ข่าว
ครูเตรียมช่วยศิษย์ 'ทนงศักดิ์' นร.เดินวันละกว่า30กม.ไปโรงเรียนไม่เคยขาด

ความคืบหน้ากรณีครูสาวพร้อมทีมงานได้ทำการโพสต์ภาพเส้นทางที่คณะครูได้เดินเข้าไปเยี่ยมบ้านของนักเรียนของโรงเรียนไทรโยคน้อยวิทยา ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โดยการโพสต์ภาพนี้เพื่อให้เด็กนักเรียนได้เห็นชีวิตของ นายทนงศักดิ์ (ชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง) อายุ 16 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เดินทางไปโรงเรียนไม่เคยขาด แม้ระยะทางจากบ้านไปถึงโรงเรียนไกลกว่า 30 กิโลเมตร อีกทั้งเส้นทางยากลำบากมาก โดยทุกวัน นายทรงศักดิ์ ต้องตื่นเตรียมตัวเพื่อไปโรงเรียนตั่งแต่ตี 5 แล้วเดินข้ามลำห้วยไปขึ้นรถฝั่งตรงข้ามลำห้วยอย่างที่เห็น โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนจะประสบปัญหามาก เพราะน้ำในลำห้วยจะไหลเชี่ยว

โดยเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับนางสาวณฐมน ชมจันทร์ ครูสาวพร้อมทีมงานที่โรงเรียนไทรโยคน้อยวิทยา โดย นางสาวณฐมน ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ได้ทำการโพสต์ลงในโลกโซเชียลว่า เนื่องจากทางโรงเรียนไทรโยคน้อยวิทยา ต้องเดินทางไปเยี่ยมนักเรียนที่ห่างไกล ตามโครงการของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เบื้องต้นพอที่จะทราบว่าเส้นทางเดินทางไปบ้านของ นายทนงศักดิ์ ค่อนข้างลำบาก แต่ไม่คิดว่าจะยากลำบากถึงขนาดนี้ เมื่อเจอตอนแรกถึงกับจุกพูดไม่ออก

แต่สิ่งหนึ่งของ นายทะนงศักดิ์ คือเขาไม่เคยย่อท้อกับอุปสรรคใดๆ ไม่เคยคิดท้อแท้ในโชคชะตาของตัวเอง มาโรงเรียนก็มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มตลอด แม้จะต้องเดินทางในระยะทางที่ไกลกว่า 30 กิโลเมตร บางช่วงเป็นลูกรัง เป็นหลุมเป็นบ่อ และบางช่วงเป็นภูเขาสูง บางช่วงเดินผ่านไร่ อีกทั้งยังต้องเดินข้ามลำห้วย ประกอบกับในช่วงนี้เข้าสู่ฤดูฝนจึงทำให้ระดับน้ำสูงและไหลเชี่ยว และขึ้นโดยสารมากับรถรับส่งนักเรียน ซึ่งใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เป็นความยากลำบากในการเดินทางเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ ไม่ได้คิดว่าเรื่องราวที่โพสต์จะเป็นกระแสขนาดนี้ หวังเพียงแค่เป็นการเตือนใจให้เด็กนักเรียนในโรงเรียน หรือใกล้เคียง ที่ตนเคยสอน ให้ดู นายทนงศักดิ์ เป็นตัวอย่างเท่านั้น ว่าเพื่อนต้องเดินทางไกลและลำบากขนาดไหน แต่ก็ไปเรียนตลอด ไม่เคยขาดเรียน เพื่อให้คนที่บ้านอยู่ใกล้หรือเดินทางสะดวกกว่าได้เก็บไปคิด โดยเอา นายทนงศักดิ์ เป็นตัวอย่าง ในความมีมานะ อดทน และใฝ่ดี โดยบ้านของ นายทนงศักดิ์ ตั้งอยู่หมู่ที่ 8 ตำบลกระแจะ อำเภอไทรโยค ปลูกในลักษณะกระต๊อบ ไม่มีไฟฟ้าใช้ และไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ช่วงหน้าฝนก็ไม่สามารถกันฝนสาดได้ โดยเบื้องต้นในวันเสาร์ที่ 29 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ทางโรงเรียนและผู้นำชุมชนรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นัดรวมตัวกับชาวบ้าน เพื่อจะสร้างสะพานข้ามลำห้วยให้สามารถได้เดินข้ามไป-มาได้สะดวกยิ่งขึ้น

ด้าน นายทนงศักดิ์ ได้กล่าวว่า ตนต้องตื่นแต่ตั้งแต่ตี 5 เพื่อเตรียมตัว ก่อนเดินข้ามลำห้วยไปยังบ้านของป้า เพื่อไปขึ้นรถ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ ส่วนน้องสาวไปเรียนที่โรงเรียน ตชด.บ้านต้นมะม่วง ซึ่งปีหน้าก็จะไปเรียนที่เดียวกัน ทั้งนี้บ้านที่ตนอาศัยอยู่ๆ รวมกัน 4 คน คือ แม่ พ่อ น้อง และตนเอง ซึ่งบ้านไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องจุดเทียนอ่านหนังสือ ลำบากมาก แต่ก็ไม่เคยย่อท้อในโชคชะตา ทั้งนี้โตขึ้นตนใฝ่ฝันอยากเป็นทหารเพื่อมารับใช้ชาติ และฝากขอให้เพื่อนๆ ที่มีโอกาสดีกว่าได้ไปโรงเรียนอย่าขาดเรียน ตนเองแม้จะยากลำบากแต่ไม่เคยย่อท้อกับอุปสรรคใดๆ มาเรียนตลอด ขาดเรียนบ้างในเวลาจำเป็นจริงๆ ไม่จำเป็น จะไม่ขาดเรียน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 27 มิถุนายน 2562 นี้ทางโรงเรียน โดยนางสาวณฐมน ชมจันทร์ ครูสาว พร้อมทีมงานจะพา นายทนงศักดิ์ ไปเปิดบัญชีธนาคาร เนื่องจากมีประชาชนผู้มีจิตศรัทธาต้องการที่จะบริจาคเงินให้ นายทรงศักดิ์ เพื่อให้ความช่วยเหลือ

ขู่ลาก'ชวน'ขึ้นศาลฏีกาฯ ! 7พรรคฝ่ายค้านลั่นจัดหนัก ถ้าไม่บรรจุญัตติสอบที่มาสว.

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 27 มิถุนายน ที่หอประชุมบริษัททีโอที 7 พรรคการเมืองฝ่ายค้าน ร่วมแถลงถึงกรณีที่ประธานสภาไม่บรรจุญัตติที่ฝ่ายค้านยื่นร้องขอให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบที่มาของส.ว.

โดยนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านเราได้ยื่นญัตติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปถึง 3 ญัตติ แต่กลับถูกรองประธานสภาคนที่ 2 ไม่บรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยอธิบายว่าส.ส.ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบเรื่องนี้ จึงเสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญไม่ได้ แต่สิ่งที่เราตั้งญัตติไปนั้น ขอย้ำว่า ไม่ได้ไปตรวจคุณสมบัติต้องห้ามของส.ว. เราทราบดีกว่าคนที่จะตรวจสอบคือส.ว.ด้วยกันเอง แต่เราตรวจสอบการได้มาซึ่งส.ว.

ทั้งนี้ ที่ 7 พรรคให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวเพราะเป็นประเด็นปัญหาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน และทุกฝ่ายก็พยายามหาคำตอบว่ากระบวนการสรรหาเป็นอย่างไรกันแน่ เราพยายามใช้ทุกช่องทาง แต่ถูกปิดหมด ดังนั้นเราในฐานที่เป็นผู้แทนสภาฯ ในเมื่อประเด็นปัญหานี้ยังเป็นที่สงสัยในสังคม จะให้สภาผู้แทนฯ นั่งเฉยๆหรือ

นอกจากนี้ สิ่งที่รองประธานสภาฯ ไม่ยอมบรรจุ โดยอ้างว่าไม่มีอำนาจ หากพูดถึง คสช. เขาเป็นองค์กรสูงสุด เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ไม่มีใครตรวจสอบได้นั้น ตนมองว่าความเห็นแบบนี้เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย เพราะนั้นหมายความว่าอะไรที่เกี่ยวกับ คสช. เราจะยุ่งกับเขาไม่ได้เลยหรือ ทั้งที่อีกไม่กี่วันก็ คสช. ก็หมดอายุแล้ว สภาผู้แทนฯ เป็นองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งเพียงองค์กรเดียว เราจำเป็นต้องใช้อำนาจที่ได้รับมาจากประชาชนในการทำงานตรวจสอบต่างๆ ตามที่ประชาชนสงสัย

"หากรองประธานสภาฯ พิจารณาเช่นนี้ เท่ากับลดอำนาจของสภาผู้แทนฯลง วันข้างหน้าสภาฯ อยากพิจารณาเรื่องประกาศคำสั่ง คสช. จะทำได้หรือไม่ หรือสุดท้ายแล้วเมื่อคสช.ไปแล้ว ผลผลิตการใช้อำนาจของเขายังอยู่ และเราไม่สามารถไปยุ่งอะไรกับเขาได้เลย แบบนี้เป็นอันตราย และอยากให้รองประธานสภาฯ ทบทวน เพราะหากไม่ทบทวนจะมีปัญหาในทางกฎหมาย และพรรคร่วมฝ่ายค้านจะสงวนเรื่องนี้ไว้พิจารณาในทางกฎหมายต่อไป"นายปิยบุตร กล่าว

ด้านนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า หากประธาน และรองประธานสภาวินิจฉัยเช่นนี้เป็นเจตนาที่จะละเมิดรัฐธรรมนูญ เพราะคสช. เป็นองค์กรที่เข้ามาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ฝ่ายนิติบัญญัติจึงมีหน้าที่ในการตรวจสอบ เรายื่นญัตติผ่านไป 8 วันแล้ว ทั้งที่ข้อบังคับระบุว่าเมื่อสมาชิกยื่นญัตติด่วนให้กับประธาน ประธานต้องแจ้งผู้ยื่นภายใน 5 วัน นับตั้งแต่วันรับญัตติ แต่นี่ยังไม่แจ้ง และหาก 7 วัน ไม่แจ้ง เราอนุมานว่าญัตติเราเป็นญัติด่วนแน่นอน แต่ผ่านไปแล้วกลับไม่มีถูกบรรจุอยู่ในวาระ แปลว่าท่านเจตนาไม่บรรจุญัตติ และไม่แจ้งเจ้าของญัตติ

"ดังนั้น จึงมีความผิดคือ 1.เจตนาฝ่าฝืนกฎหมาย โดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีหน้าที่ตรวจสอบเรื่องนี้ และ 2.เราจะส่งเรื่องให้ป.ป.ช.ไต่สวนประธานและรองประธานสภาฯคนที่ 2 ที่ใช้อำนาจหน้าที่ในส่วนนี้ และส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และถ้ามีความผิดปรากฎชัดแจ้งจะผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 ตามมาอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่จำเป็นต้องทำ ทั้งนี้หากไม่ทบทวนบรรจุญัตติดังกล่าว เราจะเดินทางไปยื่นป.ป.ช. ในวันที่ 1 ก.ค. เพื่อให้ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวต่อไป"นพ.ชลน่าน กล่าว


แจกโฉนด!‘พี่ศรี’ลุยร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ลากไส้‘บิ๊กป้อม-บิ๊กตร.’แหกตาจัดฉาก

27 มิถุนายน 2562 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 21 มิย.62 ที่ผ่านมาว่า มีหน่วยงานหนึ่งแก้ปัญหากู้ยืมเงินผิดกฎหมายด้วยการคิดดอกเบี้ยสูงและยึดโฉนดไว้เป็นประกัน มีการไล่จับนายทุนเงินกู้ และสร้างภาพว่า ยึดโฉนดได้คราวละมากๆ และสร้างภาพให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลเป็นประธานมอบโฉนดคืนให้ชาวบ้าน โดยมีหลายกรณีเป็นการสร้างภาพหลอกผู้ใหญ่ในรัฐบาล เพื่อสร้างภาพว่า เป็นการกู้ยืมจำนวนมากและยึดโฉนดไว้มาก จากนั้นสร้างภาพด้วยการเชิญนายมาเป็นประธานมอบโฉนดคืนให้ชาวบ้าน บางครั้งคนระดับรองนายกรัฐมนตรีได้รับเชิญไปเป็นประธานบ่อยๆ รองนายกฯ ก็โดนแหกตาไปด้วย นายตำรวจที่ทำเรื่องนี้ก็โตเอาโตเอา จนท้องแตกนั้น

กรณีดังกล่าว เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากในสังคมไทย ว่าเป็นการสร้างภาพแหกตาประชาชนจริงหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน หากเรื่องดังกล่าวที่คนระดับรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตรัฐมนตรีออกมาโพสต์ข้อความเป็นจริง ก็จะถือว่า เป็นความเลวร้ายที่สุดของระบบราชการไทยและการเมืองเลยทีเดียว ซึ่งข้าราชการอาจเข้าข่ายความผิดทางวินัย การทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายของ ป.ป.ช. และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษถึงขั้นจำคุกและไล่ออกจากราชการ ส่วนนักการเมืองก็อาจต้องรับโทษร่วมด้วยในฐานะเป็นตัวการร่วม หรือผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน ตามป.อ.มาตรา 83,84, 86 และ 87 และไม่ควรกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก

เหตุดังกล่าว สังคมไทยไม่ควรให้เรื่องเงียบหายไปหรือปล่อยให้ข้าราชการ-นักการเมืองจูบปากหรือเกี๊ยะเซียะกันแล้วจบกันไป ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของสังคมไทย ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมฯจึงจะนำความไปร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ 2560 ม.230(1)(2) ประกอบ ม.231(2) ประกอบ พรป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน 2560 ม.22(1)(2) ประกอบ ม.23(2) เพื่อดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงและหากพบว่ามีมูลจะได้เสนอเอาผิดข้าราชการ-นักการเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อ ป.ป.ช.ต่อไป โดยสมาคมฯจะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินในวันศุกร์ที่ 28 มิ.ย.62 เวลา 13.00 น.ณ ศูนย์ราชการฯ อาคาร B ห้อง 903 ต่อไป

สื่อญี่ปุ่นตีข่าว'นักลงทุนแดนมังกร'แห่เข้าไทย เหตุหนีสงครามการค้าจีน-สหรัฐ

26 มิ.ย.62 เว็บไซต์ นสพ. Asian Nekkei Review ของญี่ปุ่น เสนอรายงานพิเศษ "Thai industrial developers reap spoils of US-China trade war" เมื่อ 26 มิ.ย.62 ระบุว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ต่างฝ่ายต่างตั้งกำแพงภาษีเพื่อกีดกันการนำเข้าสินค้าของกันและกันนั้น อาจทำให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยเฉพาะไทยได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนจากจีน

อาทิ ในพื้นที่ จ.ระยอง ของประเทศไทย Holley Group บริษัทผลิตมิเตอร์ไฟฟ้าที่มีต้นกำเนิดในเมืองหังโจว (Hangzhou) ประเทศจีน ได้ตั้งโรงงาน ณ นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของกลุ่มอมตะ (Amata) ในชื่อ Holley Group Electric Thailand โดยมีแผนส่งออกผลิตภัณฑ์บางส่วนไปยังสหรัฐ แคนาดาและยุโรป เช่นเดียวกับ Zhongce Rubber Group Thailand ได้ตั้งโรงงานแปรรูปยางพาราเป็นยางมอเตอร์ไซค์ มีเป้าหมายส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐ ยุโรป รวมถึงประเทศในกลุ่มอาเซียน

ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ประเทศไทย ระบุว่า การลงทุนของจีนในไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 มีจำนวน 503 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 5.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าผลกระทบจากสงครามการค้าคือปัจจัยสำคัญ ขณะที่ วิบูลย์ กรมดิษฐ์ (Viboon Kromadit) ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการตลาดของนิคมอุตสาหกรรมอมตะ เปิดเผยว่า มีบริษัทจีนกว่า 100 แห่ง สนใจตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมการยนต์และส่วนประกอบ

รายงานของสื่อญี่ปุ่น กล่าวต่อไปว่า ณ ปี 2561 นิคมอุตสาหกรรมอมตะขายที่ดินไปแล้วเกือบ 1.7 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปี 2560 ในจำนวนนี้หลายแสนตารางเมตรขายให้กับนักลงทุนจีน อาทิ Zhenxiong Copper ผู้ผลิตลวด และ Delong ผู้ผลิตเหล็กกล้า แม้ทั้ง 2 บริษัทจะดำเนินการในไทยอยู่แล้ว แต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนยิ่งกระตุ้นให้ขยายกิจการในไทยเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐ

ทั้งนี้ ร้อยละ 36.5 ของบริษัทในนิคมอมตะซิตี้ จ.ระยอง เป็นบริษัทสัญชาติจีน มากกว่าบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมอมตะมายาวนาน ราคาที่ดินในนิคมเพิ่มสูงขึ้นจากตารางเมตรละ 5,300 บาทเป็น 6,900 บาท อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีแต่นิคมอุตสาหกรรมอมตะเท่านั้นทีได้ประโยชน์จากการหลั่งไหลเข้ามาของทุนจีน ยังมี WHA (WHA Industrial Development) ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมอีกรายหนึ่งที่ได้เช่นกัน

จรีพร จารุกรสกุล (Jareeporn Jarukornsakul) ซีอีโอของ WHA เปิดเผยว่า ในปี 2561 สามารถขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม WHA ได้ถึง 1.6 ล้านตารางเมตร ในจำนวนนี้ร้อยละ 40 เป็นบริษัทสัญชาติจีน และเชื่อว่าหลังจากนี้จะมีนักลงทุนจีนเข้ามาเพิ่มอีก อาทิ Hong Kong-listed Prinx Chengshan Shandong Tire เริ่มก่อสร้างโรงงานที่ จ.ชลบุรี ตั้งเป้าหมายระยะแรกด้วยเงินลงทุน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อผลิตยางรถยนต์ให้ได้สำหรับรถยนต์ 4 ล้านคัน และสำหรับรถบรรทุกอีก 8 แสนคันต่อปี ตั้งแต่กลางปี 2563 เป็นต้นไป

รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า การแห่ย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนจากจีนเพื่อหนีสงครามการค้าเข้ามายังประเทศไทย ทำให้ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (Somkid Jatusripitak) รองนายกรัฐมนตรีของไทย ตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาเพื่อดึงดูดทุนจากจีนอย่างจริงจัง