ข่าว
นายพลแดนอิเหนาโต้หรูแค่ใส่นาฬิกาปลอม

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตาประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ว่าตามที่เว็บไซต์ในสิงคโปร์ได้ตีพิมพ์ภาพของนายทหารระดับสูงของกองทัพอินโดนีเซียสวมนาฬิการาคาแพงเป็นยี่ห้อ ริชาร์ด มิลล์รุ่นฟิลิปเป้ แมสซา คอลเลคชั่นราคากว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 3.2 ล้านบาทรายงานข่าวนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในประเทศอินโดนีเซียซึ่งรายได้เฉลี่ยของประชาชนอยู่ที่วันละ 8.50 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 272 บาท

เรื่องนี้บุคคลผู้ตกเป็นข่าวคือพล.อ.โมลโดโกผู้บัญชาการทหารบกกล่าวว่านาฬิกาที่เขาสวมใส่นั้นเป็นของปลอม ผลิตในประเทศจีนซื้อมาในราคาเพียง 5 ล้านรูเปียห์ (430 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 13,760 บาท) เขายังได้ถอนนาฬิกาให้ผู้สื่อข่าวดูระหว่างมาทำข่าวการประชุมหารือระหว่างนายทหารของกองทัพอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์และยังขว้างนาฬิกาลงพื้นให้ผู้สื่อข่าวดูโดยบอกว่า ถ้าเป็นนาฬิกาของจริงคงไม่กล้าทำเช่นนี้หรอก

ทางริชาร์ดมิลล์ ยังไม่ได้แสดงความเห็นอะไรในเรื่องนี้แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้มีการวิตกกังวลเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศอินโดนีเซียเลย

เว็บไซต์ในสิงคโปร์ mothership.sg ยังแพร่ภาพ พล.อ.โมลโดโกสวมนาฬิกาหรูยี่ห้ออื่นด้วย

พล.อ.โมลโดโกขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเมื่อเดือนส.ค.ปีที่แล้วรายงานแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันทุจริตมิชอบเมื่อปีที่แล้วว่ามีรายได้ 3,600 ล้านรูเปียห์(ราว 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 96ล้านบาท)

เมื่อ"เมืองหรูจีน"กลายเป็น"เมืองผี" เกลื่อนด้วยด้วยคฤหาสน์ แต่ไร้ผู้อาศัยแม้แต่คนเดียว

ท่ามกลางการชื่นชมเยินยอในฐานะประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่จีนยุคใหม่ก็มีเรื่องราวที่น่าอายและสะท้อนถึงโปรเจ็กต์หรูหราอย่างสุดชุ่ย

เมื่อเมืองบางแห่งอยู่ในสภาพเป็นเสมือน"เมืองผี"หรือ"เมืองของคนตาย"ที่ถูกสร้างอย่างหรูหรามาหลายปีแต่กลับไร้ผู้เข้าพักอาศัยแม้แต่รายเดียว

เมื่อ 6 ปีก่อน เมืองเบ่ยไฮ่ ซึ่งตั้งอยู่ในมณฑลกวงซี ชาง ได้ถูกแปรสภาพให้เป็นเมืองหรูหรือเมืองที่สร้างให้เศรษฐีเข้าอยู่อาศัย เต็มไปด้วยคฤหาสน์กว่า 100 หลัง แต่ละหลังมีมูลค่ากว่า 3 ล้านหยวน (ราว 15 ล้านบาท) โดยทางการกวงซี ซาง หวังว่า เมืองนี้จะกลายเป็นเมืองที่บูมเพราะเป็นแหล่งอาศัยของมหาเศรษฐีโดยเมืองทั้งหมดถูกสร้างเกลื่อนไปด้วยตึกระฟ้า ห้างสรรพสินค้า ทางหลวง และสวนสาธารณะ แต่กลับกลายเป็นเมืองร้าง ผู้คนเมินที่เข้ามาอาศัยเพราะถือว่าเป็นเมืองนี้"เขตมืด"เนื่องจากอยู่ห่างจากศูนย์กลางทางเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ของประเทศจีน

โดยคนงานบางรายอุตส่าห์ลงทุนนำเงินออมตั้งแต่รุ่นปู่ทวดเพื่อมาซื้ออสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ แต่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเมืองนี้ได้เพราะมันห่างไกลจากแหล่งเมืองใหญ่ของประเทศ และเศรษฐีอื่น ๆ ก็เมินที่จะเข้ามาจับจองอาศัยอยู่ด้วย และสถานการณ์ล่าสุด เหล่าคฤหาสน์ทั้งหลายยังต้องการเงินมาใช้สำหรับรักษาสภาพไม่ได้ทรุดโทรมด้วย

ที่ผ่านมา ทางการเมืองเบ่ยไฮ่คาดว่าเมืองนี้จะบูมและเติบโตอย่างรุ่งเรืองจากเป็นผลพวงจากนโยบายที่รัฐบาลจีนบังคับให้ชาวจีนลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์แต่เฉพาะในประเทศและห้ามการลงทุนนอกประเทศขณะที่นักวิเคราะห์บอกว่า ณ วินาทีนี้ จีนเป็นดินแดนแห่งฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ มีการสร้างตึกอาคารมากมายเกินความจำเป็น และเกินความต้องการของตลาดผู้บริโภค

ขณะที่บางรายบอกว่า ความเป็นจีนยุคใหม่ได้ทำให้เห็นถึงการขยายชุมชนเมืองใหญ่โตที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็น สะท้อนได้จากเมืองผีแห่งนี้ ขณะที่ชาวท้องถิ่นบางรายกล่าวประณามว่า เมืองนี้เป็นตัวแทนแห่งความบ้าของสังคมจีน ซึ่งสร้างที่อยู่อาศัยตั้งตระหง่านเฉย ๆ โดยไม่มีคนอยู่!

เป็นเรื่อง ระวังศัลยกรรมเสร็จกลับประเทศไม่ได้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ว่า สื่อออนไลน์ “ออนโบอาและมุนฮวา”ของเกาหลีใต้เผย ปัจจุบันนี้โรงพยาบาลหลายแห่งในเกาหลีใต้ต้องออกเอกสารยืนยันใบหน้าให้กับผู้ที่มาทำศัลยกรรมที่เดินทางมาจากต่างแดน เนื่องจากใบหน้าก่อนและหลังทำศัลยกรรมของคนไข้มีความแตกต่างกันมากจนเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไม่ยอมให้ออกนอกเกาหลีใต้เพื่อเดินทางกลับประเทศ ทั้งนี้ ในปี 52 มีหญิงชาวจีนจำนวน 23 รายที่ไม่สามารถเดินทางออกนอกเกาหลีได้ เนื่องจากประสบปัญหาดังกล่าว

ท้ังนี้ชาวต่างชาติที่มักเดินทางเข้ามาทำศัลยกรรมในเกาหลีคือ ชาวจีนและญี่ปุ่น อายุระหว่าง 36-54 ปี บางครั้งพวกเขาต้องประสบปัญหาไม่สามารถเดินทางกลับประเทศ โดยปัญหาดังกล่าวนี้เริ่มเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนทำให้กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับโรงพยาบาลที่จะต้องออกเอกสารยืนยันหมายเลขหนังสือเดินทาง เอกสารยืนยันการทำศัลยกรรมที่ระบุชื่อโรงพยาบาลไว้อย่างชัดเจน และเอกสารรับรองช่วงเวลาที่อยู่ในเกาหลีใต้ให้ผู้ที่มาทำศัลยกรรม ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนไข้เดินทางกลับประเทศตนเอง

นอกจากนี้สื่อที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลจีน “ไชนา เดลี” ยังเคยออกมาเปิดเผยว่า ผู้หญิงที่เพิ่งกลับมาจากการทำศัลยกรรมที่เกาหลีใต้ จะถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแนะนำให้ไปทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่โดยทันที

โดยเกาหลีใต้กำลังกลายเป็นเมืองหลวงแห่งการทำศัลยกรรมใบหน้าที่มีผู้คนจากทั่วโลกเดินทางมาศัลยกรรมมากถึง 25,176 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน จากสถิติของปี 2554 โดยในเกาหลีเองก็พบว่า ในผู้หญิงทุก ๆ 77 ราย จะมีหนึ่งรายที่เคยทำศัลยกรรมมา และผู้หญิงอายุ 19-49 ปี ในกรุงโซลร้อยละ 20 เคยผ่านมีดหมอมาแล้วทั้งสิ้น.