(25พ.ย.) เวลา 14.00 น.ที่ห้องบอลรูม โรงแรมแชงกรี-ล่า เขตบางรัก กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวแสดงปาฐกถาเนื่องในงานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT)ตอนหนึ่งว่า มีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสพบปะกับผู้บริหารและสมาชิกหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย ขณะนี้ ปวงชนชาวไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความวิปโยคอาลัย สูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รัก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต และพระองค์เป็นบุคคลที่ทั่วโลกยอมรับ ตลอด 70 ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติ คนไทยล้วนตระหนักท่านทรงอุทิศทุ่มเทพระวรกายเพื่อความอยู่ดีกินดี พัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืน รัฐบาลมุ่งมั่นสืบสานพระราชปณิธานและเจริญตามรอยพระยุคลบาทด้วยการทำความดีเพื่อแผ่นดิน ร่วมกันรักษาเอกราช อธิปไตย เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชาติบ้านเมืองต่อไป และอีกไม่นานเราจะมีพระมหากษัตรย์องค์ใหม่
"รัฐบาลยืนยันเดินตามโรดแม็ปที่ได้วางไว้ เพื่อไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่เป็นสากลและสมบูรณ์ ผมไม่ได้ปฏิเสธประชาธิปไตยของโลกใบนี้ และขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าผมจะนำพาประเทศไทยไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ต้องการสร้างรากฐานในระยะยาว "ผมจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อมีมาบอกว่าแล้วแต่ผม ซึ่งก็งงๆ แต่สำหรับผมใครเข้าผมก็ยินดี และไม่ว่าใครจะอยู่ ใครจะไป ผมยินดีไม่ว่าจะเป็นใคร หรือผมจะอยู่หรือไม่อยู่ แต่ยุทธศาสตร์ชาติต้องอยู่ต่อไปอย่างน้อย 20 ปี เรากำลังเริ่มปฏิรูปปี 59-60 ก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน ตามโรดแม็ปที่ได้วางไว้ ที่นำไปสู่การเลือกตั้งที่โปร่งใส บนหลักการสากล"นายกฯกล่าว
นายกฯกล่าวว่า บางครั้งประชาชนอาจไม่เข้าใจ ซึ่งประชาชนมีหลายระดับ หลายรายได้ แต่ต้องมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน จัดให้เขาเข้มแข็งด้วยตัวเอง เป็นแบบอย่างให้เขาเห็น ตนไม่เคยหยุดคิดแม้แต่วันเดียวเพื่อพวกท่าน ปัญหาคอร์รัปชันเป็นปัญหาสำคัญ ต้องสร้างความโปร่งใส สร้างการตรวจสอบ เพิ่มโทษ ตั้งศูนย์ร้องเรียน สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ รัฐบาลวันนี้เข้ามาผลักดันขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามโรดแม็ปที่วางไว้ สร้างฐานรากขึ้นมาใหม่ให้เข้มแข็ง ประชาธิปไตยเข้มแข็ง พรุ่งนี้ใครจะลงทุนประเทศไทยขอให้ยกมือ ขอบคุณที่มายื่นความต้องการหลายแสนหลายหมื่นล้านบาท ถ้าไม่ทำวันนี้มันจะช้าเกินไป
"อย่ามากังวลตัวผม เข้ามาทำเพื่อท่าน ไม่ได้มาทำลายล้างใคร แต่มาทำเพื่ออนาคตลูกหลานท่าน ยนยันมุ่งมั่นสร้างบรรยากาศเอื้อต่อการลงทุน ปฏิบัติจริงให้เห็น วันนี้ต้องจบความขัดแย้ง อย่าเอาเรื่องเล็กมาเป็นเรื่องใหญ่ มันจะไปไม่ได้ ประชาชนคือผู้ถือหุ้นบริษัทรัฐบาล รัฐบาลไม่มีกำไรมีแต่ขาดทุน ต้องช่วยสร้างเศรษฐีใหม่ในไทยอีก รัฐบาลทำเองไม่ได้ทุกอย่าง ผมมั่นใจสิ่งที่พูดวันนี้ได้ผลไม่มากก็น้อย ผมไม่ได้รู้สึกว่าเป็นนายกฯ แต่เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อง มาช่วยไทยสงบสันติ โดยไม่ใช้กำลัง แต่แก้ด้วยการพัฒนาประเทศ จะได้ไม่มีความขัดแย้ง ไม่เสียเวลา ไม่เสียชีวิต ขอให้มองไทยอย่างเป็นธรรม อย่ามองผมเป็นตัวอุปสรรค แต่เข้ามาขจัดปัญหา ถึงเวลาก็มีคนมาทำอยู่แล้ว ผมพูดด้วยใจ ไม่มุ่งหวังอะไรเลย ไม่ได้มุ่งหวังเป็นอะไร ไม่ได้ต้องการชื่อเสียง แต่ต้องการให้ไทยสงบสุข ตนแก่แล้ว ตั้งใจจะไปเที่ยวแต่สถานการณ์แบบนี้ไปไหนไม่ได้"นายกฯกล่าว
วันที่ 25 พ.ย. ที่วัดมหาธาตุฯ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเลือกตั้งในอนาคตว่า เชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 60 ตามที่รัฐบาลได้ประกาศมา หากจะไม่เป็นไปตามโรดแมป รัฐบาลต้องชี้แจง ส่วนการรีเซ็ตพรรคการเมืองนั้น ส่วนตัวไม่กังวล เพราะเมื่อถึงการเลือกตั้งทุกอย่างจะขึ้นกับประชาชนว่าจะตัดสินใจอย่างไร แต่ที่กังวลคือผลพวงของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะทำให้ใครก็ตามที่มาเป็นนายกฯ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่รัฐธรรมนูญมีข้อจำกัดไว้ และการทำงานของรัฐบาลในอนาคต แทบจะทำงานไม่ได้เลย
เมื่อถามว่าที่ผ่านมามีกระแสข่าวพร้อมถือธงนำพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ตอนนี้ คสช.ยังไม่ให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม ขณะที่พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีผู้สนับสนุนและมีสมาชิกจำนวนมาก ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทั้งกฎหมายลูก ตนคิดว่าตรงนี้เป็นโอกาสที่จะทำอย่างไรให้เกิดระบบประชาธิปไตยที่เข้มเเข็งและยั่งยืน ส่วนตัวอาจมาศึกษาเรื่องศาสนามากขึ้น เพราะมีความรู้สึกว่าทุกฝ่ายต้องเริ่มปฏิรูปตัวเองทั้งหมด ไม่ใช่เพียงการแก้รัฐธรรมนูญแล้วจะทำให้การเมืองไทยดีขึ้น หวังว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญและปฏิรูปครั้งนี้ จะมีจุดมุ่งหมายทำเพื่อประเทศโดยรวม ไม่ใช่ปฏิรูปเพื่อกำจัดหรือจำกัดพรรคการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หวังว่าทุกอย่างจะเดินหน้าตามที่ คสช.ได้ประชาสัมพันธ์ไว้
นางเมตตา อุทกะพันธุ์ ประธานกรรมการบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ทำหนังสือแจ้งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติลดทุนจดทะเบียนจาก 220 ล้านบาท เป็น 219,999,865 บาท และเพิ่มทุนเป็น 419,999,865 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 200 ล้านหุ้นพาร์ 1 บาท เพื่อจัดสรรและขายให้กับบริษัท วัฒนภักดี จำกัด โดยนายฐาปน สิริวัฒนภักดี และนายปณต สิริวัฒนภักดี เป็นผู้ซื้อในราคาหุ้นละ 4.25 บาท รวมเป็นมูลค่า 850 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลังการเข้าซื้อจะทำให้นายฐาปนและนายปณตมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ 47.62% ทั้งนี้ ราคาเสนอขายดังกล่าวเป็นราคาที่ส่วนลดมากกว่า 10% ของราคาถัวเฉลี่ยของตลาดที่ 7.47 บาท ดังนั้น จึงต้องขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นพร้อมขออนุมัติผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการกับผู้ถือหุ้นซึ่งจะจัดประชุมในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้ต้องขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้เนื่องจากบริษัทฯประสบภาวะผลประกอบการขาดทุนจากการดำเนินงานในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา โดยบริษัทฯมีผลขาดทุนสุทธิ 91.46 ล้านบาท 416.41 ล้านบาท และ 468.93 ล้านบาท ในงวดปี 2557 ปี 2558 และในรอบ 9 เดือนปี 2559 ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ตลอดจนอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ดีอี) ณ วันที่ 30 กันยายน 2559 ของบริษัทฯ มีอัตราที่สูงเท่ากับ 4.32 เท่า จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินทุนที่จะได้รับจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้เพื่อการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจทีวีดิจิทัลที่อยู่ในช่วงของการเริ่มต้นธุรกิจซึ่งมีต้นทุนการดำเนินการที่สูง โดยใช้สำหรับการชำระค่าใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับการให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล การชำระค่าบริการโครงข่ายทีวีดิจิทัลรายเดือน การชำระคืนเงินกู้ยืม จากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น การผลิตรายการโทรทัศน์ เป็นต้น โดยบริษัทฯมีแผนการใช้เงินที่ได้จากการเพิ่มทุนนี้ภายในต้นปี 2561
ดังนั้น บริษัทฯจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อให้บริษัทฯสามารถดำเนินการต่างๆ ได้ตามที่กล่าวข้างต้น นอกจากนี้ จากการที่ ในปัจจุบันภาวะอุตสาหกรรมธุรกิจทีวีดิจิทัลมีการแข่งขันสูง บริษัทฯจึงเห็นว่าการที่บริษัทฯจะมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความพร้อมในด้านเงินทุนและมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงมีสถานะทางการเงินและสายสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายจะทำให้บริษัทฯได้รับเงินตามจำนวนที่ต้องการ และยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจได้ บริษัทฯจึงพิจารณาเห็นว่าการเพิ่มทุนโดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัดมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทฯ ด้วยเหตุดังกล่าว บริษัทฯจึงมีความจำเป็นที่จะต้องขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังตลาดรับรู้ข่าว ราคาหุ้นบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งปรับเพิ่มเกือบ 30% มาอยู่ที่ 9.65 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 2.20 บาท
19 พฤศจิกายน 2016 ที่ศูนย์อาหารไทยแลนด์พลาซ่า สภาสตรีไทยแห่งแคลิฟอร์เนียภาคใต้ ร่วมกับองค์กรไทยนิวเยียร์ (สงกรานต์) เฟสติวัล และโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกาเยือนแผ่นดินแม่ ร่วมกันจัดแถลงข่าวกิจกรรมเทิดพระเกียรติในนามชุมชนไทยในนครลอส แอนเจลิส โดยมีผู้แทนจากสถานกงสุลใหญ่ฯ, สื่อมวลชนและผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก
นางศรีวงศ์ อาญาสิทธิ ประธานบอร์ดไทยนิวเยียร์สงกรานต์เฟสติวัล กล่าวว่าเนื่องจากเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ถือเป็นเดือนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับพสกนิกรไทย เพราะนอกจากจะเป็นเดือนพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แล้ว ในช่วงต้นเดือนยังถือเป็นช่วงปัญญาสมวาร (50 วัน) ของการเสด็จสู่สวรรคาลัยของพระองค์ท่านอีกด้วย ดังนั้น ในนามของชุมชนไทยในลอส แอนเจลิส ซึ่งเป็นชุมชนไทยที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ สภาสตรีไทยแห่งแคลิฟอร์เนียเนียภาคใต้ จึงร่วมกับองค์กรไทยนิวเยียร์ (สงกรานต์) เฟสติวัล และโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกาเยือนแผ่นดินแม่ เตรียมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในช่วงเวลาดังกล่าวหลายกิจกรรมด้วยกัน
“งานแรกคือการติดตั้งแผ่นป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ริมถนนฮอลลีวูด ในไทยทาวน์ (บริเวณหน้าร้านนุช รอยัลไทยสปาร์ ตรงข้ามศูนย์อาหารไทยแลนด์พลาซ่า) เป็นพระบรมฉายาลักษณ์งดงาม ประกอบข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า “The Great King Bhumibol of Thailand, The people’s king” ตามด้วยภาษาไทยว่า “ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้า คนไทยในลอส แอนเจลิส สหรัฐอเมริกา” โดยบิลบอร์ดดังกล่าวนี้ ได้จัดทำเป็นภาพขาว-ดำ”
บิลบอร์ดเฉลิมพระเกียรติในนามชุมชนไทยในนครลอส แอนเจลิส ดังกล่าวนี้ จะติดตั้งตั้งแต่วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2016 เรื่อยไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2016 และจะติดตั้งทั้ง 2 ด้าน เพื่อให้ผู้ที่สัญจรบนไปมาบนถนนฮอลลีวูด สามารถเห็นพระบรมฉายาลักษณ์และข้อความเทิดพระเกียรติฯ อย่างชัดเจน
“หลังจากติดตั้งบิลบอร์ดเฉลิมพระเกียรติฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจะเชิญชวนให้ชาวไทยในนครลอส แอนเจลิส มาร่วมประกอบพิธีจุดเทียนรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์กันที่หน้าบิลบอร์ดในไทยทาวน์ บนถนนฮอลลีวูด โดยในวันแรกที่ติดตั้งบิลบอร์ดเสร็จสิ้น คือวันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน เราจะจัดชุมชุมกันในเวลา 20.00 น. เพื่อเลี่ยงปัญหารถติด และหลังจากนั้นเราก็จะทำพิธีกันทุกคืนวันอาทิตย์ ในเวลา 19.00 น. ต่อเนื่องไปตลอดทั้งเดือน
นอกจากบิลบอร์ดขนาดใหญ่ในไทยทาวน์แล้ว ยังมีการติดตั้งแผ่นป้ายบนเสาไฟฟ้า (Banner) ขนาด 36 นิ้ว คูณ 96 นิ้ว เป็นพระบรมฉายาลักษณ์และข้อความเดียวกัน โดยจะติดตั้งบนเสาไฟฟ้า 12 ต้น สองฝั่งถนนซันเซ็ต (ระหว่าง Normandie Ave. และ Harvard Blvd.) โดยแบนเนอร์ดังกล่าวจะมี 2 หน้า และติดตั้งเสาไฟฟ้าเสาละ 2 แผ่น
มุกใหม่ลูกศิษย์ “พระธัมมชโย” ยกคดีดัง “พระยันตระ อมโรภิกขุ” อ้างเคยถูกใส่ร้ายว่ามีเซ็กซ์กับสีกา ก่อนสีกาตายสารภาพว่ารับจ้างใส่ความ เพราะร้อนเงิน เปรียบกับคดี “พระเดชพระคุณหลวงพ่อ” ฟอกเงิน รับของโจร รุกป่าสงวน 3 หมายจับ โวยถูกสร้างข่าวร้ายจากสื่อที่ขายข่าว และพวกต้องการทำลายศาสนา จนกว่าไม่มีธรรมกายอยู่บนแผ่นดินไทย
เฟซบุ๊ก “เรารักวัดพระธรรมกาย” โพสต์ข้อความกรณีที่ พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร คดียักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รวมทั้งข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติที่ อ.ภูเรือ จ.เลย และ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา รวม 3 คดี โดยได้เปรียบเทียบกรณี นายวินัย ละอองสุวรรณ หรือ พระยันตระ อมโรภิกขุ (พระวินัย อมโร) ระบุว่า
“ก่อนตายดิฉันขอสารภาพความจริง เพื่อไถ่บาปว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น พระยันตระ เมื่อปี พ.ศ. 2536 มีข่าวครึกโครม พระยันตระ อมโร พระหนุ่มรูปงามแห่งเกริงกระเวีย มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสีกาสาว นางจันทิมา มายะรังสี
สื่อต่างๆ ทั้งโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ แย่งกันนำเสนอข่าวหลากรูปแบบ เพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยไม่สนใจข้อมูลเท็จจริงแต่อย่างใด พฤติกรรมสามานย์สารพัดถูกนำมาใช้ ใส่ร้ายป้ายสีเพื่อให้ดูชั่ว
ถึงขนาดส่งคนไปเผากุฏิไม้ ที่ท่านอาศัยปฏิบัติธรรมบนยอดเขา เพื่อสร้างข่าวเอามาขาย แม้พระพุทธรูปทองเหลือง ยังต้องหลอมละลายเพราะความร้อน
รุ่งเช้าก็มีข่าวพาดหัวตัวไม้ใหญ่ยักษ์ “ฟ้าพิโรธ ลงโทษยันตระ” สื่อแบกะดินที่แทบไม่ใครรู้จัก และอยู่ในภาวะใกล้ล้มละลายด้วย รุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นมาทันที เพราะจับทางคนได้ว่านิยมเสพข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี
แต่สื่อยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐ สมเป็นสื่ออันดับหนึ่งของเมืองไทย คือ ยึดหลักขายความจริงมากกว่า มุ่งยอดขายข่าวเท็จที่หวือหวา ได้ส่งนักข่าวเกรดเอ เงินเดือนสูง ไปบวชเป็นพระเพื่อสืบค้นความจริง
ก่อนพระนักข่าวรูปนั้นจะลาสิกขา ได้กล่าวสารภาพความจริงต่อหน้าพระสงฆ์และญาติธรรม ว่า “ผมเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถูกส่งมาบวชเพื่อมาเจาะหาความจริง ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ได้ร่วมปฏิบัติธรรมกับหมู่คณะ ผมประจักษ์ชัดทั้งด้วยตัวเองและข้อมูล ขอสารภาพเปิดใจ ณ ที่ตรงนี้ต่อหน้าทุกท่านว่า ... “ผมเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ ของพระอาจารย์ยันตระ อมโร ครับ”
หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปไม่นานนัก นางจันทิมา มายะรังสี ก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง แต่อนิจจาสื่อไทยที่จรรยาบรรณตายไปแล้ว ไม่มีสื่อใดลงข่าวคำสารภาพของนางจันทิมา มายะรังสี ก่อนเสียชีวิตเลย นอกจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และลงเพียงกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ เท่านั้น
“ก่อนตายดิฉันขอสารภาพความจริง เพื่อไถ่บาปว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพระอาจารย์ยันตระ ไม่มีมูลความจริง แต่เพราะความโกรธแค้นที่ถูกลูกศิษย์ขัดขวางไม่ให้เข้าใกล้พระอาจารย์ กอปรกับดิฉันอยู่ในภาวะร้อนเงินด้วย เมื่อมีคนว่าจ้างรับปากจะช่วยเหลือ และสัญญาจะส่งเสียลูกสาวเล่าเรียน ดิฉันจึงต้องทำงานนี้ให้กับเขา”
วัดพระธรรมกายก็เช่นเดียวกัน ทั้งในอดีตที่ผ่านมาและในอนาคต จะถูกสร้างข่าวร้ายจากสื่อที่ขายข่าว และพวกที่ต้องการทำลายศาสนา จนกว่าจะไม่มีวัดพระธรรมกาย อยู่บนผืนแผ่นดินไทยอีกต่อไป”