ข่าว
ตะลึง จีนแห่ซื้อทุเรียนไทยถล่มทลาย 8 หมื่นลูกนาทีเดียว ผ่านเว็บอาลีบาบ

เมื่อ 20 เม.ย.61 เว็บไซต์ Xinhuanet รายงานว่า บริษัทอาลีบาบา กรุ๊ป ของแจ็ค หม่า สร้างความตะลึงงันให้กับคนไทย สามารถขายทุเรียน ผลไม้เลื่องชื่อที่เป็นที่โปรดปรานของชาวจีน จำนวนมหาศาล 80,000 ลูก ผ่านทางเว็บไซต์ Tmall.com ภายในเวลาแค่ 1 นาทีเท่านั้น หลังจากแจ็ค หม่า ประธานกรรมการบริหาร (ซีอีโอ) ของอาลีบาบา กรุ๊ป ได้เดินทางมาประเทศไทยและเข้าพบหารือกับนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยตกลงจะให้ความช่วยเหลือในการสร้างศูนย์ Digital Hub ในประเทศไทย

เว็บไซต์ Xinhuanet แจ้งด้วยว่า บริษัทอาลีบาบา กรุ๊ป ได้ลงนามในข้อตกลงเป็นตัวแทนจำหน่ายทุเรียนพันธ์ุหมอนทองกับรัฐบาลไทย มูลค่า 428 ล้านดอลลาร์ โดยทุเรียนพันธุ์หมอนทอง ซึ่งถือเป็นทุเรียนของไทย พันธุ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดที่ถูกส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ ได้ขายผ่านทางเว็บไซต์ Tmall เมื่อวันพุธที่ 18 เม.ย. ก่อนที่แจ็ค หม่า ซีอีโอของอาลีบาบาจะลงนามในบันทึกความเข้าใจกับรัฐบาลไทยในด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ผ่านทาง e-commerce

ทั้งนี้ เมื่อ 19 เม.ย. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ของไทย ได้จับมือกับอาลีบาบา เปิดตัว ThaiRice Flagship Store บนเว็บไซต์ Tmall.com ภายใต้บริษัทอาลีบาบา กรุ๊ป ซึ่งเป็นเว็บไซต์ค้าปลีก (B2C) ที่ใหญ่ที่สุดในจีน และเข้าถึงผู้บริโภคกว่า 1,400 ล้านคนทั่วประเทศ โดยทางกระทรวงพาณิชย์ของไทย นอกจากจะร่วมมือนำร่องผลักดันข้าวไทยเข้าถึงตลาด e-commerce ในจีนอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ยังได้เปิดตัวแคมเปญส่งเสริมการขายทุเรียน ‘หมอนทอง’ ผ่านทางเว็บไซต์ Tmall.com ด้วย.

บิ๊กตู่ชมนักการเมือง เป็นคนดีไม่ได้รังเกียจ

20 เม.ย.61 เมื่อเวลา 20.15 น.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ตอนหนึ่งว่า ตนขอย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้รังเกียจอะไรนักการเมือง หรือพรรคการเมือง เพราะส่วนใหญ่เป็นคนดี แต่ตนไม่อาจยอมรับผู้ที่ทำผิดกฎหมาย ผู้ที่ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม หรือผู้ที่ต่อต้านอำนาจรัฐ

นายกฯ กล่าวว่า ตนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกคนที่มีอุดมการณ์รักชาติ และทำเพื่อความสุขของประชาชน ตนมองว่าปัญหาไม่ได้หมายถึงความขัดแย้ง แต่ปัญหาคือจุดเริ่มต้นของความสามัคคี เพราะคนที่มีอุดมการณ์เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ด้วยกัน เมื่อได้ร่วมงานกัน ก็ย่อมจะยอมสละผลประโยชน์ส่วนตัวได้แล้วก็ร่วมกันแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเพื่อชาติบ้านเมือง โดยยึดมั่นในอุดมการณ์ดังกล่าว

"ไม่อยากให้ฟังการวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง จากบางกลุ่ม บางฝ่าย ที่อาจจะไม่หวังดี แล้วก็มองเป็นเรื่องของการเมืองไปเสียทั้งหมด งบประมาณที่ลงไป ที่เพิ่มลงไปกลางปีนี้ก็ไปเสริมต่อโครงการต่างๆ ที่มีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน การพัฒนาการเกษตร การเพิ่มอาชีพรายได้ สร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน รวมความถึงใช้ไปดูแลในส่วนของผู้ถือบัตร ผู้มีรายได้น้อยเข้าไปด้วยเพราะฉะนั้นวงเงินก็มากหน่อย" นายกฯ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดก็เป็นการสานต่อทั้งหมดที่เราทำมาแล้วระยะที่ 1 ก็ไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องของการเมือง เอางบประมาณไปหาเสียง จะหาเสียงได้อย่างไร ในเมื่อตนไม่ได้ไปให้กับใครสักคน แต่ให้เป็นกลุ่ม ให้เป็นหน่วย ให้เป็นพื้นที่ ให้เป็นหมู่บ้าน ตนให้กับใครล่ะ กลุ่มไหนที่จะมาสนับสนุนตนหรือไง ก็คงไม่ใช่ละมั้ง ก็ช่วยกันคิดตามนี้แล้วกันถูกผิดก็ไปว่ากันมา


“เสี่ยป้อม”เยือนมะกัน 21-27 เม.ย. กระชับสัมพันธ์ความร่วมมือทางทหาร

วันนี้ (19 เม.ย.) พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม (กห.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมคณะ มีกำหนดการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา อย่างเป็นทางการ ระหว่าง 21-27 เม.ย. 2561 ตามคำเชิญของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหาร รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกัน

โดยมีกำหนดการพบหารือกับผู้แทนระดับสูงของสหรัฐอเมริกา พล.อ.เจมส์ แมตทิส (James Mathis) รมว.กระทรวงกลาโหม (Department of Defense) เพื่อกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือทางทหาร ความร่วมมือยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศระหว่างกัน และเข้าพบหารือกับ น.ส.แคลร์ เอ็ม. แกรดี (Claire M. Grady) รมช.กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Department of Homeland Security) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงในมิติอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการทหาร

ทั้งนี้ การเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา ทวิภาคีอย่างเป็นทางการของ รมว.กลาโหมและคณะ ได้ว่างเว้นมาหลายสิบปีแล้ว การเดินทางเยือนสหรัฐฯ ทวิภาคีอย่างเป็นทางการของ รมว.กลาโหมและคณะในครั้งนี้จึงถือเป็นการยืนยันความสัมพันธ์อันแนบแน่น และความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่มีมาต่อเนื่องยาวนาน รวมทั้งเป็นการเสริมและสานต่อความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงในมิติต่างๆ หลังการเดินทางเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกฯ ที่ผ่านมา


ขายที่ดิน 'สุวรรณภูมิ' ชดใช้คดีทุจริตกรุงไทย

วันที่ 20 เมษายน น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า กรมบังคับคดี เตรียมดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินจากคดีทุจริตการปล่อยเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กลุ่มกฤษฎามหานคร หรือ บริษัทเอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) โดยวันที่ 6 มิถุนายนนี้ จะเปิดขายทอดตลาด ที่ดินแปลงใหญ่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ เนื้อที่ 4,340 ไร่ ราคาประเมิน 8,900 ล้านบาท ซึ่งฝ่ายโจทก์ คือ ธนาคารกรุงไทย แถลงขอขายรวมที่ดินทุกแปลงรวม 215 แปลง จากจำนวน 3 คดี ในการขายครั้งเดียว เนื่องจากเป็นที่ดินที่มีพื้นที่ต่อเนื่องกัน

นอกจากนี้ ยังได้ติดตามความคืบหน้าการขายทอดตลาดที่ดิน ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นที่ถือครองอยู่ในชื่อ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ซึ่งที่ผ่านมา กรมบังคับคดี ได้ขายทอดตลาดที่ดินไปแล้ว 2 ครั้ง ในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ มูลค่า 107 ล้านบาท และ จ.กาญจนบุรี มูลค่า 267 ล้านบาท และพบอีกว่า ยังมีที่ดินที่อยู่ในการถือครองในชื่อของ นายศุภชัย อีกหลายจังหวัด เช่น เชียงราย อุทัยธานี นครนายก และจังหวัดอื่นๆ มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานขอข้อมูลจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ ติดตามทรัพย์และดึงเงินเข้ามาสู่การฟื้นฟูกิจการ เพื่อจ่ายค่าชำระหนี้คืนให้กับเจ้าหนี้กว่า 13,000 ราย โดยมีกำหนดรอบหน้าในวันที่ 6 มิถุนายน

สำหรับเจ้าหนี้ของ สหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ตามแผนฟื้นฟูกิจการ จะได้รับการทยอยชำระหนี้ในระยะเวลา 26 ปีในกรณีที่เจ้าหนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและอาจเสียชีวิตก่อนที่จะครบกำหนดชำระหนี้ กรมบังคับคดีจะจ่ายคืนให้กับทา ยาท ในส่วนของสมาชิกสหกรณ์และผู้ถือหุ้นในทางกฎหมายถือเป็นหุ้นส่วนธุรกิจจะได้รับเงินคืนเมื่อการบริหารสหกรณ์มีกำไร

ด้าน นางเพ็ญรวี มาแสง ผอ.สำนักกิจการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ กล่าวว่า ในวันที่ 30 เมษายน จะมีการประชุมแผนฟื้นฟูกิจการของ บริษัทเอิร์ธ จำกัดหรือ เอิร์ธ (EARTH) จำกัด (มหาชน) โดยกรมฯได้ขอประสานใช้สถานที่สโมสรตำรวจวิภาวดีเพื่อรองรับเจ้าหนี้ 2,433 ราย มูลค่าหนี้ 145,000 ล้านบาท ล่าสุดได้รับการติดต่อจากเจ้าหนี้ว่าจะมาร่วมประชุมจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ 1,500 ราย


ชัดๆ จาก “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” LH ไม่ได้ไปต่อ “สวนชูวิทย์”

ย้อนไปเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2561 ระหว่างงานแถลงข่าวผลการดำเนินงานและแผนธุรกิจในปี 2561 ประธานกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ หรือ LH “นพร สุนทรจิตต์เจริญ” ได้ประกาศ(จะ)เช่าที่ดินสวนชูวิทย์ บริเวณสุขุมวิทซอย 10 เนื้อที่ 6 ไร่ จาก “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” เป็นเวลา 30 ปี และต่ออีก 4 ปี กำหนดเซ็นสัญญากันในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 นำมาทำโครงการมิกซ์ยูส เฉกเช่นเทอร์มินัล 21 อโศก ครอบคลุมทั้งอาคารสำนักงาน พื้นที่เช่า 20,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) โรงแรม 400 ห้อง และพื้นที่ค้าปลีกอีก 3,000 ตร.ม. ใช้งบลงทุนอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในช่วงต้นปี 2562 และคาดว่าใช้ระยะเวลาราว 3 ปีจะสามารถเปิดให้บริการได้ จากนั้นก็มีแผนจะนำเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT เป็นลำดับต่อไป

คล้อยหลังไม่นานที่ผู้บริหาร LH ออกมาพูดว่าจะเช่าที่ดินสวนชูวิทย์ ก็มีกระแสข่าวออกมาหลากหลาย บ้างก็ว่าดีลนี้ไม่จบง่ายๆ มีดีเวลลอปเปอร์เจ้าอื่นสนใจให้ราคาดีกว่า LH … หรือบางกระแสข่าวก็บอกว่า “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ไม่แฮปปี้ที่มีข่าวปรากฏบนสื่อต่างๆ ออกมาก่อนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำสัญญากัน

กระทั่งล่าสุดผู้บริหาร LH “นพร สุนทรจิตต์เจริญ” ยอมรับกับทีมงาน prop2morrow.com ว่า ทั้ง LH และเจ้าของที่ดินคือคุณชูวิทย์ ยังไม่ได้เซ็นสัญญาหรือทำอะไรกันทั้งสิ้น โดยไม่ได้บอกว่าเพราะเหตุใดถึงยังไม่เซ็นสัญญากันตามกำหนด

การออกมายอมรับของผู้บริหาร LH นั้นสอดคล้องกับ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ที่กล่าวกับทีมงาน prop2morrow.com ว่าเคยได้มีการกินข้าวและพูดคุยถึงเรื่องการเช่าที่ดินสวนชูวิทย์ กับ “อนันต์ อัศวโภคิน” และ “นพร สุนทรจิตต์เจริญ” จริง ครั้งถึงสองครั้ง แต่เป็นการพูดคุยกันในเบื้องต้น ยังไม่มีการตกลงในรายละเอียดอะไรใดๆ ทั้งสิ้น “ผมยังไม่ได้ให้ใครเช่า” นายชูวิทย์กล่าว

“แม่ผมกับคุณแม่ของคุณอนันต์เป็นเพื่อนกัน อดีตเคยไปซื้อที่ดินด้วยกัน” นั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ “ชูวิทย์” บอกว่าเป็นที่มาที่ไปของการได้รู้จักกันพูดคุยกันและกันระหว่างตัวเขาและ “อนันต์”

พร้อมกันนี้ “ชูวิทย์” ยังกล่าวย้ำด้วยว่า “ทำไมผู้บริหารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ออกมาพูดก่อนว่าได้สวนชูวิทย์ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เซ็นสัญญาอะไรกับผมเลย” อย่างไรก็ตาม “ชูวิทย์” ยอมรับว่ามีผู้ประกอบการ 2-3 รายซึ่งก็เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และอยู่นอกตลาดหลักทรัพย์แต่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ติดต่อหรือสนใจเช่าที่ดินสวนชูวิทย์

สำหรับเงื่อนไขการเช่า “ชูวิทย์” บอกว่า “ซิมเปิล” มากๆ เช่ายาว 30 ปี + 3 ปี (ระยะเวลาก่อสร้าง) ราคาที่คิด 60% ของราคาตลาด ด้วยการเทียบเคียงกับราคาที่ดินที่มีการซื้อขายกันบริเวณสุขุมวิทซอย 6 เนื้อที่ 4 ไร่ ใกล้กับโรงแรมแลนด์มาร์ค ที่บริษัท นันทวัน จำกัด หรือ Thai Obayashi ซื้อไปในราคา 2.6 ล้านบาทต่อตารางวา (ตร.ว.) หรือประมาณ 4,600 ล้านบาท

“คุณอนันต์ต่อผม 2.2 ล้านบาทต่อวา ขอลด ทำไมที่ดินมันมีแต่ขึ้น ที่ดินเป็นแมตทีเรียลที่ไม่มีผลิตเพิ่ม มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น”

“ชูวิทย์” ยังเปรียบการทำธุรกิจร่วมกันเหมือนคนที่แต่งงานกัน ก็ต้องมีความจริงใจต่อกัน นอกเหนือจากที่ดิน 6 ไร่ บริเวณสุขุมวิทซอย 10 แล้วยังมีที่ดินอีก 2 แปลงที่พร้อมพัฒนา คือ ย่านศรีนครินทร์ เนื้อที่ 4-5 ไร่ ติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีด่าน และที่ดิน 7 ไร่ บริเวณสุขุมวิท 24 (ใกล้โรงแรมเดวิส) พร้อมใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร 3 ใบที่ขอก่อสร้างเป็นคอนโดมิเนียมที่ยังไม่หมดอายุเป็นโครงการที่สร้างเมื่อ 15 ปีก่อน บริษัท ปาล์มเมอร์ แอนด์ เทอร์เนอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ออกแบบโครงการ แต่ก็ได้หยุดการพัฒนาไปเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี หากมีผู้สนใจที่จะเช่าหรือร่วมทุนกันเขาก็พร้อมที่จะเปิดกว้าง โดยที่ผ่านมามีผู้ประกอบการอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯเคยเข้ามาเจรจาแต่ก็ติดขัดเรื่องเงื่อนไขการจ่ายเงินจึงต้องยุติการเจรจากัน

“ที่ดินทุกแปลงที่ผมมีอยู่ ไม่มีนโยบายขาย โฉนดผมเก็บที่บ้าน ไม่ได้เก็บที่แบงก์ ดังนั้น ผมไม่เป็นหนี้ใคร ผมให้เช่า ถ้าใครสนใจผมยินดีมาคุยกัน” นายชูวิทย์กล่าวทิ้งท้าย

ความเห็นใจ จุดเริ่มความรัก สาวสวยกับหนุ่มหน้าผิดรูป

กรณีเรื่องราวความรัก ของ นายบุญมี ขันทอง อายุ 37 ปี หรือ นายมีมี่ ชาว จ.สุรินทร์ ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาผิดรูป กับ น.ส.ภัสสรา อบนาค อายุ 23 ปี หรือน้องบี สาวสวยประจำหมู่บ้าน ที่เข้าพิธีผูกข้อไม้ข้อมือแล้วอยู่ด้วยกันด้วยความรัก แม้ไร้สินสอดทองหมั้น ทำให้คนโสดในหมู่บ้าน รวมทั้งชาวเน็ตอิจฉา

วันที่ 20 เมษายน ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปที่ร้านขายส้มตำและผัดไทย ซึ่งตั้งอยู่ซอยร่วมใจ เขตเทศบาลเมืองคอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความรักระหว่าง น้องบี กับนายมีมี่ พบว่าร้านยังคงปิดให้บริการ เนื่องจากพี่สาวของนายมีมี่ ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน ติดทำธุระ แต่ได้พบกับ นางสาวปวีณา พูลสำราณ อายุ 20 ปี ซึ่งเป็นลูกสาวเจ้าของร้าน และเป็นหลานของ นายมีมี่ พร้อมเปิดเผยถึงจุดเริ่มต้นความรักของน้องบีและนายมีมี่ ว่า ทั้งคู่ทำงานอยู่ที่ร้านด้วยกันโดย นายมีมี่ ได้เดินทางมาจาก จ.สุรินทร์ เมื่อช่วงก่อนปีใหม่ ทีแรกน้องบีก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะชอบพอกับ นายมีมี่ เนื่องจากมีสามีอยู่แล้ว แต่ระยะหลังน้องบี เริ่มมีปัญหากับสามี และบางครั้งก็ต้องพาลูกมานอนค้างคืนที่หอพักของร้าน ซึ่งนอนห้องเดียวกันกับพวกตน ที่เป็นผู้หญิง มีบางวันที่น้องบี เดินร้องไห้มาที่ร้าน เพราะทะเลาะกับสามี นายมีมี่ ก็จะเข้าไปพูดคุย ปลอบใจ และช่วยหาข้าวหาน้ำให้น้องบีและลูกสาวกิน ซึ่งน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน

แต่เมื่อทั้งคู่เริ่มมีใจให้กันทุกคนก็เป็นห่วง เพราะน้องบีมีสามีอยู่แล้ว จึงได้แยกให้ทั้งคู่ห่างกัน โดยส่ง นายมีมี่ กลับบ้าน แต่สุดท้ายด้วยความผูกพัน และความรัก ความสงสารที่ทั้งคู่มีให้กันประกอบกับต้องการแยกทางกับสามีเก่า น้องบีจึงตัดสินใจพาลูกตามขึ้นไปอยู่กับนายมีมี่ ที่ จ.สุรินทร์ จนเป็นที่มาของเรื่องราวความรักดราม่า ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

นางสาวปวีณา บอกว่า ในส่วนของอดีตสามีน้องบี พักหลังทะเลาะกับน้องบีบ่อยมาก และเคยเห็นน้องบีถูกสามีบีบคอ ตบหน้า ขณะนั่งทานก๋วยเตี๋ยวอยู่ด้วยกัน ซึ่งมีคนเห็นกันทั้งร้าน ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากความหึงหวง โดยพบว่าจะโทรตามน้องบีตลอด ไม่ว่าน้องบีจะไปไหน ซึ่งน่าจะเป็นจุดแตกหัก ที่น้องบีทนไม่ไหว ต้องหนีออกจากบ้านไปเริ่มต้นชีวิตใหม่

ส่วนกรณีที่อดีตสามีของน้องบี ออกมาบอกว่า นายมีมี่ ติดเหล้าอย่างหนักนั้น ไม่เป็นความจริง แต่มีกินเหล้าบ้าง ในช่วงหลังเลิกงาน ไม่ได้กินเหล้าแทนน้ำตามที่ถูกกล่าวหา อีกทั้งนายมีมี่ ก็เป็นคนขยันมาก.