงเอารถที่มีร่างของสองนักศึกษาไทยเข้ามายังริมฝั่ง แล้วนำร่างของทั้งสองหนุ่มสาวออกจากรถ ในสภาพศพที่บวม เพราะอยู่ในน้ำมาเป็นเวลาเดือนเศษและกำลังเริ่มเน่าแล้ว นำใส่ถุงพลาสติก แล้วนำร่างไปวางไว้บนเปลกู้ภัย ให้เฮลิคอปเตอร์ดึงศพขึ้นไปเบื้องบน

คุณแม่สุพิน ชัยรัตน์ทรงพร แม่ของ “น้องกอล์ฟ” นายภัคพล ชัยรัตน์ทรงพร และ นางสาวทิวารัตน์ พี่สาวของ นางสาวทิวาดี แสงสุริยฤทธิ์ ได้เข้าไปหยุดดูศพของทั้งสองอย่างใกล้ชิด โดยเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้เปิดถุงศพดู และได้นำพระครูใบฎีกาบุญทัน ฉปณโณ วัดพรหมจริยการาม เมือง Fresno California มาสวดที่ศพ ก่อนเจ้าหน้าที่จะนำศพกลับไปพิสูจน์ทางนิติเวช ในเมือง Fresno ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ลายนิ้วมือและฟันว่าเป็นศพของสองนักศึกษาจริงหรือไม่ในวันอาทิตย์นี้

คาดว่าญาติคงจะขอรับศพจากเจ้าหน้าที่ มาทำพิธีสวดพระอภิธรรมและฌาปนกิจศพได้ ในวันอังคารนี้ ที่วัดไทยลอสแองเจลีส ซึ่งหลังจากนั้นทางแม่ของนายภัคพล ชัยรัตน์ทรงพร ก็จะนำกระดูกไปลอยอังคาร ที่ซานเปโดร ส่วนกระดูกของนางสาวทิวาดี แสงสุริยฤทธิ์ พี่สาว จะนำกลับไปยังประเทศไทย.