ข่าว
เขมรปากแข็ง! 'กระทรวงต่างประเทศกัมพูชา'แถลงอ้างไม่เคยละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

30 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาของไทยเกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ระบุว่า รัฐบาลกัมพูชาขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อรัฐบาลมาเลเซียและสหรัฐฯ สำหรับบทบาทสำคัญในการร่วมจัดการประชุมสมัยพิเศษที่เมืองปุตราจายา เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 เพื่อแก้ไขสถานการณ์ปัจจุบันระหว่างกัมพูชาและไทย

กัมพูชายังให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งการมีส่วนร่วมของพวกเขามีส่วนช่วยสนับสนุนกระบวนการเจรจา ในฐานะภาคีที่มุ่งมั่นอย่างแรงกล้าต่อสันติภาพ กัมพูชาขอยืนยันอย่างหนักแน่นถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทยเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย อย่างเต็มที่และแน่วแน่

ความมุ่งมั่นของกัมพูชาที่จะรักษาข้อตกลงหยุดยิงนี้ไว้เป็นความแน่วแน่และยั่งยืน กองทัพกัมพูชาไม่เคยกระทำการใด ๆ ที่อาจตีความได้ว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งขัดต่อข้อกล่าวหาที่กุขึ้นในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของรัฐบาลไทย ซึ่งออกเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 อย่างสิ้นเชิง

รัฐบาลกัมพูชาขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่บิดเบือนและกุขึ้นมาอย่างหนักแน่น ซึ่งบิดเบือนข้อเท็จจริงในพื้นที่ และคุกคามความไว้วางใจและการเจรจาอันเปราะบางซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อสันติภาพที่ยั่งยืน

กัมพูชาขอย้ำว่าไม่มีความตั้งใจที่จะละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ไม่ว่าในปัจจุบันหรือในอนาคต เป้าหมายหลักของเราคือการทำให้สันติภาพไม่เพียงแต่ดำรงอยู่เท่านั้น แต่ยังยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศและเสถียรภาพของภูมิภาคโดยรวม

ในเรื่องนี้ รัฐบาลกัมพูชาขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนคนปัจจุบัน สำหรับการส่งคณะผู้แทนนำโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพมาเลเซียไปยังประเทศไทยและกัมพูชาอย่างรวดเร็วในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 29 ก.ค. 2568 เพื่อหารือเกี่ยวกับการพัฒนากลไกโดยละเอียดสำหรับการดำเนินการ ตรวจสอบ และรายงานการหยุดยิง

กัมพูชาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์ที่เป็นกลาง ซึ่งมีหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบ และอำนวยความสะดวกในการดำเนินการหยุดยิงอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ โดยเร็ว ตามบทบัญญัติที่ระบุไว้ในข่าวประชาสัมพันธ์ร่วมของการประชุมพิเศษที่จัดขึ้นที่เมืองปุตราจายา เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 เพื่อรักษาความโปร่งใสและความรับผิดชอบ

รัฐบาลกัมพูชาขอยืนยันพันธสัญญาอันแน่วแน่ต่อหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ การแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ และจิตวิญญาณแห่งความร่วมมือพหุภาคีที่ยั่งยืน กัมพูชายังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะร่วมมือกับประเทศไทยอย่างสร้างสรรค์ เพื่อบรรลุถึงการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ปัจจุบันอย่างยุติธรรม ยั่งยืน และสันติ โดยเคารพในอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และศักดิ์ศรีร่วมกันของทั้งสองประเทศอย่างแน่วแน่

พระลูกวัดชายแดนไทย-กัมพูชา จำวัดท่ามกลางเสียงระเบิด

30 กรกฎาคม 2568 วัดป่าชายแดนแห่งหนึ่ง ในตำบลเสาธงชัย หลวงพี่อั๋น พระลูกวัดแห่งนี้ เปิดเผยว่า ตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุการณ์ก็ยังคงจำวัดอยู่ที่วัด ไม่ได้อพยพออกไป เนื่องจากที่วัดมีหลุมหลบภัยรองรับ แต่ยอมรับว่า ช่วงที่มีการยิงปะทะกันอย่างหนัก เสียงปืนและระเบิดดังสนั่นรอบด้านจนรู้สึกหูอื้อ

“อาตมาคิดว่าสถานการณ์น่าจะเลวร้ายกว่านี้ ถ้าฝั่งกัมพูชายังไม่หยุดยิง เพราะเขาไม่ซื่อ ไว้ใจไม่ได้” หลวงพี่อั๋นกล่าว พร้อมเสริมว่า ขณะนี้ไม่มีการออกบิณฑบาต เนื่องจากชาวบ้านอพยพออกจากพื้นที่ทั้งหมด มีเพียงเด็กวัดที่คอยหุงหาอาหารให้ฉันประทังชีวิต และยังได้รับข้าวสารอาหารแห้งจากผู้นำชุมชนมาช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม หากการยิงปะทะยังคงมีต่อเนื่อง หรือทวีความรุนแรงมากขึ้น พระภิกษุในพื้นที่อาจจำเป็นต้องอพยพออกจากวัดเพื่อความปลอดภัย

นายวีระยุทธ ดวงแก้ว กำนันตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ยังคงได้ยินเสียงปืนเล็กดังเป็นระยะจากแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณภูมะเขือ สถานการณ์ที่ยังไม่น่าไว้วางใจ ยังคงขอความร่วมมือจากชาวบ้านให้งดการเดินทางกลับเข้ามายังบ้านเรือน ขอให้อยู่ที่ศูนย์อพยพชั่วคราวต่อไปก่อน จนกว่าทางผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษและนายอำเภอจะมีประกาศยืนยันความปลอดภัย อย่างเป็นทางการ ในขณะนี้มีประชาชนบางส่วนขอเดินทางกลับไปตรวจสอบทรัพย์สินและให้อาหารสัตว์เช่นวัว ควาย ในช่วงเวลากลางวันและเดินทางกลับออกไปพักอาศัยยังศูนย์พักพิง

นอกจากนี้ พื้นที่บ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการสู้รบ พบว่ามีร่องรอยของกระสุนปืนใหญ่จากฝั่งกัมพูชาตกกระจายทั่วบริเวณ ทั้งในพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่เกษตร เช่นสวน และที่นา คาดว่ามีกระสุนตกไม่ต่ำกว่า 100 นัด ซึ่งยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นทางการ จึงขอวอนประชาชนให้อยู่ที่ศูนย์พักพิงไปอีกสักระยะหนึ่ง


‘บาหลี’ได้โอกาส! ทางเลือกนักท่องเที่ยวในช่วง‘ไทย-กัมพูชา’สู้รบ

30 ก.ค. 2568 สำนักข่าว VnExpress International ของเวียดนาม รายงานข่าว รายงานข่าว Asia's most beautiful island attracts more tourists amid Thailand-Cambodia border tension ระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปเยือนเกาะบาหลีของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-15 หลังจากความตึงเครียดบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทยทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 2568

สื่อเวียดนามอ้างรายงานของ นสพ.South China Morning Post ของฮ่องกง ที่ระบุว่า ความขัดแย้งทางทหารระหว่างสองประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากเปลี่ยนแผนการเดินทาง โดยเลือกบาหลีแทนจุดหมายปลายทางดั้งเดิมอย่างกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย หรือเมืองเสียมเรียบของกัมพูชา

ข้อมูลจากสมาคมโรงแรมและภัตตาคารแห่งอินโดนีเซีย (PHRI) พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาบาหลีเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากนักท่องเที่ยวมองหาทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ท่ามกลางความขัดแย้งที่ทำให้ผู้คนหลายแสนคนต้องพลัดถิ่นและคร่าชีวิตผู้คนไปหลายสิบคน โดย ไอ กุสตี อากุง งูระห์ ไร สุรยวิชัย (I Gusti Agung Ngurah Rai Suryawijaya) รองประธาน PHRI ประจำบาหลี กล่าวว่า บาหลีถือเป็นจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัย นักท่องเที่ยวจำนวนมากจึงเลือกมาที่นี่แทนที่จะเดินทางต่อไปยังประเทศไทย

บาหลีเพิ่งได้รับการยกย่องให้เป็นเกาะที่สวยที่สุดในทวีปเอเชียจากรางวัล Reader's Choice Awards โดยนิตยสาร DestinAsian เกาะแห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ 6.3 ล้านคนในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และตั้งเป้าที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยว 6.5 ล้านคนในปี 2568 นี้

ทั้งนี้ หน่วยงานท้องถิ่นได้เพิ่มความพยายามในการแก้ไขปัญหาการละเมิดวีซ่าและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของเกาะและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ อีกทั้งบาหลียังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้น ทางการกำลังเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมนักท่องเที่ยวระยะยาวและผู้ให้บริการที่พักที่ไม่ได้รับอนุญาต เพื่อควบคุมอาชญากรรมข้ามชาติ นักท่องเที่ยวยังได้รับคำแนะนำให้ใช้ความระมัดระวังเมื่อเข้าร่วมการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย หลังจากเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งเมื่อเร็วๆ นี้


น้ำท่วมแม่สายเริ่มคลี่คลาย นายอำเภอเตือนระวังระลอกใหม่ 4–6 ส.ค.

30 กรกฎาคม 2568 สถานการณ์น้ำท่วมที่ชายแดนไทย-เมียนมา ทางด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เริ่มคลี่คลาย หลังปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ต้นน้ำได้ลดลง จนทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายลดต่ำลงกว่าตลิ่ง แต่ยังคงมีบางจุดที่น้ำท่วมขังอยู่บ้าง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพยายามระบายออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด

แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ยังมีภารกิจใหญ่ที่จะต้องดำเนินการ นั่นคือการอุดรูรั่วและซ่อมแซมกำแพงพนังป้องกันน้ำท่วม ที่ได้รับความเสียหายจากกระแสน้ำครั้งล่าสุด เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับพายุลูกใหม่ที่จะมาถึง

ภาพรวมของสถานการณ์น้ำที่แม่สาย นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย เปิดเผยว่า ขณะนี้ในพื้นที่และที่ต้นน้ำไม่มีฝนตกหนักแล้ว น้ำในแม่น้ำสายลดลงจนเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังมีจุดรั่วซึมหลายจุด

ฝากประชาชนให้ติดตามการแจ้งเตือนจากทางราชการอย่างใกล้ชิด เพราะช่วงวันที่ 4 - 6 สิงหาคม จะมีฝนตกหนัก ตลอดทั้งเดือนสิงหาคมและกันยายน ถือว่าเป็นช่วงที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะจะมีฝนตกหนักและพายุอีกหลายลูก หากน้ำยกระดับข้ามแนวป้องกันก็อาจจะเกิดน้ำท่วมอีกได้ หลังแจ้งเตือนอยากให้ประชาชนขนของขึ้นที่สูง ส่วนกลุ่มเปราะบางก็อยากอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิง

ในขณะที่ชาวบ้านในชุมชนต่างๆ ที่ถูกน้ำไหลหลากเข้าท่วม ต่างก็เตรียมทำความสะอาดบ้านเรือน ซึ่งมีโคลนและทรายตกค้างอยู่ตามบ้านเรือนและตามถนนหนทางเป็นจำนวนมาก โดยทุกคนก็ยังหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากทางภาครัฐ เหมือนกับตอนหลังน้ำท่วมครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา

นางชญาดา ณิชานันท์ ชาวบ้านในชุมชนเกาะทรา เล่าว่า น้ำลดก็จริงแต่เหลือโคลนเยอะจึงลำบากมาก น้ำท่วมปีก่อนยังซ่อมแซมบ้านไม่เสร็จ ปีนี้ก็เจอไปหลายรอบแล้วเห็นน้ำมาแต่ละทีหวาดกลัวจนหลอน บางบ้านตู้เย็น ที่นอน โต๊ะขายของ ฝาบ้าน น้ำท่วมเสียหาย เตรียมดีๆ ยังไงก็เอาไม่ทัน ชาวบ้านชะล่าใจไปหน่อย ไม่คิดว่าจะมาเยอะขนาดนี้ เพราะว่ามั่นใจในโครงสร้างที่ทหารทำป้องกันเอาไว้

ครั้งก่อนได้เงินช่วยเหลือเยียวยา 55,500 บาท แต่ไม่คุ้มกับความเสียหายที่เกิดขึ้น น้ำท่วมปีก่อนจ่ายค่าเอาโคลนออกจากบ้านหมดไปกว่า 20,000 บาท ต้องบอกท้อสุดๆไม่รู้ว่าจะท้อยังไงแล้ว แต่ก็ต้องสู้ต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะจะไปหาที่อยู่ใหม่ก็ไม่มีเงินเพียงพอ

สอดคล้องกับ นางสมพร ไสยวงศ์ ชาวบ้านในชุมชนเกาะทรายเช่นกัน ที่บอกว่า น้ำท่วมบ้านหนักมาก ตอนนี้ครอบครัวทุกข์ใจมาก คนในครอบครัวพยายามช่วยตัวเองแต่ก็เหนื่อยสุดๆ อยากให้ภาครัฐมาช่วยเหลือบ้าง ปีนี้เจอแล้ว 3 รอบแล้ว รอบแรกถึงชั้น 2 ของบ้าน รอบ 2 รอบ 3 ก็ท่วมสูงเกือบชั้น 2 รอบแรกน้ำเอาไปหมด ทั้งตู้ เตียง ไม่เหลืออะไรเลย การใช้ชีวิตระหว่างน้ำท่วมอะไรก็ลำบากไปหมด อาหารการกินก็ลำบาก

เช่นเดียวกันกับ นางยุพา แสงสุรินท์ เจ้าของบ้านในชุมชนเกาะทรายซึ่งถูกน้ำท่วม ที่บอกว่า น้ำท่วมปีที่แล้วเป็นบทเรียนให้กับชาวบ้าน ครั้งนี้จึงเตรียมตัวเก็บของขึ้นสู่ที่สูงได้เยอะ มีเพียงบางส่วนที่ถูกน้ำท่วมเสียหาย น้ำลดแล้วก็ต้องมาหนักใจกับโคลนทรายตกค้างอยู่ ความช่วยเหลือที่อยากได้เป็นอะไรก็ได้ที่ทางการอยากช่วยเหลือ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เพราะน้ำท่วมทีไรชาวบ้านที่แม่สายเดือดร้อนกันมาก

ว่าที่ทูตสหรัฐคนใหม่เตือนไทย! สงครามขัดแย้งกับ'กัมพูชา'ไม่มีประโยชน์ ขู่กระทบพันธมิตร2ประเทศ

30 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'ฌอน โอนีลล์' (Sean O'Neill) ว่าที่เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า หากได้รับการยืนยันว่าได้ตำแหน่งดังกล่าว เขาจะแจ้งต่อไทยว่า ความขัดแย้ง เช่น การปะทะกันบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่ได้ช่วยอะไรประชาชนชาวไทยหรือพันธมิตรของไทยกับสหรัฐฯ เลย

เมื่อถูกถามว่าเขาจะทำอย่างไรเพื่อให้การหยุดยิงกลายเป็นข้อตกลงสันติภาพระยะยาว 'ฌอน โอนีล' กล่าวว่า ผมคิดว่าสิ่งแรกที่ผมจะทำคือการชี้ให้ประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรสนธิสัญญาเพียงไม่กี่ประเทศในเอเชีย เห็นว่าสงครามเช่นนี้ ความขัดแย้งเช่นนี้ ไม่ได้ช่วยประชาชนของพวกเขาเลย พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อเสริมสร้างพันธมิตรของเรา พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหาที่ประเทศของเราทั้งสองกำลังเผชิญอยู่ พวกเขาเป็นเพียงการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินโดยไม่จำเป็น

ประเทศไทยไม่ควรให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาลทหารในเมียนมาประเทศเพื่อนบ้าน จุดยืนของกระทรวงการต่างประเทศคือไม่สนับสนุนให้เมียนมาจัดการเลือกตั้งหลอกลวง ซึ่งกองทัพกำลังวางแผนที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ หากได้รับการยืนยันตำแหน่ง ผมขอสนับสนุนให้ประเทศไทยไม่รับรองการเลือกตั้งที่ไม่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 50% ของประเทศ ในขณะที่ผู้นำฝ่ายค้านส่วนใหญ่ถูกจำคุก