12 ก.ค.60 สื่อออนไลน์ของจีน แพร่ภาพของ นายสวี เฉียนไข่ พนักงานรถไฟชาวจีน วัย 29 ปี ซึ่งกลายเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ หลังจากเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่เขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่บนขบวนรถไฟ เขาพบคุณป้าคนหนึ่งเดินพุ่งเข้ามาในรางรถไฟ เพื่อจะข้ามไปอีกฝั่งบริเวณช่วงเขตหรงชาง เทศบาลนครฉงชิ่ง เขาจึงรีบกดปุ่มหยุดรถพร้อมเป่านกหวีดและตะโกนบอกเสียงดัง แต่คุณป้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินข้ามทางรถไฟ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น นายสวีจึงตัดสินใจกระโดดลงจากขบวนรถ และรีบผลักคุณป้าออกจากจุดอันตราย แต่การกระทำดังกล่าวก็ทำให้เขาถูกรถไฟพุ่งทับได้รับบาดสาหัสที่ขาขวา เนื่องจากดึงขาออกมาไม่ทัน จนสุดท้ายต้องตัดขาขวานั้นทิ้งไปหลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
ในเวลาต่อมา นายสวี บอกกับสื่อว่า ถึงแม้จะเสียขาไปข้างหนึ่ง แต่ก็สามารถช่วยหนึ่งชีวิตไว้ได้ หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ผมก็ยังจะทำเช่นเดิม
ขณะที่มีรายงานว่า คุณป้าที่เขาช่วยชีวิตไว้ได้มาเยี่ยมที่โรงพยาบาล และคุกเข่าลงกับพื้นต่อหน้าเขาเพื่อกล่าวคำขอบคุณ ทั้งนี้ หลังเหตุการณ์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตและผู้คนต่างแสดงความคิดเห็นชื่นชมการกระทำของเขาเป็นจำนวนมาก
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กล่าวถึงการจัดซื้อเครื่องบินของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากเกาหลีมูลค่ากว่า 8,800 ล้านบาทว่า เป็นเงินจำนวนมาก ถ้าย้อนกลับไปดูในอดีต ตั้งแต่เราจัดซื้อเครื่องบินรบไอพ่นมา ตั้งแต่ F-5, F-5E และ F-16A,B ไทยก็ไม่เคยไปรบพุ่งกับใคร และถ้าเป็นไปได้ อยากให้กองทัพลองพิจารณาทบทวนใหม่ และเปลี่ยนเป็นการจัดซื้อเครื่องจำลองการบินของเครื่องบินขับไล่รุ่นนี้จากเกาหลีแทน น่าจะประหยัดและถูกกว่ามาก อีกทั้งเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบแอนิเมชั่นพัฒนาไปไกลมาก ดังนั้นการซื้อเครื่องจำลองการบินน่าจะเป็นประโยชน์และประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้มากกว่า รัฐบาลจะได้นำเงินส่วนต่างไปช่วยเหลือเกษตรกร ที่ผลผลิตการเกษตรราคาตกต่ำอยู่ในขณะนี้ และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีงานทำ
“ถึงเวลาที่รัฐบาลทหารควรต้องคิดบริหารงานประเทศในเชิงธุรกิจบ้างแล้ว จะต้องมองผลลัพธ์และผลตอบแทนกลับคืนมาในเชิงเศรษฐศาสตร์บ้าง เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ดีกินดี มีรายได้ มีงานทำ ได้แล้ว และรัฐบาล คสช. ต้องหันหลังกลับมามองและยอมรับความจริงได้แล้วว่าภาพรวมของเศรษฐกิจในระดับล่างประชาชนเป็นอย่างไร การลดค่าใช้จ่ายและการเพิ่มรายได้ในครัวเรือนของประชาชนที่รัฐบาล คสช. บริหารมาแล้ว 3 ปี มีผลลัพธ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร สำนักงานสถิติแห่งชาติได้ออกเดินสำรวจข้อมูลเหล่านี้กันหรือไม่ ไม่ใช่เอาแต่วาดฝันว่าถ้าเราเป็นไทยแลนด์ 4.0 แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ในขณะที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอยอยู่อย่างเช่นทุกวันนี้” นายสุรพงษ์กล่าว
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 12 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าคดีชายฉกรรจ์ยกพวกบุกบ้านนายวรยุทธ สังหลัง ผู้ใหญ่บ้านเมืองกระบี่ พร้อมยิงทิ้งยกครอบครัวเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย บาดเจ็บ 3 คน ว่า คงไม่ต้องไปกำชับอะไรในคดีดังกล่าว เพราะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เดินทางลงพื้นที่ ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
เมื่อถามว่า แต่มีการเชื่อมโยงผู้ลงมือกระทำเกี่ยวข้องคนมีสี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “ใครล่ะ ให้ไปหากันมา ผมบอกแล้วไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย พวกสื่อก็ชอบย้ำอยู่นั่นแหละว่า คนร้ายเป็นเจ้าหน้าที่สวมเครื่องแบบ สื่อก็ยุ่งกับไอ้เรื่องพวกนี้”
เมื่อถามว่า มีการรายงานความคืบหน้าหรือยังว่าคดีที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับประเด็นใด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปฏิเสธว่า ยังไม่มีการรายงานอะไรขึ้นมา ทาง ผบ.ตร.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ต้องไปตรวจสอบกันก่อน ไม่ใช่ว่าไปทำวันเดียวแล้วเสร็จ เรื่องนี้ตั้งไว้หลายสาเหตุ ทั้งเรื่องของความขัดแย้ง ชู้สาว ขัดแย้งผลประโยชน์ในพื้นที่ เรื่องแบบนี้สอบได้ไม่ง่าย
“เสียใจกับครอบครัวที่ถูกฆาตกรรมด้วย นี่หรือแผ่นดินธรรม พวกคนก็จะเอาแต่เรื่องการเมืองมากอดไว้ มันไม่ได้ เราต้องช่วยกันแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ และต้องไม่เกิดขึ้นอีก วันนี้เราก็ต้องใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานกันอยู่ดี จะไปบอกว่าตำรวจไว้ใจไม่ได้ มันไม่ใช่ เพราะตำรวจที่ดีก็ตั้งใจทำงาน ส่วนคนไม่ดีก็เอาออกไป ลงโทษด้วยกลไกทางกฎหมาย กระบวนการตรวจสอบที่ชัดเจนเท่านั้นเอง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
12 ก.ค.60 นายแบบผิวสีคนแรกของเกาหลีใต้ฝ่าด่านคำวิจารณ์และการถูกเหยียดเพศ จนสามารถสร้างชื่อบนแคตวอล์กได้สำเร็จ
ฮัน ยุน-มิน นายแบบวัยเพียง 16 ปี มีความแตกต่างจากนายแบบเกาหลีทั่วไป ตรงที่เป็นลูกครึ่งผิวดำคนแรกของประเทศ เพราะมีพ่อเป็นชาวไนจีเรีย เขากำลังเป็นดาวรุ่งของวงการแฟชั่นในประเทศที่เป็นหนึ่งในผู้นำด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างเกาหลีใต้ แต่ก็มีการกีดกันทางเพศและเชื้อชาติเข้มข้นด้วยเหมือนกัน ทำให้ นายยูน บัม ผู้จัดการที่เห็นแววของฮัน ตั้งแต่อายุ 14 ปี และดึงเข้าสังกัดเมื่อปีที่แล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ ถึงจะมีงานถ่ายแฟชั่นเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ถือว่าไม่เลวสำหรับมือใหม่
แม้นายฮันจะหน่วยก้านดีและขายาว มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนนายแบบคนอื่น แต่ช่วงแรกๆ เขาก็ถูกปฏิเสธจากดีไซเนอร์และบรรณาธิการนิตยสารต่างๆ อย่างไม่ใยดี เพราะเห็นนายแบบผิวดำคือโชคไม่ดีตามความเชื่อของคนเกาหลี และขอให้หานายแบบผิวขาวแทน แต่ปัจจุบันเริ่มมีกระแสตอบรับดีขึ้นมาก
ขณะที่นายฮัน เล่าประสบการณ์ขมขื่นที่โรงเรียน ที่ผู้ปกครองห้ามลูกๆ เล่นกับเด็กลักษณะอย่างนี้ เวลาไปไหนก็มักมีคนมองอย่างดูแคลน ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งถามว่าเขามาทำอะไรในประเทศของคนอื่น ทำให้รู้สึกอยากจะหายตัวไปเลย กระทั่งพบทางออกในแฟชั่น พยายามเข้าประกวดตามโมเดลลิ่ง และโพสต์รูปลงสื่อสังคมออนไลน์จนถูกแมวมองอย่าง นายยูน บัม เห็นแววชวนเข้าวงการ
นายฮัน บอกว่า ตอนนี้หวังจะประสบความสำเร็จให้มาก เพื่อเป็นแบบอย่างของเด็กหลากเชื้อชาติหรือลูกครึ่งคนอื่นๆ ในเกาหลีใต้ กรณีทำนองนี้เคยเกิดขึ้นในญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว หลัง อาเรียนา มิยาโมโตะ สาวลูกครึ่งผิวสี ชนะประกวดมิสยูนิเวิร์สเจแปน แม้จะถูกวิจารณ์ว่าไม่เป็นญี่ปุ่นเพียงพอที่จะเป็นตัวแทนประเทศไปประกวดชิงมงกุฎมิสยูนิเวิร์สก็ตาม
12 ก.ค.60 เว็บไซต์สำนักข่าว Fox News ของสหรัฐอเมริกา รายงานว่า มลรัฐเท็กซัส (Texas) ออกกฎหมายอนุญาตให้ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป สามารถพกพาอาวุธประเภทของมีคม เช่น มีด ดาบ ที่มีความยาวมากกว่า 5 นิ้วครึ่ง ในที่สาธารณะได้ โดยกฎหมายจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ก.ย.60 เป็นต้นไป
นายเอเจ โพสเทล (AJ Postell) ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Lone Star Gun Rights ซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิการครอบครองอาวุธของชาวเท็กซัส เปิดเผยว่า กฎหมายใหม่นี้เป็นการตัดปัญหาข้อกฎหมายคลุมเครือแล้วต้องใช้การตีความ โดยเมื่อกฎหมายมีผลบังคับ ประชาชนจะสามารถพกพาอาวุธประเภทกริช หรือมีดสั้น (Dagger , Double-Edged Knives , Dirks) แม้กระทั่งประเภทดาบ หรือกระบี่ (Sword) โดยประเด็นที่กลุ่มเคลื่อนไหวใช้ต่อสู้เรียกร้องสิทธิครั้งนี้ เพราะที่ผ่านมาชาวเท็กซัสแม้จะซื้อหาอาวุธเหล่านี้อย่างถูกกฎหมายแต่มีปัญหาในการครอบครอง
อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายใหม่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ก.ย.60 เป็นต้นไป แต่มีบางพื้นที่ที่ยังต้องห้ามการพกพาอาวุธเข้าไป อาทิ สถานบันเทิง สถาบันการศึกษา ศาสนสถาน ท่าอากาศยาน สถานที่ราชการ โรงพยาบาล เรือนจำหรือสถานที่คุมขังผู้กระทำผิด สถานที่จัดการแข่งขันกีฬา และสถานที่จัดการเลือกตั้ง นอกจากนี้ อาคารสถานประกอบการธุรกิจที่เจ้าของสถานที่หรือพนักงานผู้ดูแลสถานที่รู้สึกไม่ปลอดภัยที่เห็นใครพกพาอาวุธเหล่านี้เข้าไป สามารถร้องขอให้นำออกไปเก็บไว้ก่อนในยานพาหนะของผู้พกพานั้นได้
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้มลรัฐเท็กซัสเคยเป็นข่าวฮือฮามาแล้ว หลังปรากฏภาพประชาชนต่างพกพาอาวุธทั้งปืนพกสั้น หรือสะพายปืนยาวลูกซองและไรเฟิลกันอย่างเปิดเผย สืบเนื่องจากมีการออกกฎหมายอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนในที่สาธารณะได้ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.59 เป็นต้นมา
12 ก.ค.60 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กลุ่มติดอาวุธโบโกฮาราม ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดพลีชีพ เมื่อคืนวันอังคารที่ 11 ก.ค.60 ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น โดย 4 คนร้าย ได้โจมตีในเมือง Maiduguri ทางตะวันออกเฉียงเหนือของในจีเรีย โดยมุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ ขณะที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 ราย โดย 12 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ ส่วน 9 ราย เป็นชาวบ้าน และยังมีผู้บาดเจ็บอีก 23 ราย
ตำรวจไนจีเรีย กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าว นับเป็นการโจมตีที่ร้ายกาจที่สุดในหลายเดือนที่เกิดขึ้นในเมือง Maiduguri ซึ่งเป็นวันครบรอบ 8 ปีของกลุ่มโบโกฮาราม ด้วย
ด้าน โฆษกของกองกำลังป้องกันตนเอง กล่าวว่า คนร้ายที่ก่อเหตุนั้น ซึ่งมีผู้หญิงรวมอยู่ด้วย มุ่งเป้าไปที่เพื่อนร่วมงานของเขาในขณะที่กำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ และเป้าไปที่บังเกอร์ของลูกชายทั้ง 3 คนของพวกเขา
รายงานข่าวระบุว่า กลุ่มติดอาวุธโบโกฮาราม ได้ใช้เด็กผู้หญิงและหญิงสาวมากขึ้นในการโจมตีตลาด จุดตรวจ และเป้าหมายอื่นๆ ผู้หญิงที่หนีออกจากกลุ่มหัวรุนแรงได้เปิดเผยว่า เด็กผู้หญิงถูกบังคับให้กินยาและบังคับให้ทำภารกิจฆ่าตัวตาย
ทั้งนี้ แม้รัฐบาลไนจีเรีย จะประกาศเมื่อปลายปีที่แล้ว ได้จัดการ กลุ่มโบโกฮารามแล้ว แต่การโจมตีที่ร้ายแรงยังคงดำเนินต่อไป การประท้วงของกลุ่มหัวรุนแรงของชาวมุสลิมได้ทำลายผู้คนกว่า 20,000 คน ลักพาตัวอีกนับพันคน และชาวบ้านอพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ ระบุว่า ไนจีเรีย นับเป็นประเทศ ที่วิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกในรอบ 70 ปีที่ผ่านมา โดยโครงการอาหารโลกคาดการณ์ว่ากว่า 4.5 ล้านคนในภูมิภาคนี้ ต้องการความช่วยเหลือด้านอาหารในกรณีฉุกเฉิน
11 ก.ค.60 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เกาหลีใต้ ได้เผยแพร่ภาพวิดีโอของหญิงบำเรอ(Comfort women) ซึ่งมีการค้นพบเป็นครั้งแรกจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐ ซึ่งนับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นใหม่ที่ยืนยันถึงการมีอยู่ของหญิงบำเรอในกองทัพญี่ปุ่น เพิ่มเติมจากหลักฐานในปัจจุบันที่มีเพียงรูปถ่าย และคำบอกเล่าของอดีตหญิงบำเรอที่ยังมีชีวิตอยู่
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซล ซึ่งได้รับทุนจากรัฐบาลเกาหลีใต้ ค้นพบคลิปวิดีโอดังกล่าว ซึ่งมีความยาว 18 วินาที เป็นวิดีโอที่กองกำลังร่วมจีน-สหรัฐ บันทึกไว้ได้ที่มณฑลยูนนานของจีน เมื่อปี 2487 หลังปลดปล่อยพื้นที่ดังกล่าวจากการยึดครองของญี่ปุ่นแล้ว
ภาพในวิดีโอเผยให้เห็นหญิงบำเรอ 7 คน ยืนเรียงแถวพูดคุยกับทหารจีนยศร้อยเอกผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้บังคับการกองทหารจีนที่อยู่ในกองกำลังร่วมจีน-สหรัฐ
กลุ่มนักรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้หญิงบำเรอ ซึ่งคาดว่ามีหญิงจำนวนมากถึง 200,000 คน จากเกาหลี จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน ถูกบังคับเกณฑ์ไปเป็นทาสบำเรอกามให้ทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นปมขัดแย้งสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น โดยเกาหลีใต้มองว่าญี่ปุ่นแสดงการขออภัยต่อเหตุการณ์ในอดีต และมอบเงินชดเชยให้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อบำเรอกามไม่มากพอ
เมื่อปี 2558 เกาหลีใต้และญี่ปุ่นบรรลุข้อตกลงให้รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงขออภัยอย่างเป็นทางการและจ่ายเงินชดเชยมูลค่า 1,000 ล้านเยน หรือราว 300 ล้านบาท ให้อดีตหญิงบำเรอชาวเกาหลีใต้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 46 คนด้วย
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งในเรื่องดังกล่าวยังคงไม่ยุติ โดยเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้เรียกตัวเอกอัครราชทูตประจำเกาหลีใต้กลับประเทศชั่วคราว หลังมีการนำรูปปั้นอนุสาวรีย์สันติภาพ ซึ่งเป็นรูปปั้นหญิงสาววัยรุ่นที่เป็นสัญลักษณ์แทนหญิงบำเรอ ไปตั้งไว้หน้าสถานกงสุลญี่ปุ่นในเมืองปูซาน และที่หน้าสถานกงสุลญี่ปุ่นในกรุงโซล ซึ่งทางการญี่ปุ่นไม่พอใจและเรียกร้องให้นำรูปปั้นดังกล่าวออกไป
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012