ข่าว
พายุถล่มแคลิฟอร์เนีย ! 2.2 แสนคน เจอไฟดับ

ชาวอเมริกันในรัฐแคลิฟอร์เนีย และโอเรกอนอ่วม เจอพายุรุนแรงสุดในรอบปี ประชาชนกว่า 2.2 แสนคน เจอปัญหาไฟดับ ขณะที่ เกิดน้ำท่วมทางหลวงสายสำคัญในซานฟรานซิสโก และเที่ยวบินกว่า 200 เที่ยวต้องถูกยกเลิก

เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. เกิดพายุที่ก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกกำลังแรงที่สุดของปี พัดถล่มรัฐแคลิฟอร์เนียและโอเรกอนของสหรัฐฯ ทำให้ประชาชนกว่า 220,000 คน ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย เจอปัญหาไฟฟ้าดับ ไม่มีไฟฟ้าใช้เป็นบริเวณกว้าง ตั้งแต่ย่านชานเมืองซานฟรานซิสโก จนถึงเมืองฮัมโบลด์ ใกล้รัฐโอเรกอน เนื่องจากฝนตกหนักและพายุลมกระโชกแรง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ที่นครซานฟรานซิสโก ได้เกิดฝนตกหนัก วัดปริมาณน้ำฝนได้สูงกว่าหนึ่งนิ้วในช่วงเวลา 1 ชม. จนทำให้เกิดน้ำท่วมทางหลวงสายสำคัญ 2 สาย ส่งผลการเดินทางโดยรถยนต์ต้องหยุดชะงัก ขณะที่ ต้องมีการยกเลิกเที่ยวบินท่ีสนามบินซานฟรานซิสโกถึง 240 เที่ยว และเรือเฟอร์รี่โดยสารต้องหยุดให้บริการเช่นกัน

นอกจากนั้น สถานีตำรวจเมืองแจ็กสันทางตอนใต้ของรัฐโอเรกอน ยังแจ้งว่า เกิดเหตุต้นไม้หักโค่นล้มทับเต็นท์หลังหนึ่ง เนื่องจากลมแรงและฝนตกหนัก เป็นเหตุให้มีเด็กหนุ่มวัย 18 ที่กำลังนอนอยู่ในเต็นท์เสียชีวิตด้วย

ขังสุดาทิพย์ อ้างพระญาติ ผูกขาดส่งน้ำพริกเข้าวัง

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.สามเสน ควบคุมตัวนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2/3 ซอยทวีวัฒนา 49 ต.ศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม. ภรรยา พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล อดีต ผกก.ตม.สมุทรสาคร และมีศักดิ์เป็นหลาน พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ผู้ต้องหาผิดตามมาตรา 112 ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งแรก

โดยคำร้องสรุปว่า ระหว่างปี 2545 ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2557 ต่อเนื่องกัน น.ส.สุดาทิพย์ ได้อาศัยความเป็นพระญาติในสถาบันเบื้องสูงจัดหาอาหารน้ำพริก พร้อมเครื่องเคียง เช่น ผักสด ผักลวก ต่างๆ นำส่งกองกิจการในพระองค์ เพื่อพระราชทานเลี้ยงให้แก่ ข้าราชบริพาร วังศุโขทัย ติดต่อกันเรื่อยมา หากมีร้านค้าอื่นๆ ประสงค์เข้ามาประมูลราคา ผู้ต้องหาจะพูดแอบอ้างในฐานะตนเองเป็นพระญาติว่ามีคำสั่งให้เป็นผู้จัดหาอาหารจำพวกน้ำพริกฯ นำส่งกองกิจการในพระองค์ฯ แต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้พฤติการณ์การกระทำไม่เป็นไปตามพระราโชบายและระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้อง คือจะต้องเปิดการประมูล เพื่อให้แข่งขันทางการค้า ตามระเบียบทางราชการทั่วไป การกระทำดังกล่าวเป็นลักษณะแอบอ้างเบื้องสูง หมิ่นสถาบันทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ กองกิจการในพระองค์ฯ จึงมอบอำนาจให้ พล.อ.ต.วีระพันธ์ ภูวจินดา ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.สามเสน ให้ดำเนินคดี น.ส.สุดาทิพย์กับพวก

ต่อมาวันที่ 10 ธันวาคม 2557 พนักงานสอบสวน สน.สามเสน ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2238/2557 ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2557 จึงแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 83 เหตุเกิดที่แขวงและเขตดุสิต กทม. มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี ชั้นสอบสวนผู้ต้องหารับสารภาพ

แต่การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จต้องสอบปากคำพยานบุคคลที่เหลืออีก 7 ปาก รอผลการตรวจสอบประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาและอื่นๆ ด้วยความจำเป็นดังกล่าว จึงขอฝากขังผู้ต้องหานี้ไว้เป็นเวลา 12 วันตั้งแต่วันที่ 11-22 ธันวาคมนี้

ท้ายคำร้องขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากผู้ต้องหานี้กระทำผิดอาญาร้ายแรง และมีอัตราโทษสูง หากได้รับการประกันตัวไปเกรงว่าจะหลบหนี และขอศาลได้โปรดสั่งขังผู้ต้องหาไว้ระหว่างสอบสวนด้วย ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้

ข่าวแจ้งว่า จากการสอบสวน น.ส.สุดาทิพย์ เมื่อคืนที่ผ่านมาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ก่อนนำตัวไปควบคุมที่ สน.บางเสาธง ผู้ต้องหาเกิดอาการเครียดอย่างหนัก ตำรวจต้องพาไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ให้แพทย์ตรวจร่างกายพูดคุยกับนักจิตแพทย์ และให้ยาระงับประสาทเพื่อคลายความเครียด

ข่าวแจ้งว่าการตรวจสอบเครือข่ายการทำธุรกิจของ น.ส.สุดาทิพย์ กับพวกทราบว่าเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ 4 แห่ง ได้แก่ คณะบุคคลปณสุ คณะบุคคลน้ำทิพย์ สวนผึ้งรีสอร์ท จ.ราชบุรี และ บริษัท ศิรินทิพย์ 2007 (อัครพงศ์ปรีชา) ตั้งอยู่เลขที่ 999 ชั้น 4 คอนคอร์สเอฟ บางพลี เช่าพื้นที่ บริษัท คิงเพาเวอร์ สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดร้านคาเฟ่ เดอ สุวรรณภูมิ ขายกาแฟและเค้ก ธุรกิจทั้ง 4 แห่ง มีรายได้รวมเดือนละประมาณ 6 ล้านบาท

ข่าวแจ้งว่า ชุดสืบสวนสอบสวนดำเนินคดี น.ส.สุดาทิพย์ ตามความผิดมาตรา 112 เนื่องจากทำธุรกิจใช้ชื่อ คณะบุคคลปณสุ และคณะบุคคลน้ำทิพย์ ตั้งอยู่เลขที่ 2/3 หมู่ 9 ถนนทวีวัฒนา แอบอ้างเบื้องสูงจนได้รับการประมูลธุรกิจทำเครื่องเสวย และครัวข้าราชบริพาร คณะบุคคลปณสุ ขายผักสด และผักลวก และคณะบุคคลน้ำทิพย์ ขายน้ำพริกต่างๆ ส่งที่วังศุโขทัย และพระที่นั่งอัมพรสถาน


อนุมัติหมายจับ “ณัฐพล-ชากานต์” ขาดเรียน ป.โท แอบอ้างสถาบันฯ

โฆษก ตร. เผยศาลทหารอนุมัติหมายจับเพิ่ม “ณัฐพล - ชากานต์” ถูกสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า แจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นสถาบันฯ หลังทั้งคู่ขาดเรียนเกินกำหนด แต่กลับแอบอ้างสถาบันฯ ไม่ให้ถูกดำเนินการตามระเบียบ เตรียมออกหมายเรียก รอง ผกก.ป. คนสนิท “พงศ์พัฒน์” ที่ยังหลบหนีอีกครั้ง หากไม่มาเจอหมายจับ พร้อมดำเนินการทางวินัยกรณีขาดราชการเกิน 15 วันด้วย

วันนี้ (12 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ว่า ขณะนี้ศาลทหารกรุงเทพได้อนุมัติออกหมายจับ นายชากานต์ ภาคภูมิ และ นายณัฐพล สุวะดี (อัครพงศ์ปรีชา) สองผู้ต้องหาเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เพิ่มเติม ในข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่มีการแอบอ้างสถาบันฯเพื่อผลประโยชน์ทางการศึกษาในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า จากกรณีเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา สถาบันนิด้าได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายชากานต์ และ นายณัฐพล ที่ สน.ลาดพร้าว เนื่องจากนายณัฐพล ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังสถาบันฯ และอ้างว่า เป็นพระอนุชาเพื่อให้สถาบันฯไม่ดำเนินการตามระเบียบต่อนายชากานต์ จากกรณีที่เจ้าตัวขาดเรียนในชั้นเรียนปริญญาโทเกินกำหนด ทำให้มีเวลาเรียนไม่เพียงพอ โดยนายณัฐพลอ้างกับนิด้าว่านายชากานต์ได้ไปปฏิบัติภารกิจกับเกี่ยวกับสถาบันฯกับตน

พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นความผิดในต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นคนละกรณีกับข้อหาเดิม ซึ่งจากนี้ดำเนินการอายัดตัวเพิ่มเติมต่อไป เนื่องจากผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่ ขณะที่กระบวนการสอบสวนในคดีดังกล่าวกับผู้ต้องหารายอื่นๆ เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว จะต้องส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการคดีหมิ่นฯของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณา ทั้งนี้ ในส่วนของสำนวนคดีหลักทั้งหมดนั้นจะมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน จากนั้นจะส่งต่อให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. พิจารณากลั่นกรองอีกครั้งก่อนส่งให้อัยการต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าการดำเนินการทางวินัยกับนายตำรวจคนอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า เรื่องนี้ พล.ต.อ.ชนินทร์ ปรีชาหาญ จเรตำรวจแห่งชาติ จะเป็นประธานคณะกรรมการเพื่อดำเนินการทางวินัยกับตำรวจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้สรุปข้อมูลต่างๆแล้ว หากพบมีความผิดวินัยร้ายแรงต้องให้ออกไว้ก่อน ส่วนจะเข้าข่ายถอดยศหรือไม่ ต้องรอผลการประชุมคณะกรรมการอีกครั้ง

พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวถึงกรณีน้องชาย นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ เข้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมกับ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพรหมกุล ผบช.น. ว่า จะรับคำร้องดังกล่าวไว้ แต่ที่อ้างว่าไม่เคยจ่ายสินบน แต่นำหลักฐานมาให้ตำรวจทำให้ข้อมูลยังขัดแย้งกันอยู่ เนื่องจากตำรวจมีหลักฐานการจ่ายชัดเจน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเจ้าตัวคงหนีไปอีกสักพัก เมื่อคิดได้คงเข้ามามอบตัวเอง แต่ขณะนี้ตำรวจยังไม่ได้เบาะแส ส่วนจะมีโอกาสเจอตัวหรือไม่ต้องใช้เวลา ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบตร. พอใจการทำงานของชุดสืบสวน พร้อมกำชับเกี่ยวกับการดำเนินการทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจสอบของกลางและพยานหลักฐานทางคดี ตลอดจนการสอบสวนขยายผล หากมีผู้ร่วมกระทำผิดหรือผู้กระทำผิดรายเดิมต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งคงต้องใช้เวลาแต่ไม่เกินกรอบ 30 วันที่ต้องส่งสำนวนต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อย่างแน่นอน

วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิสูตร ฉัตชัยเดช พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา และพ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ ผกก.สน.ลาดพร้าว เปิดเผยถึงกรณีสถาบันบัณทิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายแจ้งความดำเนินคดีที่สน.ลาดพร้าว ไปเมื่อวันที่10ธ.ค. โดยแจ้งว่านายชากานต์ ภาคภูมิ และนายณัฐพล สุวะดี ร่วมกันแอบอ้างเบื้องสูง โดยนำหนังสือที่ระบุว่า นายชากานต์ ติดภาระกิจ ติดตามบุคคลสำคัญมายื่นให้ทางสถาบัน จึงไม่สามารถมาเรียนได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลให้หมดสิทธิ์สอบในวิชารอ.6005 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ในคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันนิด้า

ด้านพ.ต.อ.วิทวัฒน์ กล่าวว่า หลังจากที่ตรวจสอบหนังสือที่นายชากานต์ ยื่นให้กับสถาบัน และได้ส่งตัวแทนด้านกฎหมายมาแจ้งความดำเนินคดีที่สน.ลาดพร้าว โดยระบุว่า วิชารอ.6005 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ จัดการเรียนการสอนทุกวันอาทิตย์ ครั้งละ 6 ชั่วโมง เข้าเรียนจำนวน 6 ครั้ง และสามารถขาดเรียนได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น แต่นายชากานต์ขาดเรียนถึง 4 ครั้ง ส่งผลให้ไม่มีสิทธ์สอบ ซึ่งในวันนี้ได้นำหมายจับของศาลทหารกรุงเทพเลขที่2552/2557 ลงวันที่11ธ.ค.57 ในข้อหาแอบอ้างสถาบัน มาตรา112 ไปแจ้งนายชากานต์ และนายณัฐพล ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ซึ่งนายชากานต์รับสารพทุกข้อกล่าวหา ส่วนนายณัฐพลปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมอ้างว่าตนเป็นผู้เซ็นต์ยืนยันในหนังสือเท่านั้น ทางพนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อทำการสอบสวนเพื่มเติมอีกครั้ง


พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ ลาออกจากฐานันดรศักดิ์

ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว

เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.57 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ เรื่อง ลาออกจากฐานันดรศักดิ์ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ได้นําความขึ้น กราบบังคมทูล สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นลายลักษณ์อักษรว่า ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว พระราชทานพระบรมราชานุญาต

ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เป็นปีที่ ๖๙ ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี


ทรงเมตตาสูงสุดแต่งตั้งเป็น'ท่านผู้หญิงบุษบา สุวะดี'

หลัง "หม่อมศรีรัศมิ์" ลาออกจากฐานันดรศักดิ์ "สมเด็จพระบรมฯ" ทรงพระเมตตาสูงสุด แต่งตั้งเป็น "ท่านผู้หญิงบุษบา สุวะดี" และจะกลับไปใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ณ บ้านเกิด โดยศึกษาธรรมะและปฎิบัติธรรม

หลังจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์แล้ว ซึ่งเป็นไปตามประกาศราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2557 เผยแพร่ประกาศเล่ม 131 ตอนที่ 29 ข ซึ่งความทราบฝ่าละอองพระบาท และพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วนั้น มีรายงานว่า ทรงหย่าจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2557 โดยมีองคมนตรีเป็นพยานในการหย่าครั้งนี้ โดยหม่อมกราบพระบาทแล้วขอทูลลา และไม่ขอรับใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมถวาย "พระองค์ที" แก่สมเด็จพระบรมฯ ซึ่งแสดงถึงความคงไว้ซึ่งพระเกียรติยศในความเป็น "พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ"

สมเด็จพระบรมฯทรงพระเมตตาสูงสุดต่อหม่อม โดยพระราชทานเงินจำนวนหนึ่งให้ พร้อมเกียรติแห่งฐานันดรศักดิ์ แต่งตั้งเป็น "ท่านผู้หญิง" โดยใช้ชื่อใหม่-นามสกุลใหม่ว่า "ท่านผู้หญิงบุษบา สุวะดี" ทั้งนี้ท่านผู้หญิงบุษบา จะกลับไปใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ณ บ้านเกิด โดยศึกษาธรรมะและปฎิบัติธรรม ส่วนพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ทรงตามเสด็จฯสมเด็จพระบรมฯไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ สำหรับการนำเสนอข่าวพระราชสำนักนั้น จะงดขึ้นภาพของหม่อม เพราะถือว่าได้สละความเป็นพระราชวงศ์เป็นการเรียบร้อยแล้ว

13 ธ.ค.คนกรุงจุก ปรับขึ้นค่าแท็กซี่ ‘รถติด’นาทีละ2บ. เพิ่มโทษไม่รับคน

คนกรุงเทพฯ เตรียมขึ้นรถแท็กซี่ในราคาใหม่ โดยผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ว่า มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 131 ตอนพิเศษ 251 ง ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2557 ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร สำหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (TAXI-METER) ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร ออกมาแล้ว ซึ่งกำหนดให้อัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร ระยะทาง 1 กม.แรกเริ่มที่ 35 บาท และถ้าเกิน 1-10 กม.คิด กม.ละ 5.50 บาท ส่วนที่เกิน 10-20 กม.คิดที่ กม.ละ 6.50 บาท ระยะทางเกิน กม.ละ 20-40 กม.คิดที่ กม.ละ 7.50 บาท ระยะทางเกิน 40-60 กม.คิด กม.ละ 8 บาท ระยะทางเกิน 60-80 คิด กม.ละ 9 บาท เกินกว่า 80 กม.ขึ้นไปคิด กม. ละ 10.50 บาท

ส่วนกรณีรถไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ หรือเคลื่อนที่หรือเดินรถต่อเนื่องไม่เกิน 6 กม.ต่อ ชม.ให้คิดนาทีละ 2 บาท โดยอัตราใหม่นี้จะมีผลใช้บังคับในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือ 13 ธ.ค.นี้

ต่อมา พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม กล่าวว่า หลังจากมีการประกาศราคาแท็กซี่มิเตอร์ใหม่แล้ว ผู้ขับแท็กซี่จะต้องนำรถไปตรวจสภาพรถและจูนมิเตอร์ก่อนถึงจะปรับขึ้นราคาได้ โดยขณะนี้มีรถแท็กซี่เข้ามาตรวจสภาพแล้ว 30,000 คัน จากทั้งหมด 70,000-80,000 คัน ส่วนกรณีรถโดยสารร่วมองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ ขอปรับขึ้นราคาค่าโดยสารอีก 2 บาท จาก 8 บาท เป็น 10 บาท ในปีนี้จะไม่ให้ปรับแน่นอน เพราะราคาน้ำมันอยู่ในช่วงลดลง ประกอบกับรัฐบาลมีการอุดหนุนราคาก๊าซช่วยเหลือผู้ประกอบการอยู่ อย่างไร ก็ตาม ได้มอบหมายให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมช.คมนาคม ไปพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจน และสรุปผลว่าจะให้ขึ้นราคา หรือมีแนวทางช่วยเหลืออย่างไรต่อไปในต้นปีหน้า

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม ถึงการปรับขึ้นค่าทางด่วนโทลล์เวย์ และค่าโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน ว่ากระทรวงจะพิจารณาให้ขึ้นตาม สัญญาสัมปทานที่กำหนดไว้ เพราะมีการคำนวณอัตราตามเงินเฟ้อและดัชนีอื่นไว้อยู่แล้ว โดยค่าทางด่วนโทลล์เวย์จะขึ้นในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ ประมาณ 5-15 บาท โดยรถ 4 ล้อจะเพิ่มจาก 85 บาท เป็น 100 บาท ระยะ 60 บาท เป็น 70 บาท และระยะ 25 บาท เป็น 30 บาท