สัญจร เมื่อวันที่ 29-30 มิ.ย. ที่ผ่านมา สมาคมนวดไทยและสปาแห่งสหรัฐอเมริกา ได้จัดอบรมทักษะเทคนิคการนวดสัญจรที่สถานเอกอัครราชทูตณ วอชิงตันดีซี โดยมีท่านฑูต ธานี แสงรัตน์ เอื้อเฟื้อสถานที่ เลยถือโอกาสร่วมฉลองงาน “สวัสดีดีซี” 190 ปีความสัมพันธ์การฑูตระหว่างไทย-อเมริกัน ในวันที่ 2 ก.ค. ด้วย
ศาลฎีกาสหรัฐฯ ประกาศว่า เชื้อชาติไม่สามารถเป็นปัจจัยหนึ่งในการรับเข้าศึกษาในวิทยาลัยได้ และบังคับให้สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาต้องหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้บรรลุถึงจำนวนนักศึกษาที่มีความหลากหลาย
การพิจารณาคดีครั้งสำคัญนี้ถือเป็นการยกระดับนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีมานานหลายทศวรรษเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิบัติอย่างแตกต่างกันเพื่อความเป็นธรรม” (Affirmative action) หรือที่เรียกกันว่า “การเลือกปฏิบัติในเชิงบวก” ซึ่งเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากที่สุดในวงการศึกษาของสหรัฐฯ โดย “การปฏิบัติอย่างแตกต่างกันเพื่อความเป็นธรรม” ถูกนำมาใช้เป็นนโยบายในช่วงทศวรรษที่ 1960 และได้รับการปกป้องในฐานะมาตรการเพื่อเพิ่มความหลากหลาย
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการตัดสินของศาล “เราไม่สามารถปล่อยให้การตัดสินใจนี้เป็นคำตัดสินสุดท้าย” และกล่าวว่า “การเลือกปฏิบัติยังคงมีอยู่ในอเมริกา”
“นี่ไม่ใช่ศาลธรรมดา” เขากล่าวเสริมถึงผู้พิพากษา 9 คน ซึ่งแตกแยกทางอุดมการณ์ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยม 6 คน และฝ่ายเสรีนิยม 3 คน
มิเกล คาร์โดนา รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ กล่าวว่า ศาลได้ยกเลิกเครื่องมือสำคัญที่ผู้นำมหาวิทยาลัยใช้เพื่อรับรองความหลากหลายในมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ได้หายไปคือความตั้งใจที่จะทำให้วิทยาลัยของอเมริกา ประกอบด้วยนักศึกษาที่มีความหลากหลาย เช่นเดียวกับประเทศของเรา” และเสริมว่าทำเนียบขาวจะออกคำแนะนำแก่มหาวิทยาลัยต่างๆ พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการ รักษาความหลากหลายตามกฎหมาย
การพิจารณาคดีครอบคลุมสองกรณีที่เกี่ยวข้องกับการรับเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา
ผู้พิพากษาตัดสินให้องค์กรชื่อ Student for Fair Admissions ซึ่งก่อตั้งโดยนายเอดเวิร์ด บลัม นักเคลื่อนไหวทางกฎหมาย เป็นฝ่ายชนะ กลุ่มดังกล่าวโต้เถียงกันต่อศาลเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วว่า นโยบายการรับเข้าเรียนที่คำนึงถึงเชื้อชาติของฮาร์วาร์ดนั้นละเมิดกฎหมายสิทธิพลเมืองปี 1964 หัวข้อที่ 6 ซึ่งห้ามการเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากเชื้อชาติ สีผิว หรือชาติกำเนิด
หัวหน้าผู้พิพากษาระบุว่า “มหาวิทยาลัยหลายแห่งสรุปอย่างผิดๆ มานานเกินไปว่าหลักสำคัญของอัตลักษณ์ของแต่ละคนไม่ใช่ความท้าทาย ทักษะที่สร้างขึ้น หรือบทเรียน แต่เป็นสีผิวของพวกเขา” ความเห็นส่วนใหญ่ของเขาชี้ว่านโยบายของฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา นั้น “มีเจตนาดี” และคำตัดสินระบุว่า มหาวิทยาลัยไม่ควรถูกห้ามการพิจารณาผู้สมัครเข้าเรียน เกี่ยวกับ “การอภิปรายว่าเชื้อชาติส่งผลต่อชีวิตของเขาหรือเธออย่างไร”
ด้านแองจี กาโบ ประธานสมาคมนักเรียนผิวดำแห่งฮาร์วาร์ด กล่าวว่าเธอ “ท้อใจมาก” กับการตัดสินใจดังกล่าว
กาโบ ซึ่งอายุ 21 ปีและกำลังเรียนปีสุดท้ายที่ฮาร์วาร์ด กล่าวว่า เธอเชื่อ 100% ว่าเชื้อชาติของเธอเป็นปัจจัยสำคัญในการสมัครของเธอ รวมถึงการผ่านการเขียนเรียงความการสมัครเข้าเรียนด้วย เธอกังวลว่า “นักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อชาติของตนเองในประเทศนี้ จะได้รับบาดแผลในการสมัครเข้าเรียน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเชื้อชาติส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาอย่างไร”
นายลอเรนซ์ บาคาว ประธานมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวในแถลงการณ์ว่า ในขณะที่วิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ “จะปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลอย่างแน่นอน” แต่จะยังคงรวม “ผู้คนที่มีภูมิหลัง มุมมอง และประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลาย” เข้าไว้ด้วยกัน
ด้านนายเควิน กัสเควิซ อธิการบดีของมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา กล่าวว่า แม้ว่าจะไม่ใช่ผลลัพธ์ตามที่มหาวิทยาลัยหวังไว้ แต่ก็จะทบทวนการตัดสินใจ และจะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย
เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. รายงานข่าวแจ้งว่า คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ ภริยานายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพีกรุ๊ป) เสียชีวิตแล้ว
เวลา 17.05 น.สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ ป.ช.,ป.ม.,ต.จ. ณ บ้านเลขที่ 88 หมู่บ้านวินด์มิลล์ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
ทั้งนี้ คุณหญิงเทวี นามสกุลเดิม วัฒนลิขิต สมรสกับนายธนินท์ เจียรวนนท์ มีทายาทรวม 5 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 2 คน ได้แก่ นางวรรณี เจียรวนนท์ รอสส์, นายสุภกิต เจียรวนนท์, นายณรงค์ เจียรวนนท์, นายศุภชัย เจียรวนนท์ และนางทิพาภรณ์ อริยวรารมย์
คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ นอกจากจะเป็นภรรยานักธุรกิจชั้นนำ และมารดาของผู้บริหารระดับประเทศ ยังมีความสนใจในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และส่งเสริมการศึกษาให้แก่เยาวชนที่ขาดโอกาสได้มีความรู้มาอย่างยาวนาน ทั้งยังช่วยเหลือประชาชนผ่านโครงการต่างๆ รวมไปถึง มูลนิธิธนินท์ เทวี เจียรวนนท์ รวมถึงมูลนิธิพุทธรักษา
ทั้งนี้ คุณหญิงเทวีได้รับพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติ "สตรีไทยดีเด่น" ในวันสตรีไทยประจำปี 2560 จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ รางวัลแม่ของผู้ทำประโยชน์ต่อสังคมและประเทศ ในงานวันแม่แห่งชาติ ปี 2556 ซึ่งเคยได้ให้สัมภาษณ์เมื่อครั้งได้รับรางวัลแม่ดีเด่นว่า เป็นแม่บ้านคอยดูแลลูก ก็ต้องเลี้ยงลูกให้ดีที่สุดทั้ง 5 คน และคอยสอนลูกตลอดว่า ทำอะไรผิดต้องบอกแม่ และยึดคติ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี
อาลัยคุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ ภริยาเจ้าสัวซีพี "ผู้เปี่ยมเมตตา ถึงแก่อนิจกรรม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯแทนพระองค์ไปในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพคุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ “นายหญิงแห่งอาณาจักรซีพี” ภริยาเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ที่ครองคู่ใช้ชีวิตกันมายาวนานถึง 62 ปี ครอบครัวโศกเศร้าอาลัยรักสุดซึ้ง เผยประวัติชีวิตแสนงดงามเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต อบรมเลี้ยงดูบุตรธิดาจนได้รับเลือกเป็นแม่ดีเด่น ทั้งยังได้รับการยกย่องเป็นบุคคลที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ดูแลทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อุทิศตนช่วยเหลือสังคมรวมถึงผู้ด้อยโอกาสเสมอ
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 29 มิ.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ ป.ช., ป.ม., ต.จ. ณ บ้านพักในหมู่บ้านวินด์มิลล์ บางนา การนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด
ทั้งนี้ คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ เป็นภริยาของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ได้ถึงแก่อนิจกรรม ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ขณะอายุได้ 83 ปี ถือเป็นความสูญเสียที่สุดพรรณาและความเศร้าโศกสุดอาลัยรักต่อครอบครัวเจียรวนนท์ บุคคลใกล้ชิด รวมถึงพนักงานทุกคนในเครือเจริญโภคภัณฑ์และบริษัทในเครือ เนื่องด้วยคุณหญิงเทวีเป็นบุคคลที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ทำนุบำรุงศาสนา ช่วยเหลือสังคมและผู้ด้อยโอกาสเป็นนิจศีล จึงเป็นที่รักใคร่ของทุกคน รวมทั้งเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากสังคมในฐานะแม่ดีเด่นและสตรีไทยดีเด่น
สำหรับประวัติคุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ (นามสกุลเดิมวัฒนลิขิต) เกิดเมื่อวันที่ 25 ก.พ.2483 สมรสกับนายธนินท์ เจียรวนนท์ มีบุตรธิดาชายหญิงรวม 5 คน ได้แก่ นางวรรณี (เจียรวนนท์) รอสส์ สมรสกับ มร.ไมเคิล รอสส์ นายสุภกิต เจียรวนนท์ สมรสกับนางมาริษา เจียรวนนท์ นายณรงค์ เจียรวนนท์นายศุภชัย เจียรวนนท์ สมรสกับนางบุษดี มหพันธุ์ และนางทิพาภรณ์ อริยวรารมย์ สมรสกับ ดร.ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์
คุณหญิงเทวีเป็นผู้ที่อุทิศตนให้กับสังคม ดูแลครอบครัวอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต อีกทั้งยังน้อมนำพระบรมราโชวาทและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการอบรมสั่งสอนบุตรหลาน กระทั่งในปี 2556 สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มอบรางวัลแม่ดีเด่นเนื่องในวันแม่แห่งชาติให้กับคุณหญิงเทวี
นอกจากนี้ คุณหญิงเทวียังได้เข้ารับพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติ “สตรีดีเด่น” ประเภทส่งเสริมศาสนกิจและสังคมจากบทบาทของการเป็นภรรยานักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศและการเป็นแม่ที่เลี้ยงดูบุตรให้เติบโตประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นคนดี มีคุณธรรม บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ รวมทั้งยังเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ทำให้เกิด “มูลนิธิ ธนินท์-เทวี เจียรวนนท์” เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ขาดโอกาสทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึง “มูลนิธิพุทธรักษา เพื่อสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็ก เยาวชน และช่วยเหลือคุณครู”
คุณหญิงเทวียังมีความศรัทธาและใฝ่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอ การลาจากของคุณหญิงเทวีที่ได้ทำหน้าที่เป็น “คู่ชีวิต” ผู้เข้มแข็งมั่นคง เป็นแม่ที่ดีและเป็นภรรยาที่แสนประเสริฐของเจ้าสัวซีพีมาอย่างยาวนานถึง 62 ปี จึงถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญของครอบครัว “ เจียรวนนท์”
ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก We are CP ได้โพสต์ข้อความไว้อาลัย “คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์” โดยระบุว่า “คณะผู้บริหารและพนักงาน เครือเจริญโภคภัณฑ์ ขอแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของ คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ และขอร่วมแสดงความเสียใจอย่างเป็นที่สุดต่อท่านประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ และครอบครัวเจียรวนนท์ทุกท่าน”
ส่วนกำหนดการบำเพ็ญพระราชกุศล มีดังนี้ พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมในเวลา 18.30 น. ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 30 มิ.ย. ถึงวันที่ 5 ก.ค. กำหนดการบำเพ็ญพระราชกุศล 7 วัน วันอังคารที่ 4 ก.ค.เวลา 17.00 น. พระสงฆ์ 10 รูป สวดพระพุทธมนต์ พระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระสงฆ์ 4 รูป สวดธรรมคาถาวันพุธที่ 5 ก.ค. เวลา 10.00 น. พระสงฆ์ 10 รูป สวดพระพุทธมนต์ สวดถวายพรพระ รับพระราชทานภัตตาหาร (ปิ่นโต)
เอพี รายงานวันที่ 30 มิ.ย. ว่า แหล่งข่าวที่มีความใกล้ชิดกับหน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกาและยูเครนเปิดเผยว่า พล.อ.เซอร์เก ซูโรวิกิน รองผู้บัญชาการกองกำลังรัสเซียที่ปฏิบัติการพิเศษในยูเครน ถูกควบคุมตัวไม่กี่วันหลังเกิดกรณีที่นายเยฟเกนี ปริโกซิน หัวหน้ากลุ่มแวกเนอร์ กลุ่มทหารรับจ้างสัญชาติรัสเซีย พยายามก่อกบฏบุกกรุงมอสโกเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา
โดยมีการกล่าวหาว่า พล.อ.ซูโรวิกินอาจสมรู้ร่วมคิดกับนายปริโกซิน แต่ยังไม่มีรายงานการจับกุมอย่างเป็นทางการ รวมถึงไม่มีรายละเอียดว่าพล.อ.ซูโรวิกินถูกคุมขังที่ไหนและจะโดนดำเนินคดีในข้อหาอะไร
รายงานระบุว่า นายปริโกซินแสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่พอใจพล.อ.อาวุโส เซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมรัสเซีย รวมถึงเคยเสนอแนะให้แต่งตั้งพล.อ.ซูโรวิกินขึ้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารแทนพล.อ.วาเลรี เกราซีมอฟ
ด้านนิวยอร์กไทมส์ระบุว่า พล.อ.ซูโรวิกินรู้ว่านายปริโกซินมีแผนการขับไล่พล.อ.ชอยกู โดยทั้งคู่มีความสนิทสนามตั้งแต่รัสเซียส่งกองทัพ รวมทั้งกลุ่มแวกเนอร์ เข้าไปช่วยเหลือรัฐบาลซีเรียในสงครามกลางเมืองที่ตั้งแต่ปี 2558
นอกจากนี้ยังมีข่าวอีกว่าเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงหลายนายที่อาจสมรู้ร่วมคิดกับนายปริโกซินจะถูกดำเนินคดีขั้นเด็ดขาดตามที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวก่อนหน้านี้ว่าจะลงโทษพวกกบฏที่แทงข้างหลัง
นายเอล็กเซ เวเนดิกตอฟ อดีตผู้อำนวยการสถานีวิทยุเอกโคมอสโก สถานีวิทยุอิสระชื่อดังที่ถูกทางการสั่งปิดหลังจากรัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครน เปิดเผยว่า พล.อ.ซูโรวิกินและเจ้าหน้าที่ทหารคนสนิทหลายนายไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวมานาน 3 วันแล้ว แต่ไม่ได้ชี้ชัดว่าถูกควบคุมตัวหรือไม่
ขณะที่แพลตฟอร์ม รูบาร์ ช่องทางข่าวสารทางการทหารของรัสเซีย ระบุว่ามีการดำเนินการกวาดล้างทหารครั้งใหญ่ในกองทัพรัสเซีย และบางส่วนถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับนายปริโกซินา
ขณะเดียวกัน นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวเมื่อต้นสัปดาห์ต่อประเด็นข่าวของนิวยอร์กไทมส์ที่ว่าเป็นแค่การคาดเดา และเมื่อถูกถามว่าพล.อ.ซูโรวิกินถูกจับหรือไม่เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายเปสคอฟปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว
ส่วนประเด็นความไว้วางใจของประธานาธิบดีปูตินต่อพล.อ.ซูโรวิกินนั้น นายเปสคอฟตอบเพียงว่านายปูตินทำงานร่วมกับรัฐมนตรีกลาโหมและหัวหน้าเสนาธิการทหาร ก่อนส่งต่อคำถามเกี่ยวกับพล.อ.ซูโรวิคินให้เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมชี้แจงแทน
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเก้าปีก่อน “นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี” แห่งอินเดียเคยถูกปฏิเสธวีซ่าเข้าสหรัฐฯ แต่บัดนี้กลับตาลปัตรกลายเป็นนักการเมืองเนื้อหอมที่สหรัฐอเมริกานิยมชมชอบไปเสียแล้ว
โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2023นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการจาก “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” และสภาคองเกรส แถมด้วยคนอเมริกันกว่าเจ็ดพันคนที่ต่างแห่แหนไปต้อนรับและส่งเสียงเชียร์อย่างกึกก้อง เมื่อนายกรัฐมนตรีโมดีเดินทางมาถึงทำเนียบขาว !!!
ทั้งนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้กล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อมานานแล้วว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและอินเดียมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นแห่งศตวรรษที่ 21 และข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกในรอบสิบห้าปีที่มีโอกาสได้ต้อนรับการเยือนของผู้นำแห่งสาธารณรัฐอินเดีย และขอกล่าวคำว่ายินดีต้อนรับนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี สู่ทำเนียบขาว”
แค่เพียงประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวคำต้อนรับจบประโยคลง ปรากฏว่าผู้เข้าร่วมต้อนรับนายกรัฐมนตรีนเรน ทรา โมดี ก็ได้ส่งเสียงเชียร์อย่างกึกก้องว่า “โมดี ! โมดี ! โมดี !”
โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า “หากย้อนกลับไปในอดีตครั้งที่ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี และท่านเพิ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เราเคยมีโอกาสใช้เวลาพูดคุยเจรจากันหลายครั้งหลายครา และขณะนี้ก็มีโอกาสที่เราจะสานต่อความสัมพันธ์ที่ไว้เนื้อเชื่อใจและเคารพซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาที่ทั่วทุกมุมโลกกำลังเผชิญอยู่อย่างท้าทายในศตวรรษนี้”
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ก็ได้กล่าวตอบว่า “การเป็นหุ้นส่วนความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐอเมริกาและอินเดีย ถือเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของทั้งโลก…อินเดียและสหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในทุกเรื่องตั้งแต่ปัญหาการยุติความยากจน และการขยายการเข้าถึงในการบริการด้านสุขภาพ เรื่อยไปจนถึงการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปจนถึงการแก้ปัญหาความไม่มั่นคงด้านอาหารและพลังงาน…อีกทั้งเรายังเป็นเสาหลักเพื่อสร้างความมั่นใจที่จะทำให้เทคโนโลยีที่สำคัญและที่เกิดใหม่ ที่เราทั้งสองประเทศจะร่วมสานต่อในการเป็นหุ้นส่วนจากรุ่นสู่รุ่นต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีความสำคัญสำหรับสหรัฐอเมริกาและอินเดียและสำหรับนานาประเทศทั่งโลกอีกด้วย”
ตอนหนึ่งนายกรัฐมนตรีโมดีได้ยังเสริมต่อไปอีกว่า “ข้าพเจ้าขอแสดงความขอบคุณต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน สำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นและมิตรภาพที่มอบให้ และพิธีต้อนรับที่ยิ่งใหญ่ ณ ทำเนียบขาวในวันนี้ ถือเป็นเกียรติและเป็นความภาคภูมิใจสำหรับคนอินเดียมากกว่า 1.4 พันล้านคน และยังเป็นเกียรติต่อคนอินเดียมากกว่า 4 ล้านคนที่พำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา และยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสได้เห็นชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียจำนวนมากในรัฐสภาคองเกรสอีกด้วย”
นอกจากนั้นนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ยังได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากสภาคองเกรสอีกด้วย
ขณะที่นายกรัฐมนตรีโมดีกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมาชิกสภาคองเกรส เขาได้ชี้ไปที่ “รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส” ที่นั่งบนแท่นเวทีด้านหลังและได้กล่าวยกย่องว่า “เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศอินเดีย”
สำหรับการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสนั้น นายกรัฐมนตรีโมดีได้กล่าวตอนหนึ่งว่า “เรามาจากสถานการณ์และประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน แต่เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันมีวิสัยทัศน์และมีโชคชะตาร่วมกัน”
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีโมดีได้กล่าวปิดท้ายว่า “เมื่อความร่วมมือของเราก้าวหน้าก็จะนำความเฟื่องฟูทางด้านเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น จนมีผลทำให้นวัตกรรมเติบโต วิทยาศาสตร์เฟื่องฟูเพิ่มพูนความรู้เพื่อผลประโยชน์ของมนุษยชาติ ของท้องทะเลและของท้องฟ้าให้มีความปลอดภัยมากขึ้น มีประชาธิปไตยที่มั่นคงจนทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น”
เมื่อมองจากภาพรวมของการเยือนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีโมดี ในครั้งนี้นับได้ว่าทั้งสองประเทศต่างได้กระชับความสัมพันธ์และมีข้อตกลงกันว่า ในปีค.ศ. 2024 ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันทำงานทางด้านกลาโหม ด้านการดูแลสุขภาพ เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีด้านอวกาศ โดยมีข้อตกลงที่จะทำภารกิจร่วมกันในองค์การนาซา ณ สถานีอวกาศนานาชาติ !!!
และเมื่อวิเคราะห์ในแง่ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ต่อข้อตกลงด้านการเป็นหุ้นส่วนกับประเทศอินเดียแล้วนั้น ดูเหมือนประธานาธิบดีโจ ไบเดนคาดการณ์เอาไว้ว่า จะเป็นความความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ระหว่างสองประเทศและแน่นอนว่าย่อมจะลดความสัมพันธ์ของอินเดียที่มีต่อรัสเซียให้ลดน้อยถอยลงอีกด้วย
ทั้งนี้ทางด้านการต่างประเทศของอินเดียนั้นนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ออกมากล่าวว่า “อินเดียยังคงยืนหยัดที่จะวางตัวเป็นกลาง”
ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า อินเดียไม่เคยแสดงท่าทีคัดค้านต่อการรุกรานของรัสเซียในการบุกเข้ารุกราน “ยูเครน” และอินเดียยังส้มหล่นได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย เพราะรัสเซียต้องการเงินตราเข้าประเทศหลังจากที่โดนคว่ำบาตรนั่นเอง
และการวิเคราะห์จากข้อมูลดาวเทียมของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์พบว่า มีเรือบรรทุกน้ำมันหลาย สิบลำเดินทางจากรัสเซียพุ่งตรงไปอินเดียทุกๆ เดือนในช่วงสงครามยูเครน โดยอินเดียกลายเป็นผู้ซื้อหลักน้ำมัน ดิบจากรัสเซีย
และจากรายงานข่าวของ International Energy Agency เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วยังได้ออกมาระบุว่า อินเดียซื้อน้ำมันเกือบสองล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณร้อยละ 45% ของการนำเข้า ทำให้อินเดียมีธุรกิจที่ดีจากการกลั่นน้ำมันดิบ และจากการวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ระบุว่า ราคาโดยเฉลี่ยที่รัสเซีย ขายให้แก่อินเดียอยู่ที่ 78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามยูเครนส่วนใหญ่แล้วอินเดียสั่งซื้อน้ำมันดิบจากกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นจากการรายงานครั้งล่าสุดของสำนักหยั่งเสียง Morning Consult ด้านภาพลักษณ์โดยรวมของ “นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี” แห่งประเทศอินเดียปรากฏออกมาว่าขณะนี้ได้กลายเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกเหนือจากผู้นำจากบรรดานานาประเทศ โดยขณะนี้ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ได้รับคะแนนนิยมจากทั่วโลกแค่เพียง 40% และจากการเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการของผู้นำอินเดียในครั้งนี้ ก็อาจจะเป็นโอกาสดีที่สหรัฐฯ จะพูดจาโน้มน้าวหว่านล้อมให้อินเดียยอมถอยห่างจากรัสเซียและหันหลังให้กับจีน
ข่าว:วิวัฒน์ เศรษฐช่วย