ข่าว
'รูเบิล'แข็งค่าขึ้นหลังรัสเซียงดจ่ายก๊าซให้โปแลนด์-บัลแกเรีย

27 เม.ย.65 รอยเตอร์รายงานว่า เมื่อเวลา 08:31 น.วันนี้ตามเวลามาตรฐานสากล ตรงกับเวลา 15:31 น.วันนี้ตามเวลาในไทย รูเบิลเทียบกับยูโรแข็งค่าขึ้นร้อยละ 1.1 ไปเคลื่อนไหวที่ 76 รูเบิลต่อยูโร หลังจากทำสถิติแข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 2 ปีด้วยการขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 75.9075 รูเบิลต่อยูโร ส่วนรูเบิลเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นร้อยละ 1 ไปเคลื่อนไหวที่ 72.82 รูเบิลต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของรูเบิลมักถูกจำกัดโดยธนาคารกลางผ่านมาตรการควบคุมกระแสเงินทุน

บริษัทด้านการลงทุนในตลาดทุนรัสเซียชี้ว่า การที่รัสเซียงดจ่ายก๊าซให้แก่ประเทศในยุโรปอาจเพิ่มความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และอาจทำให้ความสัมพันธ์กับยุโรปเสื่อมถอยลง ส่งผลเสียต่อบรรยากาศการลงทุน

ขณะเดียวกันตลาดในรัสเซียกำลังรอดูผลการประชุมนโยบายของธนาคารกลางรัสเซียในวันศุกร์นี้ โดยคาดว่าจะลดดอกเบี้ยลงร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 15 หวังกระตุ้นให้มีการขอสินเชื่อมากขึ้น แม้ว่ารัสเซียกำลังเผชิญภาวะเงินเฟ้อสูง และอาจทำให้รูเบิลเสี่ยงผันผวนต่อปัจจัยภายนอกมากขึ้นก็ตาม

ก่อนหน้านี้ บริษัทก๊าซพรอม ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของรัฐบาลรัสเซีย กล่าววันนี้ว่า ได้ระงับการจัดส่งก๊าซธรรมชาติให้กับบัลแกเรียและโปแลนด์แล้ว เนื่องจากทั้งสองประเทศไม่ยอมชำระค่าก๊าซเป็นเงินรูเบิลตามที่รัสเซียกำหนดไว้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รัสเซียตัดการส่งก๊าซไปยังลูกค้าในทวีปยุโรปนับตั้งแต่รัฐบาลมอสโกบุกโจมตียูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ในขณะที่ประเทศที่เป็นลูกค้ากล่าวว่า การเรียกร้องให้จ่ายเป็นเงินรูเบิลของรัสเซียเป็นการละเมิดสัญญาที่กำหนดให้ชำระค่าก๊าซเป็นเงินสกุลยูโร

ลุยสอบบุกรุก'ป่าอ่าวนาง-ป่าหางนาค' พบออกเอกสารสิทธิ์ไม่ชอบ-ขายต่อคนดัง-คนมีสี

วันที่ 27 เมษายน 2565 นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดี ดีเอสไอ พร้อมด้วยนายศุภชัย คำคุ้ม ผอ.ศูนย์ปฎิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 8 กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค นายสุพจน์ ภู่รัตนโอภา ผอ.สนง.บริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 นายสุรศักดิ์ อนุสรณ์ ผอ.ส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร และเจ้าหน้าที่ชุดตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่ดิน กอ.รมน.ภาค4 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ติดตามและตรวจสอบการบุกรุก ป่าอ่าวนาง - ป่าหางนาค หลังพบมีการออกเอกสารสิทธิ์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ หลังอุทยานหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพี ตรวจยึดไว้ตั้งแต่ปี 2546 เพื่อเร่งเอาผิดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ และยึดที่ดินคืนมาเป็นของรัฐ

นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดี ดีเอสไอ เปิดเผยว่า จากการลงตรวจสอบพื้นที่ พบข้อเท็จจริงพื้นที่มีการบุกรุก ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตธารา-หมู่เกาะพี ป่าอ่าวนาง-ป่าหางนาค ครอบคลุมพื้นที่ กว่า 28,000 ไร่ สำหรับพื้นที่ที่มีการบุกรุกออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ รวม 6 แปลง และต่อมาพบว่าได้มีการแบ่งย่อยออกเป็น 38 แปลง ในเนื้อที่ 125 ไร่ ซึ่งทาง ดีเอสไอ ก็จะทำการตรวจสอบร่วมกับกรมอุทยานฯกอ.รมน.ภาค 4 และนอกจากนี้ยังได้ต่อสายถึงอธิบดีกรมที่ดิน ในการตรวจสอบร่วมกัน

โดยหลังจากนี้ ทางกรมที่ดินจะส่งช่างรังวัดจากส่วนกลางเข้ามาดำเนินการตรวจสอบร่วม ในขณะที่ ดีเอสไอ เองก็จะส่งทีมศูนย์แผนที่ลงมาทำการบินสำรวจด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือโครน เก็บภาพถ่ายทางอากาศ และจะมีการอ่านภาพถ่ายโดยผู้เชี่ยลชาญ ซึ่งจะได้คำตอบโดยเร็วว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการบุกรุกป่าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา มากน้อยแค่ไหน ซึ่งขณะที่บินสำรวจจะไม่ทำเฉพาะ 125 ไร่ แต่จะทำครอบคลุม ทั้ง 2 หมื่นกว่าไร่ และในเบื้องต้นยังทางดีเอสยังไม่รับเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวน และแน่นอนว่าคดีนี้จะเกี่ยวพันกับผู้ที่ออกเอกสารสิทธิ์ หากพบว่า มีการดำเนินการโดยไม่ชอบก็จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

สำหรับผู้ที่ครอบครองอยู่ในปัจจุบันก็จะขึ้นอยู่กับการสอบสวนว่าได้มาอย่างไร รู้หรือไม่ว่าเอกสารออกมาโดยมิชอบ แต่เท่าที่ทราบพื้นที่ที่มีปัญหามีการเปลี่ยนมือกันมาหลายทอด แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้จะมีการสืบสวนไม่ให้เกิน 6 เดือน และคาดว่าประมาณ 2-3 เดือน น่าจะได้ข้อมูลที่พอจะสรุปคดีได้ หากตรวจสอบพบว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบก็จะทำเรื่องเสนอให้กรมที่ดินทำการเพิกถอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 และดำเนินการเอาผิดย้อนหลังกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งตอนนี้ยังระบุไม่ได้ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐจากหน่วยงานไหนบ้างที่เกี่ยวข้องส่วนเอกชนที่ถือครองที่ดินในปัจจุบันเชื่อว่าหลายรายอาจจะไม่ได้รู้เห็นกับการออกเอกสารสิทธิ์ แต่เข้ามาซื้อและจับจองที่ดิน เพราะเห็นว่าเจ้าของเดิมมีเอกสารสิทธิ์ จึงซื้อมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ

โดยคดีนี้ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราหมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ได้ตรวจยึดดำเนินคดีกับผู้บุกรุกพื้นที่ป่าอ่าวนาง-ป่าหางนาค เนื้อที่ 125 ไร่ เมื่อปี 2546 เบื้องต้นพบว่ามีออกเอกสารสิทธิ์ครอบครองเป็น น.ส.3 ก. มีการขอออกโดยใช้เอกสาร สค.1 และมีการแบ่งแยกเป็นแปลงย่อย เพื่อขายต่อให้อีกหลายทอดให้กับนักธุรกิจ ดารานักแสดง รวมถึงนักการเมือง เพื่อสร้างที่พักรีสอร์ต ที่ดินอยู่ในทำเลทอง ติดชายหาด มีการซื้อขายกันไร่ละไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท


ออกหมายเรียก‘ปริญญ์’ รับทราบข้อหา‘พรากผู้เยาว์-อนาจาร’ 5 พ.ค.

27 เมษายน 2565 ที่ สน.ลุมพินี พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.น. ดูแลด้านกฎหมายและคดี เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กระทำอนาจารและล่วงละเมิดทางเพศ กับเหยื่อหญิงสาวหลายราย

พล.ต.ต.ไตรรงค์ เปิดเผยภายหลังประชุม ว่า หลังจากการประชุมทราบว่าคดีมีความคืบหน้าไปมาก โดยเฉพาะคดีที่ สน.ห้วยขวาง พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานเพียงพอแล้ว วันนี้ได้ขอศาลออกหมายจับในข้อหาพรากผู้เยาว์ และกระทำอนาจาร แต่ศาลไม่อนุมัติหมายจับ โดยให้เรียกผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหาแทน โดยศาลให้ความเห็นว่าผู้ต้องหามาพบพนักงานสอบสวน และมีคดีในชั้นศาลแล้ว 4 คดี และได้ประกันตัวในชั้นศาล ประกอบกับผู้ต้องหาไม่มีพฤติกรรมหลบหนี จึงให้ออกหมายเรียกผู้ต้องหามารับทราบข้อกล้าวหาที่ สน.ห้วยขวาง ในวันที่ 5 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.

“สาเหตุที่ศาลไม่อนุมัติหมายจับ แต่กลับให้ออกหมายเรียกแทน เนื่องจากเห็นว่าผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเเล้ว 4 คดี เเละมีเงื่อนไขในการประกันตัว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องออกหมายจับซ้ำในคดีที่มีลักษณะเดียวกัน ส่วนข้อกังวลว่าผู้ต้องหาว่าผู้ต้องหาจะออกมายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานเเละผู้เสียหายนั้น ในเงื่อนไขการประกันตัวระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน มิเช่นนั้นจะถูกถอนประกันตัวทันที ซึ่งขณะนี้ตั้งเเต่ดำเนินคดีไป ยังไม่มีผู้เสียหายเข้ามาเเจ้งว่าผู้ต้องหาเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน” รอง ผบช.น. กล่าว

ส่วนประเด็นการถอนแจ้งความผู้เสียหายทั้งหมด 15 ราย มี 12 คดี ยังไม่มีรายใดถอนแจ้งความ และขณะนี้เจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน สอบปากคำใกล้เสร็จสิ้นแล้ว คาดว่าสัปดาห์หน้าจะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหาได้ ส่วนคดีที่ จ.เชียงใหม่ และเพชรบุรี ให้แต่ละพื้นที่รับผิดชอบ

รอง ผบช.น. ยืนยันว่า ตำรวจไม่มีความกังวลใจในสำนวนคดีเเละพยานหลักฐานต่างๆ เเม้ว่าจะเกิดเหตุกับผู้เสียหายเเต่ละรายมานานเเล้ว เเต่หลักฐานอื่นๆสามารถเอาผิดกับผู้ต้องหาได้ ส่วนตัวผู้ต้องหานั้นได้สอบปากคำเสร็จไปเเล้ว 3 คดี ส่วนคดีอื่นๆหากจำเป็นต้องสอบปากคำเพิ่มเติม ก็จะเรียกผู้ต้องหามาสอบปากคำ ยืนยันว่าตำรวจพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เเม้เเต่ตัวผู้ต้องหาเองก็สามารถเเสวงหาพยานหลักฐานเข้าสู่สำนวนได้


ด่วน! 'กบน.'เคาะขึ้นราคาดีเซล 1 พ.ค.ลิตรละ 32 บาท เพดานไม่เกิน 35 บาท

27 เม.ย.65 รายงานข่าวแจ้งว่าคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ประชุมวันนี้ (27 เม.ย.) เห็นชอบขึ้นราคาดีเซลแบบขั้นบันไดตั้งแต่ 1พ.ค. เพดานใหม่จะไม่เกิน 35บาท/ลิตร จากเดิม 30บาท/ลิตร โดยยึดหลักตาม ครม. ส่วนเกิน 30 บาท/ลิตร กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนครึ่งหนึ่งและราคาขึ้นตามจริงครึ่งหนึ่ง

ทั้งนี้ จากบาทอ่อนค่าและราคาดีเซลโลกสูงถึง145 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลต้นทุนที่แท้จริงอยู่ที่40บาท/ลิตร หากราคาปรับขึ้นทันที 1พ.ค. ราคาขายปลีกจะอยู่ที่ 35บาท/ลิตร ดังนั้น กบน. วันนี้จึงเห็นชอบขยับขึ้นเป็น 32 บาท/ลิตร ในวันที่ 1พ.ค. และจะติดตามสถานการณ์ทุก 7 วัน หากจำเป็นต้องขยับขึ้นก็จะทยอยปรับเช่นไม่เกินครั้งละ 1 บาท แต่จะไม่เกิน 35 บาท โดยกระทรวงพลังงานหวังว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะไม่รุนแรงไปกว่านี้จนทำให้ดีเซลโลกขยับขึ้นไปอีก

ขณะที่นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏข่าวตามสื่อกระแสหลักและสื่อสังคมออนไลน์ว่าสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยเตรียมจะยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายนนี้ออกไปก่อนนั้น

กรมสรรพสามิตขอชี้แจงว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 3 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจในช่วงที่ระดับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยกรมสรรพสามิตได้ออกกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2565 ลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง 3 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ – วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ส่งผลให้ปัจจุบันอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลบี 7 ลดลงจาก 5.99 บาท ต่อลิตร เหลือ 3.20 บาทต่อลิตร ในส่วนของการขยายเวลาการลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซลหลังจาก วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 นั้น จะต้องพิจารณาสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอีกครั้งหนึ่ง

ดังนั้น ข่าวที่ปรากฏตามสื่อกระแสหลักและสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ว่าการลดภาษีน้ำมันดีเซลมีผลถึงวันที่ 30 เมษายน 2565 และมีการจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลในอัตรา 5.99 บาท ต่อลิตรนั้น จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด


'สเปน'พบป่วยโควิดพุ่ง หลังยกเลิกบังคับสวมแมสก์

27 เม.ย.65 สำนักข่าวซินหัวรายงาว่า กระทรวงสาธารณสุขสเปนเปิดเผยว่าจำนวนผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในประเทศพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากยกเลิกคำสั่งบังคับสวมหน้ากากอนามัยในที่ร่ม

อัตราการป่วยโรคโควิด-19 ระยะ 14 วัน ในสเปนเพิ่มขึ้นจาก 555.47 ราย เป็น 608.16 ราย ต่อประชากร 1 แสนคน ซึ่งตรวจพบในประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ระหว่างวันที่ 22-26 เม.ย. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สเปนจะเผยแพร่อัตราการป่วยโรคโควิด-19 ระยะ 14 วัน ของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยไม่ครอบคลุมประชากรทั้งหมดในประเทศ

ขณะเดียวกันอัตราการครองเตียงในโรงพยาบาลของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในสเปนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5 ส่วนจำนวนการครองเตียงในแผนกผู้ป่วยหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นร้อยละ 4

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเพิ่มขึ้นมากในช่วงวันหยุดเทศกาลอีสเตอร์ และการยุติคำสั่งบังคับสวมหน้ากากอนามัยในที่ร่มตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา

ธนาคารโลกเตือน'ราคาอาหาร-พลังงาน'พุ่งสูง เซ่นความขัดแย้ง'รัสเซีย-ยูเครน'

27 เม.ย.65 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แนวโน้มตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคารโลก ซึ่งเผยแพร่วันอังคาร (26 เม.ย.) ระบุว่าความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ก่อให้เกิด “ผลกระทบใหญ่” ต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการค้า การผลิต และการบริโภคทั่วโลก ขณะราคาพลังงานในช่วงสองปีที่ผ่านมาพุ่งสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1973

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาหารที่รัสเซียและยูเครนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ และปุ๋ยที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นปัจจัยการผลิต เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 และมีการคาดการณ์ว่าราคาพลังงานจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 ในปี 2022 ก่อนจะลดระดับลงในปี 2023 และ 2024

ราคาน้ำมันดิบเบรนต์จะเฉลี่ยอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ (ราว 3,400 บาท) ต่อบาร์เรลในปี 2022 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2013 และเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับปี 2021 ต่อจากนั้นคาดว่าจะลดลงเหลือ 92 ดอลลาร์ (ราว 3,100 บาท) ในปี 2023 ทว่ายังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะ 5 ปี ซึ่งอยู่ที่ 60 ดอลลาร์ (ราว 2,000 บาท) ต่อบาร์เรล

ส่วนราคาสินค้าที่ไม่ใช่พลังงาน ซึ่งรวมถึงสินค้าเกษตรและโลหะ จะเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 20 ในปี 2022 และจะลดลงในหลายปีถัดไป โดยราคาข้าวสาลีอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 40 ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ ด้านราคาโลหะอาจจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ก่อนจะลดลงในปี 2023 แต่จะยังคงอยู่ในระดับสูง

รายงานเสริมว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจจะยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะ 5 ปีล่าสุด โดยราคาอาจสูงขึ้นและผันผวนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน หากความขัดแย้งยืดเยื้อออกไปหรือมีการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเพิ่มเติม