ข่าว
ปี 2565 ที่ผ่านมา พบชาวอเมริกันฆ่าตัวตายมากขึ้น

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2566 New Pittsburgh Courier นสพ.ท้องถิ่นของเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เสนอข่าว The Rise in U.S. Suicide Crisis: A deep dive into disparities within the Black community อ้างรายงานศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) ที่ระบุว่า ในปี 2565 มีชาวอเมริกันฆ่าตัวตาย 49,449 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 จากปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ 18,183 ราย

เมื่อแบ่งตามช่วงวัย พบว่า กลุ่มผู้สูงอายุ วัย 65 ปีขึ้นไป พบการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 เมื่อเทียบกับปี 2564 รองลงมาคือกลุ่มวัยกลางคนถึงเริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุ อายุ 45-64 ปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 ส่วนวัยทำงานถึงเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน หรือผู้ที่มีอายุระหว่าง 25-44 ปี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.7 อย่างไรก็ตาม ในประชากรวัยหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่ อายุระหว่าง 18-34 ปี อัตราการฆ่าตัวตายลดลงร้อยละ 8.4

ขณะที่เมื่อแบ่งตามเพศ พบว่า ผู้ชายมีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ส่วนผู้หญิงอยู่ที่ร้อยละ 2.8 และการแบ่งตามเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ พบชาวฮาวายพื้นเมืองและชาวหมู่เกาะแปซิฟิกอื่นๆ มีสถิติการเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 15.9 กลุ่มประชากรหลายเชื้อชาติตามมาด้วยการเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเพิ่มขึ้นในหมู่คนอเมริกันอินเดียนและชาวพื้นเมืองอลาสกา

เดบรา ฮาวรี (Debra Houry) หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของ CDC กล่าวว่า CDC ให้ความสำคัญกับแนวโน้มที่กว้างขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วตัวเลขการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2549 แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นในปี 2562 และ 2563 แต่ก็มีความเร่งด่วนในการจัดการกับวิกฤติด้านสาธารณสุขที่กำลังเติบโตนี้ ซึ่งสถิติการฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตกจำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างทันท่วงทีในสังคม

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ข้อมูลจากศูนย์ทรัพยากรเพื่อการป้องกันการฆ่าตัวตาย พบชาวอเมริกันที่เป็นชายหนุ่มผิวดำคือกลุ่มเสี่ยงมากเป็นพิเศษในการฆ่าตัวตาย โดยมากกว่าหญิงสาวผิวดำถึง 3 เท่า ทั้งนี้ ที่น่าวิตกยิ่งกว่านั้น อัตราการฆ่าตัวตายของเด็กและเยาวชนผิวดำอายุระหว่าง 10-19 ปี เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 ในเวลาเพียงสองทศวรรษ ซึ่งแซงหน้ากลุ่มเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์อื่นๆ โดยมีหลายปัจจัย อาทิ

1.การถูกตีตรา ซึ่งภายในชุมชนคนผิวดำมีอคติกับบุคคลที่พูดคุยเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตหรือการแสวงหาการบำบัด ซึ่งอาจส่งผลให้หลายคนไม่ได้รับความช่วยเหลือที่ต้องการ

2.ความเหลื่อมล้ำ โดยข้อจำกัดทางเศรษฐกิจมักทำให้การเข้าถึงบริการสุขภาพจิตที่มีคุณภาพเป็นเรื่องยาก คนอเมริกันผิวดำจำนวนมากอาจไม่ทราบบริการที่มีอยู่หรืออาจไม่มีประกันหรือเงินทุนที่จำเป็นสำหรับการรักษา อุปสรรคนี้สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะในพื้นที่อย่างเมืองดีทรอยต์ซึ่งมีความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนใคร

3.ความเข้าใจด้านวัฒนธรรม ซึ่งการขาดความสามารถด้านวัฒนธรรมของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้คนผิวดำขอความช่วยเหลือ ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่ไวต่อประสบการณ์และความท้าทายเฉพาะที่คนอเมริกันผิวดำต้องเผชิญอาจไม่ได้ให้การดูแลที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และ 4.ปัญหาเชิงระบบ มีความท้าทายที่กว้างขึ้น รวมทั้งการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและการบาดเจ็บจากรุ่นราวคราวเดียวกัน อาจมีส่วนทำให้อัตราปัญหาสุขภาพจิตและการฆ่าตัวตายในหมู่คนอเมริกันผิวดำเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงความแตกต่างเหล่านี้และให้การสนับสนุนที่ปรับให้เหมาะกับความท้าทายเฉพาะที่ชุมชนต่างๆ ต้องเผชิญ โดย CDC แนะนำว่า ใครก็ตามที่อยู่ในภาวะวิกฤติหรือผู้ที่กังวลเกี่ยวกับคนที่รัก ควรติดต่อ 988 Suicide & Crisis lifeline ซึ่งให้การสนับสนุนฟรีและเป็นความลับตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ขณะที่การจัดการกับความกังวลที่เพิ่มขึ้นของการฆ่าตัวตายในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชนคนผิวดำนั้น ต้องใช้แนวทางที่หลากหลาย ความพยายามต้องมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการเข้าถึงบริการสุขภาพจิต การเพิ่มพูนความสามารถทางวัฒนธรรมในหมู่ผู้ประกอบวิชาชีพ และลดการตีตราที่เกี่ยวข้องกับการขอความช่วยเหลือ

'พท.'จองกระทรวงเศรษฐกิจ คาดแบ่งเค้กเสร็จก่อนโหวตนายกฯ 1 วัน ไม่ต้องทำ'MOU'

16 ส.ค.66 นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าของการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ว่า ขณะนี้การเจรจาพูดคุยเรื่องกระทรวงกับพรรคร่วมต่าง ๆ ยังไม่สะเด็ดน้ำ คาดว่าแกนนำของพรรคร่วมฯ จะพูดคุยหารือกันเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ก่อนวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี 1 วัน ส่วนเมื่อคุยกันแล้วจะต้องเซ็น MOU ระหว่างพรรคร่วมฯ หรือไม่ นายวรวัจน์ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องเซ็น เหมือนการซื้อใจกันก่อนโหวตนายกฯ

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าแต่ละพรรควางตัวบุคคลจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆไว้นั้น นายวรวัจน์ กล่าวว่า ข่าวดังกล่าวไม่ได้ออกมาจากพรรคเพื่อไทย ที่ผ่านมายังไม่ได้หารือข้อสรุปเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จึงมีโอกาสจะดูแลรับผิดชอบกระทรวงเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง

“ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลได้เหมือนเดิมแน่นอน ตอนนี้ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลขึ้นอยู่กับการวัดใจ เพราะการตั้งรัฐบาลครั้งนี้ หากเพื่อไทยตั้งไม่ได้พรรคอื่นก็ตั้งไม่ได้แน่นอน” นายวรวัจน์ระบุ


'เอี่ยม'โดดรับข่าว'ทักษิณ'กลับไทย ท่องคาถาไม่เกี่ยวจัดตั้งรัฐบาลใหม่

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางกลับประเทศไทย ช่วงระหว่างวันที่ 21 หรือ 22 สิงหาคม 2566 ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณจะเดินทางกลับประเทศไทยวันใดเป็นสิทธิโดยชอบ ไม่เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เป็นการเดินทางกลับเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายปกติ ส่วนจะเดินทางกลับวันใด ลงสนามบินไหน เป็นสิทธิอันชอบของท่านที่จะเลือกตัดสินใจ

"นายกฯ ทักษิณเคยแจ้งว่าจะเดินทางกลับประเทศไทย ไม่เกิน 2 สัปดาห์จาก 10 ส.ค.เมื่อถึงกำหนดเวลาที่เหมาะสมท่านก็จะเดินทางกลับมา ซึ่งขอยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แต่อย่างใด" นายอนุสรณ์ กล่าว


รถไฟ‘ลาว-จีน’อานิสงส์ถึง‘ไทย’ส่งออก‘ทุเรียน’ไปแดนมังกรได้มากขึ้น

วันที่ 16 สิงหาคม 2566 สำนักข่าวซินหัวของจีน เสนอข่าว Thai durian shipments to China surge as China-Laos Railway boosts trade ระบุว่า การส่งออกทุเรียนของไทยไปยังจีนผ่านทางรถไฟจีน-ลาว ขยายตัวร้อยละ 365 ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 เนื่องจากระยะเวลาขนส่งที่สั้นกว่าและข้อได้เปรียบภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี โดย อรมน ทรัพย์ทวีธรรม (Auramon Supthaweethum) อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า เส้นทางรถไฟช่วยลดเวลาขนส่งเหลือเพียงไม่ถึง 15 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับทางถนนที่ใช้เวลาถึง 2 วัน นั่นจึงเป็นโอกาสของสินค้าไทยที่ไปตลาดจีน

การส่งออกผลไม้ของไทยไปยังจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ทางรถไฟจีน-ลาวเริ่มดำเนินการในเดือน ธ.ค. 2564 โดยการขนส่งผ่านจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยอย่างหนองคายซึ่งมีพรมแดนติดกับ สปป.ลาว มีมูลค่า 1,960 ล้านบาท (55 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในปี 2565 เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับมูลค่า 90.41 ล้านบาท (2.55 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในปี 2564

อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศของไทย ยังกล่าวด้วยว่า ผลไม้ไทยและการขนส่งอื่นๆ สามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เขตการค้าเสรีจีนและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ทั้งนี้ การส่งออกของไทยไปยังจีนโดยทางรถไฟจีน-ลาวมีมูลค่า 2,840 ล้านบาท (80.22 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในช่วงเดือนม.ค.-พ.ค. 2566 โดยร้อยละ 72 เป็นการส่งออกทุเรียนสด


‘ลูกพลับ’จาก‘ไทย’ขายดีเทน้ำเทท่าใน‘เวียดนาม’

วันที่ 16 สิงหาคม 2566 สำนักข่าว VnExpress International ของเวียดนาม เสนอข่าว Low prices make Thai persimmons popular ระบุว่า ลูกพลับกรุบกรอบนำเข้าจากไทยขายในราคา 35,000 ดองเวียดนาม (1.5 เหรียญสหรัฐ) ต่อกิโลกรัมที่ตลาดค้าส่งในเมืองโฮจิมินห์ ซึ่งทำราคาได้ถูกกว่าพันธุ์เวียดนามถึง 5,000-10,000 ดองเวียดนาม ส่งผลให้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า อาทิ My Linh แม่ค้าผลไม้ในย่าน Go Vap เปิดเผยว่า ตนใช้เวลาเพียง 2 วันก็ขายลูกพลับได้ถึง 100 กิโลกรัม จึงตัดสินใจเปลี่ยนมาขายลูกพลับจากไทยแทนเวียดนาม

เช่นเดียวกับ Thanh เจ้าของแผงผลไม้ในตลาด Ba Chieu ในย่าน Binh Thanh กล่าวว่า ลูกพลับของไทยมีสีเหลืองและหวานสะดุดตา จึงดึงดูดลูกค้า โดยตนสามารถขายลูกพลับบรรจุกล่อง น้ำหนักกล่องละ 10 กิโลกรัม ได้ 3-5 กล่องต่อวัน ในราคาขายปลีกอยู่ที่ 55,000-60,000 ดองเวียดนามต่อกิโลกรัม ในขณะที่ลูกพลับจากเมืองดาลัดของเวียดนาม ราคาจะอยู่ที่ 70,000-80,000 ดองเวียดนาม

รวมถึง Mai เจ้าของร้านผลไม้ใน Tan Binh เล่าว่า ตนขายลูกพลับไทยได้ในปริมาณคิดเป็นน้ำหนักระดับตัน (1,000 กิโลกรัม) ต่อวัน ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการเก็บเกี่ยวที่สูงขึ้นในปีนี้ ผลไม้จึงถูกส่งออกมายังเวียดนามในราคาที่ต่ำ โดยร้านของตนขายลูกพลับ 3 จาก 3 ประเทศ คือไทย จีน และดาลัด-เวียดนาม ปัจจุบันผลไม้ของไทยมีราคาต่ำที่สุด อีกทั้งยังมีสีและความสม่ำเสมอ (ในแง่ของขนาดและคุณภาพ) ดีกว่าของอีก 2 ชาติ ด้านผู้จัดการตลาดค้าส่งสินค้าเกษตร Thu Duc ระบุว่า ลูกพลับไทยวางขายในตลาดเป็นครั้งแรก และได้รับความนิยมเนื่องจากราคาถูก

ผู้นำสหรัฐฯเรียกจีน ‘ระเบิดเวลาที่กำลังเดิน’ จากปัญหาเศรษฐกิจภายใน

วอชิงตัน/สิงคโปร์ (รอยเตอร์ส/เอ็นเอชเค/ซีซีทีวี) - ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯได้ระบุถึงจีนว่าเป็น “ระเบิดเวลาที่นาฬิกากำลังเดินอยู่” เมื่อกล่าวถึงเศรษฐกิจจีนที่เติบโตอย่างซบเซา ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ระบุถึงสหรัฐฯ ว่าเป็น “ปัจจัยที่ทำลายเสถียรภาพมากที่สุดในโลก”

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวที่งานระดมทุนทางการเมืองในรัฐยูท่าห์ โดยชี้ถึงปัญหาทางเศรษฐกิจสำคัญของจีนที่ซ่อนอยู่ รวมไปถึงอัตราการว่างงานที่สูงพร้อมแสดงความกังวลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการออกนโยบายของรัฐบาลจีนโดยระบุว่า จีนว่าเป็น “ระเบิดเวลาที่นาฬิกากำลังเดินอยู่” และชี้ว่าเมื่อคนไม่ดีมีปัญหา เขาจะทำเรื่องไม่ดีอย่างไรก็ดี ไบเดนเน้นย้ำว่า สหรัฐฯ ปรารถนาที่จะแข่งขัน แต่ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับจีน อีกทั้งยังระบุว่าเขาตั้งตารอที่จะมีความสัมพันธ์ที่อยู่บนเหตุผลกับจีน

ด้าน จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า คำกล่าวของไบเดนระบุถึงความตึงเครียดภายในประเทศจีนที่อาจส่งผลกระทบต่อวิธีการที่จีนมีปฏิสัมพันธ์กับโลก และว่าสหรัฐฯ กับจีนได้ตกลงที่จะหารือกันต่อไป เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งเป้าที่จะทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีมีเสถียรภาพ

ขณะเดียวกัน หวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีน ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนสิงคโปร์ อันเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางเยือนประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กล่าวระหว่างพบหารือกับนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง ของสิงคโปร์ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ว่า สหรัฐฯ ยอมรับและสนับสนุนฝ่ายเรียกร้องเอกราชไต้หวันในการเชื้อเชิญให้สหรัฐสนับสนุนการเป็นเอกราช ซึ่งถือเป็นการล้ำเส้นแดงของจีน พร้อมกล่าวต่ออีกว่า สหรัฐฯ บังคับประเทศอื่นให้เข้าร่วมลัทธิคุ้มครองทางการค้าต่อจีนแต่เพียงข้างเดียว การกระทำที่เสื่อมถอยเช่นนี้รังแต่จะทำร้ายความน่าเชื่อถือของตนและพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า สหรัฐฯ ได้กลายเป็นปัจจัยที่ทำลายเสถียรภาพมากที่สุดในโลก

ด้านนายกรัฐมนตรีลี ของสิงคโปร์ได้แสดงความตั้งใจของเขาที่จะส่งเสริมความร่วมมือกับจีน มีรายงานว่า เขากล่าวว่าโลกปัจจุบันไม่มีสันติภาพและว่าสิงคโปร์คาดหวังให้ประเทศสำคัญๆ มีบทบาทนำโดยมองหาผลประโยชน์ร่วมและผลลัพธ์ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย