เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ราคาข้าวไทยร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ในวันดังกล่าวนี้โดยเป็นผลมาจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นในช่วงเริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยว และการที่ผู้ซื้อยังคงรอดูท่าทีเนื่องจากคาดหมายว่าราคาจะตกต่ำลงไปมากกว่านี้ จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวที่เป็นผู้ค้าข้าวหลายราย
ราคาข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ ในวันดังกล่าวอยู่ที่ 430 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (ราว 13,362 บาท) ถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2553 เป็นต้นมา ซึ่งราคาตอนนั้นอยู่ที่ 432 ดอลลาร์ต่อตัน
แหล่งข่าวที่เป็นผู้ค้าข้าวในกรุงเทพเปิดเผยว่า "มีคำสั่งซื้อน้อยมาก และมีการซื้อเพียงแค่ล็อตเล็กๆ เท่านั้น ผู้ซื้อรายใหญ่ยังคงรอเวลาที่ราคาจะลดต่ำกว่านี้เนื่องจากพวกเขารู้ว่าถึงเวลาฤดูการเก็บเกี่ยวที่จะมีผลผลิตออกมาจำนวนมาก"
ข่าวระบุว่าฤดูการเก็บเกี่ยวผลผลิตหลักประจำปี 2556/57 เริ่มต้นแล้วและคาดว่าจะมีปริมาณข้าวเปลือก 28.4 ล้านตันหลั่งไหลเข้าสู่ตลาด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอุปทานของตลาดจะพุ่งสูงสุดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
ผู้ค้าระบุว่า มีเพียงผู้ซื้อเป็นประจำจากตะวันออกกลางเท่านั้นที่ซื้อข้าวขาวราว 500 ตันพร้อมขนส่งทันที และด้วยสาเหตุนี้ทำให้ภาพรวมการส่งออกของไทย ที่ปัจจุบันเป็นประเทสผู้ส่งออกข้าวอันดับ 3 ของโลก ยังคงมืดมน
ข้อมูลจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยระบุว่า ช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงกันยายน ไทยส่งออกข้าวได้ 4.64 ล้านตัน ลดลง 1.8 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สมาคมยังคงคาดการณ์การส่งออกข้าวในปี 2556 ในระดับเดิมที่ 6.5 ล้านตัน ลดลงจาก 6.9 ล้านตันที่ส่งออกได้เมื่อปี 2555 เล็กน้อย
ขณะที่ผู้ค้าข้าวในเวียดนามเปิดเผยว่า ราคาข้าวลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 14 สัปดาห์ลงเล็กน้อยจากการที่การขนส่งข้าวไปยังจีนเริ่มชะลอตัว และผู้ซื้อส่วนหนึ่ง เริ่มที่จะหันไปหาข้าวของปากีสถานที่มีราคาถูกมากกว่า โดยราคาของข้าวขาวหัก 5 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 393-395 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งเป็นราคาสินค้าส่งมอบที่ท่าเรือ ลดลงจาก 400-408 ดอลลาร์ต่อตัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ราคาของข้าวขาวหัก 25 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 365-370 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลงจาก 373-375 ดอลลาร์ต่อตัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ผู้ค้าข้าวในกรุงเทพเปิดเผยว่า ผู้ซื้อบางส่วนหันไปซื้อข้าวจากปากีสถานและอินเดียเนื่องจากมีราคาที่แข่งขันได้มากกว่า โดยราคาข้าวขาวหัก 5 เปอร์เซ็นต์ของปากีสถานในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 385 ดอลลาร์ต่อตัน ต่ำกว่าราคาข้าวเกรดเดียวกันของเวียดนาม ขณะที่ราคาข้าวเกรดเดียวกันของอินเดียอยู่ที่ 410-420 ดอลลาร์ต่อตัน
รัฐแคลิฟอร์เนีย ออกกฎห้ามสวมใส่กูเกิลกลาส ขณะขับรถ เพราะเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้ หากมีการใช้อย่างผิดวิธี...
แว่น กูเกิล หรือกูเกิลกลาส ทำพิษ หลังนางเซซิเลีย อบาดี ถูกตำรวจจราจรให้ใบสั่งข้อหาใส่กูเกิลกลาสขณะขับรถ และเหตุผลว่าเป็นการป้องกันไม่ให้คนใช้แว่นในทางที่ผิดอย่างการดูทีวีขณะขับรถ โดยกฎหมายจราจรในรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุห้ามไม่ให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะใช้งานโทรทัศน์หรือหน้าจอที่มีลักษณะคล้ายกัน หันหน้าเข้าหาผู้ขับขี่ ยกเว้นจีพีเอสและระบบแผนที่นำทาง หรือเนวิเกเตอร์
นางเซซิเลีย กล่าวว่า เธอไม่ได้เปิดใช้งานกูเกิลกลาสขณะโดนเรียกให้จอดด้วยซ้ำ และการที่เจ้าหน้าที่บอกว่าภาพในกูเกิลกลาส จะบดบังทัศนวิสัยในการขับรถนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะกูเกิลกลาสจะแสดงภาพขึ้นบริเวณเหนือตาด้านขวา ไม่ใช่ตรงกลาง
ด้าน นายมิทเชล เมห์ดี้ ทนายความในซานดิเอโก้ที่ทำคดีเกี่ยวกับการจราจรมานานกว่า 25 ปี ก็รู้สึกประหลาดใจที่ใบสั่งครั้งนี้มีสาเหตุมาจากกูเกิลกลาส พร้อมแสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายบางบทก็มีเนื้อหากว้างเกินไปจนต่อต้านในตัวบทกฎหมายเอง
กูเกิลกลาสถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของแว่นตา ที่ใส่เทคโนโลยีต่างๆ เข้าไป เมื่อสวมใส่แว่นตานี้แล้ว ผู้สวมใส่จะสามารถรับรู้เหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องการได้ โดยจะมีผู้ช่วยแสดงอยู่ขอบหน้าจอเล็กๆ คอยบอกข้อมูลต่างๆ เช่น หากผู้ใส่แว่นตาจะไปสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แว่นตาก็จะบอกได้ว่าขณะนี้เปิดทำการอยู่หรือไม่ หรือผู้ใส่แว่นถามหาจุดที่วางสิ่งของ แว่นตาก็จะบอกตำแหน่งให้เดินไปหยิบได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ผู้สวมใส่ยังสามารถเล่น Video chat และสนทนาตอบโต้ในเฟซบุ๊กผ่านระบบเสียงได้อีกด้วย
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 6-13 พ.ย. 56 กรมฯ ร่วมกับสำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ สมาพันธ์สมาคมภาพยนต์แห่งชาติ นำผู้ประกอบการไทยด้านภาพยนต์ 20 รายเข้าร่วมงาน “อเมริกัน ฟิล์ม มาร์เก็ต 2013” ประเทศสหรัฐฯ พร้อมทั้งเจรจาธุรกิจ กับนักลงทุน ผู้สร้าง ผู้กำกับ ผู้ซื้อหนังในตลาดฮอลลีวูด และชาติอื่นๆ 30 - 50 ราย เพื่อขยายตลาดอุตสาหกรรมบันเทิงของไทย
ทั้งนี้กรมฯประเมินว่าธุรกิจบันเทิงไทยมีศักยภาพค่อนข้างสูงมากและการส่งออกออกอุตสาหกรรมประเภทนี้ของไทยจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าปีละ 10-15% ในช่วงปี 56-59 เนื่องจากผู้ผลิตหนังระดับโลกรวมถึง ตลาดฮอลลีวูดหันมาหาแหล่งผลิตภาพยนต์ที่มีศักยภาพสูง และไทยเป็นประเทศที่ได้รับความสนใจในฐานะประเทศที่ผลิตงานคุณภาพสูงแต่ต้นทุนการผลิตไม่สูง
“ ในปี 55 มูลค่าการตลาดของธุรกิจภาพยนตร์ไทยมีประมาณ 24,000 ล้านบาท ตลอดแอนนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟฟิค รวมกัน 7,000 ล้านบาท จำนวนนี้เป็นมูลค่าการส่งออกรวมกันทั้งสองกลุ่มเป็นคิด 10% ของมูลค่าตลาด ดังนั้นเชื่อว่าในปี 56-59 แนวโน้มการเติบโตของตลาด 10 – 15% และยอดส่งออกคาดว่าจะเพิ่มไม่ต่ำ เบื้องต้นการนำผู้ประกอบการเข้าร่วมงานดังกล่าวคาดว่าจะสร้างรายได้เข้าประเทศไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท จากการรับจ้างผลิตงาน การลงทุนและร่วมลงทุนระหว่างประเทศ การสร้างเครือข่าย กว่า 15% ต่อปี”
ในช่วงระหว่างวันที่ 30 ต.ค. – 3 พ.ย. 56 นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ พร้อมผู้บริหารกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้นำผู้ประกอบการธุรกิจบันเทิงไทยร่วมงาน ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ บันเทิง และคอนเทนท์ไทย (ไทย ไนท์) ที่ นครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกาสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างกระแสธุรกิจบันเทิงไทยในสหรัฐฯ โดยมีทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงาน
“กรมฯเปิดให้มีการเจรจาการค้าระหว่างธุรกิจบันเทิงในสหรัฐอเมริกา เป็นการชิมลางกระแสธุรกิจบันเทิงไทยในสหรัฐฯ ก่อนการจัดงาน อเมริกัน ฟิล์ม มาร์เก็ต 2013 ซึ่งเป็นงานสำคัญของโลก โดยการเดินทางครั้งนี้นายนิวัฒน์ธำรง มีกำหนดการเข้าพบหารือประธานและสมาชิกสภาหอการค้าไทย-อเมริกันแห่งแคลิฟอร์เนียใต้ และผู้ประกอบการไทยรายใหญ่ในสหรัฐในหลายๆอุตสาหกรรม รวมถึงพบปะกับผู้แทน นักธุรกิจ ผู้สร้าง ผู้กำกับรายสำคัญของไทยและสหรัฐเพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น”
นอกจากนี้กรมฯยังถือโอกาสในการจัดประชุมหัวหน้าสำนักงานและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการค้าระหว่างประเทศประจำประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อประเมินสถานการณ์การค้าเบื้องต้น ซึ่งคาดว่าภาวะการค้าในปี 57 จะดีกว่าปี 56 จากการผ่อนคลายมาตรการเชิงปริมาณ(คิวอี)ของสหรัฐฯ ที่ทยอยลดบทบาทลง โดยการส่งออกในช่วง 9 เดือนแรก(ม.ค.-ก.ย.)ของปีนี้ จะลดลง 0.1% มีมูลค่า 17,143 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนนำเข้าเพิ่มขึ้น 23% หรือ มีมูลค่า 11,356 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
งาน “ไทยไนท์” ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดขึ้น เป็นงานประทุกปีในช่วงที่มีงาน อเมริกันฟิล์มมาร์เก็ต หรือตลาดนัดซื้อขายภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา ซึ่งเป็นช่วงที่บุคคลในวงการบันเทิงจากทั่วโลกมารวมตัวกัน โดยงานไทยไนท์ที่กรมส่งเสริมการค้าฯ จัดก็จะเชิญเอาบุคคลในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และสื่อมวลชนนานาชาติ มาร่วมรับรู้ถึงความก้าวหน้าของวงการภาพยนตร์ไทยในทุกด้านที่โรงแรม เจดับเบิลยู มาร์ริออทท์ ซานตามอนิก้า
นับจากวันที่ 21 เดือนตุลาคม ทางองศ์กรควบคุมคุณภาพอากาศทางใต้ได้รับการร้องเรียนทั้งหมดถึง11รายงานเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์จากโรงงานผลิตซอสพริกศรีราชา ที่ตั้งอยู่ในเมืองเออร์วินเดล, รัฐแคลิฟอเนีย ทำให้ผู้อยู่อาศัยในบริเวณเกิดอาการแสบตา เจ็บคอ และปวดศีรษะ
เจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนมา 1 ครั้ง เมื่อวันอังคาร และอีก 4 ครั้ง เมื่อวันเสาร์ พร้อมกันนั้นได้ทำการตรวจสอบกลิ่นและบริเวณรอบๆบริษัท หอย ฟง ฟู้ด ถึง 2 ครั้ง แต่ไม่พบกลิ่นใดๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น มีปัจจัยอื่นๆเช่นสภาพอากาศทำให้กลิ่นและมลพิษต่างๆถูกกดอยู่ใกล้พื้นดิน “เราจะทำการตรวจสอบสถานที่และบริเวณรอบๆต่อไป แม้จะไม่มีการฟ้องร้องเข้ามาตามเจ้าหน้าที่ แซม แอทวูดกล่าว
หลังจากมีผู้อยู่อาศัยร้องเรียนมา ทางอำเภอได้ขอให้ศาลสั่งปิดโรงงานหรือระงับการผลิตซอสพริกศรีราชาจนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข
ผู้ก่อตั้ง หอย ฟง ฟู้ด เดวิช แทรน กล่าวว่า“ทางบริษัทรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบเรื่องการฟ้องร้องซึ่ง เมื่อปีที่แล้วตอนที่เจ้าหน้าที่มาตรวจโรงงานเรื่องกลิ่น เขาได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ไปแล้ว และติดตั้งเครื่องกรองอากาศถึง 2 ชั้นเมื่อได้รับการร้องเรียนเรื่องกลิ่น”
พริกเหล่านี้ได้ถูกขนลงสายพานหลังอาคารและได้ถูกล้าง บด และปั่น เครื่องดูดอากาศดูดกลิ่นพริกไปยังท่อกรองและปล่อยอากาศออกไปทางเพดานของตึก เซอร์จิโอ การ์เซีย ผู้ควบคุมเครื่องทำงานในกลิ่นพริกทั้งวันโดยไม่ได้สวมหน้ากากหายใจ เขากล่าวว่า “มันไม่ได้เลวร้ายอะไร เมื่อเคยชินกับมัน”
ลิซ่า เบลีย์ ประธานหอการค้าแห่งเมืองเออร์วินเดลกล่าวว่าเธอได้รับทัวร์ที่โรงงานเมื่อ 3 อาทิตย์ที่แล้วขณะที่พริกกำลังถูกปั่นและไมได้สวมหน้ากากแค่ตะข่ายดักเส้นผม “ฉันไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ ไม่มีอาการแสบตาหรือคอและประหลาดใจมากที่ทราบว่ามีการฟ้องร้อง” เบลีย์กล่าว
“ราคาซอสพริกศรีราชาจะเพิ่มสูงมากขึ้นถ้าศาลสั่งให้ระงับการผลิต” แทรนกล่าว
ทั้งนี้ล่าสุด ศาลนครลอสแอนเจลิสตัดสินระบุไม่มีหลักฐานเพียงพอสั่งปิดโรงงานทันทีตามคำร้องฝ่ายโจทก์ แต่นัดวันไต่สวนอีกในวันที่ 12 พ.ย. เพื่อพิจารณาข้อโต้แย้งเพิ่มเติมทางคดีต่อไป.
จากการที่ มูลนิธิธารน้ำใจสหรัฐอเมริกา Tharnnamjai USA Foundation (A Non Profit Organization) ได้จัดงานเพื่อสะสมเงินเพื่อสบทบให้การโรงเรียนบ้านมาบแฟบ ต.เนินปอ อ.สามง่าม จ.พิจิตร ที่ประเทศไทย อยู่หลายครั้ง โดยได้รับน้ำใจจากชุมชนชาวไทยในสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างดี โดยในวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา โรงเรียนบ้านมาบแฟบ ได้ออกจดหมาแสดงความมีน้ำใจต่อ มูลนิธิธารน้ำใจ โดยมีประธานคือ สมชายทันทัน ซึ่งได้มอบเงินจำนวน 3 แสนบาท เพื่อสร้างห้องน้ำให้กับโรงเรียน 1 แสนบาทเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียนเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 โดยผ่านการโอนเงินเข้าบัญชีของโรงเรียน และอีก 45,000 บาท เพื่อเป็นค่าอาหารสำหรับโรงเรียน 8 โรงเรียน ราว 600 คน ที่มาร่วมกิจกรรม เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2556 และมอบเครื่องแบบนักเรียนจำนวน 600 ชุดให้กับนักเรียนในตำบลเนินปอ
และในวันนั้น สมชาย ไทยทัน ยังได้พาน้ำใจของอาจารย์รำไพ ศิริมนกุล รองอธิการบดีฝ่ายต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมศิษย์เก่า นักศึกษาสาขาวิทยบริการฯ ต่างประเทศ และสำนักงานสาขาวิทยบริการฯ ต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มอบอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนทั้ง 8 โรงเรียนอีกด้วย
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2556 ที่อินเตอร์คอนติเนทัล เซนจูรี่ซิตี้ แคลิฟอร์เนีย ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเป็นประธานพิธีเปิดงานแสดงภาพยนตร์ไทยและอนิเมชั้น 2013 โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (Department of International Trade Promotion DITP) กระทรวงพาณิชย์ เป็นเจ้าภาพจัดงาน โดยมีชื่อภาษาอังกฤษว่า “The Thai Film an Animation Business Alliance 2013” ซึ่งจะจัดถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556
เป้าหมายของการจัดงานในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้เป็นที่รู้จักในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด และเปิดโอกาสให้บุคคลในวงการภาพยนตร์ได้เชื่อมสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดจนนำไปสู่การซื้อขายทางธุรกิจ ระหว่างผู้ผลิต ผู้นำ รวมถึงผู้เข้าร่วมงานและสื่อมวลชนในสหรัฐฯ ในปีนี้ทางผู้จัดไทยได้นำคณะบุคคลผู้สร้างภาพยนตร์ ผู้จัดจำหน่าย บริษัททำเอฟเฟ็กซ์ และอนิเมชั่น กว่า 20 บริษัทของไทยเข้าร่วมงาน พร้อมตัวอย่างภาพยนตร์ต่างๆ ที่กำลังเป็นที่รู้จักในขณะนี้มาแนะนำด้วย เช่น “Only God Forgives”, “Ninja: Shadow of a Tear”, “องค์บาก” ตอนจบ, ต้มยำกุ้ง ซีรีย์, “The Protector” และภาพยนตร์รางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เรื่อง “ลุงบุญมีระลึกชาติ”
ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลในวงการภาพยนตร์อเมริกัน ได้เห็นถึงศักยภาพความพร้อมของอุสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ทั้งในแง่ของความงดงามของสถานที่และเทคโนโลยีการถ่ายทำ ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ บุคลากร ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นต้นทุนต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ แนะนอกเหนือจากนั้นสิ่งสะท้อนภาพชัดเจนว่าวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเป้นที่ยอมรับในเวทีระดับโลกก็คือ การที่ประเทศไทยสามารถทำรายได้จากกองภาพยนตร์ โทรทัศน์ และอื่นๆ จากต่างประเทศ ในปี 2012 ถึง 71 ล้านเหรียญสหรัฐ ทุบสถิติเดินก่อนหน้า 61 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2008 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ที่ www.thaifilmandanimation.com
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012