ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า อิวานกา ทรัมป์ บุตรสาวคนโตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะกลายเป็นลูกจ้างของรัฐบาลอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับบทบาทของอีวานกาที่ให้คำปรึกษาแนะนำกับผู้เป็นบิดาในฐานะอาสาสมัครซึ่งไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรฐานด้านจริยธรรมเช่นเดียวกับลูกจ้างของรัฐ
อิวานกาออกแถลงการณ์ระบุว่า เธอได้รับทราบถึงข้อห่วงกังวลในเรื่องดังกล่าวและตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ในฐานะลูกจ้างของทำเนียบขาวซึ่งไม่ได้รับเงินเดือนตอบแทนแต่จะมีพันธะกรณีผูกพันภายใต้กฎระเบียบเช่นเดียวกับลูกจ้างของรัฐบาลกลางคนอื่นๆ ทั้งนี้ภายใต้กระบวนการดังกล่าวเธอยืนยันที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดและด้วยความตั้งใจดีกับทีมที่ปรึกษาของทำเนียบขาวรวมถึงทีมงานส่วนตัวเพื่อจัดการกับบทบาทหน้าที่ของเธอซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทั้งนี้หลังกระบวนการเสร็จสิ้นอีวานกาจะกลายเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของประธานาธิบดีทรัมป์เช่นเดียวกับจาเร็ด คุชเนอร์ ผู้เป็นสามี โดยบุคคลทั้งสองต่างเป็นลูกจ้างที่จะไม่รับเงินเดือนเช่นกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในเรื่องการละเมิดกฏหมายการเล่นพรรคเล่นพวก ซึ่งห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐแต่งตั้งหรือสนับสนุนให้ผู้เป็นญาติเข้ารับตำแหน่ง เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวระบุว่าผู้ที่ฝ่าฝืนข้อห้ามจะไม่ได้รับเงินเดือนจากรัฐบาลกลาง ซึ่งถือเป็นช่องว่างให้อีวานกาและสามีสามารถทำงานในฐานะที่ปรึกษาซึ่งไม่ได้รับเงินตอบแทนของประธานาธิบดีทรัมป์ได้
วันนี้ (29 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีต ส.ส.พรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก กรณี นายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ สายตรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตบริเวณ ถ.สุขุมวิท เมื่อปี 2555 ระบุว่า กฎหมาย ใช้ไม่ได้กับคนรวย? ความว่า เรื่องเกิดเมื่อปี 2555 นายบอส หรือ นายวรยุทธ อยู่วิทยา ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “กระทิงแดง” ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ สายตรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตบริเวณ ถ.สุขุมวิท
นายบอสยังลากร่างตำรวจคนนี้ต่อไปอีกเป็นระยะทางกว่า 100 เมตร แล้วขับเข้าบ้านโดยทิ้งร่างไว้ข้างถนน เมื่อเกิดเหตุมีการสลับตัวผู้ต้องหาโดยใช้พ่อบ้านออกรับแทน ต่อมามีการสืบสวน นายบอสยอมรับว่าเป็นคนขับเอง ตำรวจได้ตรวจแอลกอฮอลล์ ผลเกินกำหนด แต่อ้างว่าดื่มหลังจากขับรถชน เพราะมีความกดดัน คดีแค่ขับรถชนคนโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่นายบอสเมื่อได้ประกันตัวในชั้นสอบสวนก็บินออกนอกประเทศใช้ชีวิตอย่างหรูหรา เดินทางไปรอบโลก เพราะความรวยของครอบครัวอยู่ในระดับมากกว่าแสนล้าน เป็นอันดับต้นๆของประเทศ จึงบันดาลให้นายบอสไม่สนใจกฎหมายของประเทศไทย
นายบอสไม่เคยหวนกลับมาประเทศไทยอีก คดีมีความคืบหน้าล่าช้าผิดปกติ จวบจนปัจจุบันใช้เวลาเกือบ 5 ปี อัยการยังไม่ได้สั่งฟ้อง ผมอยากตั้งคำถามกับสังคมว่า กฎหมายใช้กับคนทุกคนหรือไม่? หรือยกเว้นให้กับนายบอสเพราะนามสกุล “อยู่วิทยา” นี่หากนามสกุล “วิทยาอยู่” เรื่องคงเสร็จสิ้น ตำรวจสรุปสำนวน อัยการสั่งฟ้อง ป่านนี้ติดคุกจนออกมาแล้ว เพราะแม้ว่าคดีนี้จะมีอัตราโทษถึง 10 ปี แต่เมื่อเป็นการกระทำโดยประมาท เวลามีอภัยโทษก็จะได้ลดถึง 2 ใน 3 ยิ่งหากมีการเยียวยา ไม่หนี ไม่หลบเลี่ยงคดี เรื่องคงจบไปเสียนานแล้ว ศาลอาจจะให้ความเมตตารอลงอาญาได้อีก เนื่องจากแสดงความรับผิดชอบ กฎหมายเป็นกติกาของสังคมที่ทุกคนมีพันธะร่วมกันในการเคารพและเชื่อฟัง คดีนี้แสดงถึงความยุติธรรมที่ไม่ได้ใช้อย่างเท่าเทียมเสมอภาค จวบจนปัจจุบันอัยการก็ยังรีรอ
เทคนิคคือสั่งให้ตำรวจสอบเพิ่ม ทั้งๆที่คดีนี้ไม่มีความสลับซับซ้อนแต่อย่างใด ถ้ากฎหมายถูกใช้ไม่เท่าเทียมกัน เราจะมีกฎหมายเอาไว้เพื่ออะไร?
29 มี.ค.60 จากกรณีที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่ห้องพิจารณา 708 ศาลอาญา คดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.รัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตต่อหน้าที่ หมายเลขดำ อท.14/58 ที่ พนักงานอัยการคดีพิเศษ 3 เป็นโจทก์ฟ้องนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อายุ 70 ปี อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ น.ส.จิตตโสภา ศิริวรรณ อายุ 43 ปี บุตรสาว ร่วมกันเป็นจำเลยฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 , 11 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 25 ก.ย.2545 - 20 ต.ค.2549 จำเลยที่ 1 เรียกรับเงินจากนายเจอรัลด์ กรีน และนางแพทริเซีย กรีน 2 สามีนักธุรกิจชาวอเมริกัน โดยนางจุฑามาศ แนะนำให้สามีภรรยาชาวอเมริกัน จัดตั้งบริษัท หลายๆบริษัทเพื่อเข้าทำสัญญาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพปี 2546 และ ททท.โดยจำเลยได้เรียกรับเงินจำนวน 52,800 เหรียญสหรัฐ เพื่อแลกกับการให้บริษัทของสามีภรรยาได้ทำสัญญาจ้าง และช่วงจ้างการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ฯ โดยบุตรสาวจำเลยที่ 1 เป็นผู้ช่วยเหลือสนับสนุนโดยการเปิดบัญชีธนาคาร HSBCPCL ประเทศอังกฤษ ธนาคาร HSBC INTERNATION Limited ไอยล์ ออฟ เจอร์ซีย์ ธนาคารซิตี้แบงก์ และธนาคารแสตนดาร์ด ชาร์เตอร์ ประเทศสิงคโปร์ เพื่อโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารจำเลยโดยทุจริต
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีและได้รับการประกันตัว
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้ง 2 ฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่าพยานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ จึงพิพากษาจำคุก นางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 รวม 50 ปี ส่วน น.ส.จิตตโสภา บุตรสาว จำเลยที่ 2 จำคุกรวม 44 ปี ริบทรัพย์สินจำนวน 62 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ทั้งสองมาฟังคำพิพากษา โดยศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานร่วม 3 ชั่วโมง ขณะที่ นายธนกร แหวกวารี ทนายความ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เดิมเป็นเงินสด คนละ 1 ล้านบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราว นางจุฑามาศ และ น.ส.จิตติโสภา บุตรสาว ระหว่างอุทธรณ์คดี โดยขณะนี้อยู่ระหว่างศาลพิจารณาว่าจะให้ประกันหรือไม่
ล่าสุด นายนิกร ทัสสโร รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กล่าวถึงเรื่องปล่อยชั่วคราวว่า ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องร้ายแรง คดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าหากปล่อยชั่วคราวจำเลยจะหลบหนี จึงเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาสั่งประกันต่อไป
ท่าจะเป็นเทปหนังม้วนยาวไปอีกสำหรับกรณีหนุ่มที่ออกตัวอ้างว่าจริงๆแล้ว เพลง "ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน" นั้นเป็นเพลงที่ตนเองแต่งขึ้น ไม่ใช่เพลงที่ก้องแต่งขึ้นเองแต่อย่างใด แต่ก้องนั้นได้หยิบฉวยมาจากบ้านของเขา
ล่าสุดแนวหน้าออนไลน์ก็ได้ติดต่อเพื่อที่จะสัมภาษณ์ถึงประเด็นที่แท้จริง คุณพัฒนะ ลีลา ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับแนวหน้าออนไลน์ว่า
"เริ่มต้นจากการแต่งเพลงเลยนะครับเพลงนี้มีผมได้แรงบันดาลใจจาก น้องชายผม เขาคุยโทรศัพท์กับแฟนเขาแล้วแฟนเขาบอกเลิก น้องผมเขาก็พูดขึ้นว่า “ไสโตว่าสิบ่ถิ่มเฮา” หมายถึง (ไหนว่าเธอจะไม่ทิ้งเรา) ผมก็บอกน้องผมว่า ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน ก็เลยได้คำพูดนี้มาเป็นชื่อเพลง “ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน ” ผมก็มาแต่งแกะออกมาเป็นคำร้องพร้อมทำนองคอร์ดกีต้าร์ ในกระดาษสมุด 1 ใบ จากนั้นก็พับใส่กระเป๋ากางเกงกลับมาบ้าน"
"จุดเปลี่ยนคือ พอนำเนื้อเพลงกลับมาถึงบ้านแล้วได้นำไปเหน็บไว้ที่เสาหน้าบ้าน คือบ้านผมขายข้าวแกงอยู่ข้างถนนมีคนมาใช้บริการอยู่เป็นประจำ ซึ่งวันนั้นจำได้ว่าเป็นก้องที่มากินข้าวกับน้าของเขา พอกินเสร็จแล้วเขาก็หยิบกระดาษที่ผมเหน็บไว้ที่หน้าบ้านมาอ่าน พอดูสักพัก แล้วเขาก็ยัดใส่กระเป๋ากางเกงเดินออกจากร้านไป และก่อนที่เขาจะขึ้นรถยังเดินกระเด้งเด้าใส่ผมอีก ยังจำได้เลย"
"ช่วงนั้นเป็นช่วงเดือน ก.พ. 2552 จนเวลาผ่านไป 6 ปี ก็ได้ยินเพลงนี้ ผมพยายามติดต่อเขาแต่ติดต่อไม่ได้ "
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการช่วยเหลือนางสาวระภีภรณ์ นาสะอ้าน หรือน้องมิน ที่เกิดอาการช็อกหมดสติ และเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลประเทศเกาหลี ว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ได้ให้การช่วยเหลือ และสนับสนุนประสานงานด้านการเดินทางกับครอบครัวน้องมินมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาการของน้องมินในขณะนี้เริ่มหายใจได้เองแล้ว และอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ส่วนที่มีรายงานว่ามีนักธุรกิจเกาหลีให้การช่วยเหลือในการสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลก่อนนั้น น.ส.บุษฎีกล่าวว่า ได้ทราบว่าเป็นผู้จัดการโรงแรมที่น้องมินพักอยู่ และจากกรณีดังกล่าวนี้ ครอบครัวน้องมินสามารถทำสัญญากู้เงินจากกองทุนคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซลได้ นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยยังให้การสนับสนุนเงินช่วยเหลืออีกด้วย ขณะที่สถานทูตยังได้รับรายงานว่า บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมสนับสนุนการเดินทางหากจะมีการเคลื่อนย้ายน้องมินกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่ที่การพิจารณาของแพทย์ และทางโรงพยาบาลราชวิถีพร้อมรับดูแลรักษาอาการต่อไป
อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศแนะนำคนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศควรซื้อประกันการเดินทางไว้ด้วย เพื่อป้องกันหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ในที่สุด บ๊อบ ดีแลน นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดังซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะนักแต่งเพลงคนแรกที่ถูกคัดเลือกให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม และยังสร้างชื่อเสียไปทั่วโลกเมื่อเขาทำท่าเพิกเฉยต่อรางวัลอันทรงเกียรติที่ได้รับดังกล่าวก็พร้อมที่จะเดินทางมารับใบประกาศนียบัตรรวมทั้งเหรียญรางวัลที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดนแล้ว
การเดินทางมารับรางวัลครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการประกาศให้ดีแลนได้รับรางวัลอันทรงเกียรติดังกล่าวนานถึง 5 เดือน โดยเบื้องต้นสถาบันราชบัณฑิตแห่งชาติของสวีเดนซึ่งเป็นผู้คัดเลือกผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมระบุว่าไม่สามารถที่จะติดต่อดีแลนได้หลังประกาศชื่อว่าเขาเป็นผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ดีแลนยังไม่มาปรากฏตัวในพิธีเฉลิมฉลองรางวัลซึ่งจัดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว ส่วนการเดินทางมารับรางวัลครั้งนี้เกิดขึ้นได้เนื่องจากเขาจะเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตในสวีเดน
เลขานุการสถาบันราชบัณฑิตของสวีเดนระบุว่า สถาบันจะมอบรางวัลให้ดีแลนในพิธีเล็กๆ ที่จัดขึ้นโดยปราศจากการเปิดให้สื่อมวลชนเข้าร่วม และจะไม่มีการจัดการบรรยายหรือที่เรียกกันว่าโนเบลเล็กเชอร์ขึ้น แต่สถาบันเชื่อว่าดีแลนจะส่งเทปวิดีโอคำบรรยายตามมาเพราะถือเป็นส่วนสำคัญ เนื่องจากหากไม่มีการบรรยายเกิดขึ้นดีแลนจะไม่สามารถรับเงินรางวัลได้ อย่างไรก็ดีนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ชนะรางวัลโนเบลไม่ได้กล่าวบรรยายด้วยตนเอง แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2556
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012