2 ก.ค. 2568 นสพ.The Phnom Penh Post ของกัมพูชา รายงานข่าว Baht bills banned: EAC order halt to Thai currency billing on border ระบุว่า การไฟฟ้าแห่งประเทศกัมพูชา (EAC) ได้สั่งให้บริษัทจำหน่ายไฟฟ้า 2 แห่งตามแนวชายแดนกัมพูชา - ไทยหยุดออกใบแจ้งหนี้เป็นเงินบาททันที โดยการตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่กัมพูชาหยุดการนำเข้าไฟฟ้าจากไทยโดยสมบูรณ์
ในการประกาศเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 EAC ได้สั่งให้บริษัท 2 แห่ง ได้แก่ LYP Group ซึ่งเป็นของ Ly Yong Phat ซึ่งจำหน่ายไฟฟ้าในจังหวัดเกาะกงและพื้นที่ O'Smach ในจังหวัด Oddar Meanchey ในอำเภอ Samraong และ Anco Group ซึ่งเป็นของ Kok An ซึ่งจำหน่ายไฟฟ้าในเมืองปอยเปตในจังหวัด Banteay Meanchey ให้หยุดการดำเนินการดังกล่าว เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลกัมพูชาได้หยุดนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศไทยโดยสมบูรณ์แล้ว EAC จึงขอให้หยุดการออกใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าและบริการอื่นๆ ที่เป็นสกุลเงินบาทของไทย
ความขัดแย้งทางทหารที่เกิดจากกองกำลังทหารไทยและภัยคุกคามจากกลุ่มหัวรุนแรงไทยที่เสนอให้ตัดไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ตไปยังกัมพูชา ทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องสั่งระงับการซื้อไฟฟ้าจากไทย โดยเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 12 มิ.ย. 2568 นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต (Hun Manet) สื่อสารผ่านบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ของตนเอง ว่า เพจเฟซบุ๊กหลายแห่งในประเทศไทยเพิ่งแชร์ภัยคุกคามจากกลุ่มหัวรุนแรงไทยบางกลุ่มที่จะตัดไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ตไปยังกัมพูชา
“เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนหรือความากลำบากที่อาจเกิดขึ้นกับฝ่ายไทย (รัฐบาลไทย) ในการตัดสินใจว่าจะตัดกระแสไฟฟ้าและอินเ9อร์เน็ตเมื่อใดหรืออย่างไร กัมพูชาจึงตัดสินใจที่จะจัดหาไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ตเอง” โพสต์ของฮุน มาเนต ระบุ
Lor Vichet รองประธานสมาคมการค้าจีนในกัมพูชา (CCCA) กล่าวในวันที่ 2 ก.ค. 2568 ว่า รัฐบาลกัมพูชากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้พลเมืองกัมพูชาใช้เงินเรียลในการชำระเงินทุกประเภท ซึ่งจากเรื่องนี้ ตนเชื่อว่าคำขอของ EAC ที่ต้องการยุติการเรียกเก็บเงินเป็นเงินบาทไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างกัมพูชาและไทยในปัจจุบัน ถือเป็นการเคลื่อนไหวในเชิงบวก เขากล่าวว่าการใช้เงินเรียลที่เพิ่มขึ้นจะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างมากต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชา
“นี่เป็นโอกาสสำหรับรัฐบาล ตลอดจนพลเมืองกัมพูชาทุกคนในการไตร่ตรองถึงความสำคัญของการเสริมสร้างมูลค่าของสกุลเงินประจำชาติ การใช้เงินเรียลยังช่วยเสริมสร้างความสามัคคีในชาติอีกด้วย” รองประธานสมาคมการค้าจีนในกัมพูชา (CCCA) กล่าว
2 กรกฎาคม 2568 นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...
รัฐบาลหงอเกิน
วันนี้ ฮุนมาเน็ตห้ามไทยละเมิด 4 พื้นที่ รัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศเราปล่อยให้ชาติเล็กๆ มาพูดจาวางกล้าม ห้ามไทยปิดกั้นการเข้า 4 ปราสาทพิพาท
เราต้องหงอ ยอมให้กัมพูชาอวดเบ่ง ปราสาทที่ฝ่ายนั้นอ้างว่าเป็นพื้นที่พิพาท ไทยยืนยันมาตลอดว่าเป็นของไทย เราเปิดโอกาสให้คนต่างชาติมาท่องเที่ยวได้ เหมือนที่เราต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วไป
แต่ไม่ใช่ให้มาเคลมว่าเป็นของตน สงสัยต้องให้มีการเก็บเงินค่าเข้าชมปราสาท แต่ไม่อยากให้ฝ่ายนั้นพูดเคลมฝ่ายเดียว รัฐบาลและต่างประเทศต้องชี้แจงตอบโต้ด้วย
อย่าปล่อยให้ทหารต้องทำงานฝ่ายเดียว ทุกส่วนราชการต้องทำงานร่วมกัน
1 กรกฎาคม 2568 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ผ่านเพจ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ระบุว่า..
เพื่อไทย (รัฐบาล) VS ภูมิใจไทย (ฝ่ายค้าน)
นับเป็นครั้งแรกที่ “พรรคภูมิใจไทย” ได้เป็น “ฝ่ายค้าน”
การเป็นฝ่ายค้านสามารถทำประโยชน์เพื่อบ้านเมืองได้มาก ไม่ใช่จ้องจะเป็นรัฐบาลอย่างเดียว ถึงแม้ไม่ได้บริหารบ้านเมือง แต่สามารถทำประโยชน์โดยการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้ เป็นคุณประโยชน์ให้ฝ่ายบริหารต้องระวังตัว
อย่างยุคผมเป็นฝ่ายค้านพูดเรื่อง “บ่อนรัชดา” เปิดคลิปแฉกลางสภาวันเปิดอภิปรายวันแรก ถึงขนาดรัฐบาลอยู่ไม่เป็นสุข ต้องย้าย ผบ.ตร.
แถมยังพาลลามไปถึงตำรวจใหญ่ ต้องย้ายนิวาสสถานไปอยู่คุก เพราะไปพัวพันผลประโยชน์ของบ่อนเข้าไปอีก
เรียกว่าหากฝ่ายค้านข้อมูลแน่น มีหลักฐาน หรือคนอภิปรายนำเสนอได้ดี เรียงลำดับความเข้าใจไม่วกวน มีลีลาประกอบฉากไม่ให้น่าเบื่อ ไม่อภิปรายเหมือนท่องอาขยานเป็นนกแก้วนกขุนทอง จะสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนรัฐบาลได้อย่างมาก
ฝ่ายค้านยังสามารถทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ หรือทำเรื่องใหญ่ให้ใหญ่ขึ้นไปอีก จากข้อมูลที่มี ในอดีตแค่ฝ่ายค้านคนเดียว อภิปรายด้วยกระดาษแผ่นเดียวในมือ ทำให้รัฐบาลล้มมาแล้วก็มี
ยิ่งการที่พรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาลมาโดยตลอด ข้อมูลมีมากบานเบอะ อยู่ที่จะเอามาใช้ถูกที่ถูกเวลา หรือถูกเอาคืนหรือไม่?
การประสานงานกันระหว่างพรรคประชาชนที่ได้แค่ “เกือบเป็นรัฐบาล” ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านมาตลอด ไม่เคยเป็นรัฐบาลกับเขาสักครั้ง กับพรรคภูมิใจไทยที่เคยเป็นแต่รัฐบาล ไม่เคยเป็นฝ่ายค้านสักครั้งเหมือนกัน
ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตา
ยิ่งช่วงนี้พรรคเพื่อไทยสถานการณ์เพลี่ยงพล้ำขั้นสุด ตกเป็นเบี้ยล่างจากเรื่อง “คลิปหลุด“ ถึงขนาด นายกฯ ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ กลายเป็น “เผือกร้อน” ของรัฐบาล
แต่เป็น “เผือกหวาน” ของฝ่ายค้าน
การตัดสินใจของพรรคภูมิใจไทยไปเป็นฝ่ายค้าน จะด้วยถูกบีบหรืออย่างไรก็แล้วแต่ ถือว่างานนี้ต้องชมเชยในการตัดสินใจ เพราะการเมืองเมื่อถึงเวลาจะต้อง “ยอมหัก ไม่ยอมงอ”
แล้วยิ่ง นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ทำเสียงอ่อนเสียงหวาน จ๊ะจ๋า ร้องเรียก “อังเคิ่ล อังเคิ่ล อยากได้อะไรขอให้บอก เดี๋ยวจัดการให้ แม่ทัพอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา”
ฝ่ายค้านยุคสมัยผมหากได้ยินแบบนี้ต้องบอกว่า
“แค่ผลักเบาๆ รัฐบาลก็ล้มแล้ว ”
2 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สายการบินแควนตัส (Qantas) สายการบินใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย ออกแถลงการณ์ว่า แฮกเกอร์ได้เล็งเป้าหมายเป็นศูนย์บริการลูกค้าแห่งหนึ่ง แล้วเข้าถึงแพลตฟอร์มบริการลูกค้าซึ่งเป็นบริษัทภายนอกที่มีข้อมูลของลูกค้า 6 ล้านรายประกอบด้วยชื่อ ที่อยู่อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ วันเดือนปีเกิด และหมายเลขบัตรสมาชิกสะสมไมล์
สายการบินแควนตัส ทราบเรื่องนี้หลังจากตรวจพบกิจกรรมผิดปกติบนแพลตฟอร์มดังกล่าว และได้เร่งดำเนินการควบคุมการเจาะระบบโดยทันที ขณะนี้ยังคงอยู่ระหว่างการตรวจสอบจำนวนข้อมูลที่ถูกขโมย ซึ่งคาดว่าจะมีสัดส่วนสำคัญ และยังไม่พบว่ามีผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือความปลอดภัย
โดยครั้งนี้เป็นการเจาะระบบครั้งใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย หลังจากออปตัส ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมและเมดิแบงก์ บริษัทประกันสุขภาพชั้นนำถูกเจาะระบบขโมยข้อมูลลูกค้าแห่งละ 9.7 ล้านรายในปี 2565 และทำให้ออสเตรเลียต้องออกกฎหมายกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น
ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI)ของสหรัฐแจ้งว่า กลุ่มแฮ็กเกอร์ชื่อสแคตเตอร์สไปเดอร์ได้เล็งเป้าหมายเป็นสายการบิน โดยที่สายการบินฮาวายเอียนแอร์ไลน์ของสหรัฐและสายการบินเวสต์เจ็ตของแคนาดาได้แจ้งแล้วว่า ถูกเจาะระบบ
2 ก.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว As USAID stops foreign aid, Rubio says future US assistance will be limited อ้างการเปิดเผยของ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (USAID) จะยุติการช่วยเหลือต่างประเทศอย่างเป็นทางการ และ USAID จะถูกยุบรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่ต้องการลดขนาดภาครัฐของสหรัฐฯ ให้เล็กลง
“สหรัฐฯ กำลังละทิ้งสิ่งที่เรียกว่ารูปแบบที่เน้นการกุศล และจะมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมให้ประเทศต่างๆ เติบโตอย่างยั่งยืน เราจะสนับสนุนประเทศต่างๆ ที่แสดงให้เห็นทั้งความสามารถและความเต็มใจที่จะช่วยเหลือตนเอง และจะจัดสรรทรัพยากรของเราไปยังพื้นที่ที่สามารถสร้างผลกระทบแบบทวีคูณและกระตุ้นภาคเอกชนที่ยั่งยืน รวมถึงบริษัทอเมริกันและการลงทุนทั่วโลก” รูบิโอ กล่าว
ในแถลงการณ์ที่ออกโดยรูบิโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ได้อธิบายว่า รูปแบบใหม่นี้จะให้ความสำคัญกับการค้าและการลงทุนมากกว่าความช่วยเหลือ และจะทำให้สหรัฐฯ อยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งขึ้นในการต่อต้านจีน ทั้งนี้ นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ได้ระงับและลดเงินช่วยเหลือต่างประเทศหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ โดยระบุว่าต้องการให้แน่ใจว่าเงินภาษีของพลเมืองอเมริกันจะถูกนำไปใช้เฉพาะกับโครงการที่สอดคล้องกับนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์เท่านั้น
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า การปรับลดงบประมาณทำให้ USAID ต้องปิดตัวลงไปโดยปริยาย ส่งผลให้บุคลากรและผู้รับเหมางานหลายพันคนต้องถูกเลิกจ้าง ตลอดจนการส่งมอบอาหารและความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่ช่วยชีวิตไว้ได้ตกอยู่ในอันตราย ทำให้ปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมทั่วโลกตกอยู่ในความโกลาหล ตามการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ The Lancet การตัดงบประมาณ USAID อย่างหนักและการยุบเลิกอาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากกว่า 14 ล้านคนภายในปี 2573
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนและผู้สนับสนุนได้เตือนถึงการตัดงบประมาณดังกล่าว ซึ่งการจัดสรรงบประมาณของ USAID มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงสุขภาพทั่วโลก โดยมุ่งเน้นไปที่ประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยกเลิกสัญญาสำคัญในการจัดหาชุดฉุกเฉินสำหรับผู้รอดชีวิตจากการข่มขืนในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกตะวันออก เนื่องจากความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในปี 2568 ทำให้ผู้คนหลายพันคนไม่สามารถเข้าถึงยาที่ช่วยชีวิตได้ ตามการเปิดเผยขององค์การสหประชาชาติ (UN) และกลุ่มบรรเทาทุกข์
USAID ก่อตั้งขึ้นในปี 2504 โดยประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) จากพรรคเดโมแครตในช่วงที่สงครามเย็นรุนแรงที่สุด โดยมีเป้าหมายเพื่อประสานงานความช่วยเหลือต่างประเทศให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นฐานสำคัญของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในการต่อต้านอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่นำโดยสหภาพโซเวียต รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผู้บริจาคความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นอย่างน้อยร้อยละ 38 ของเงินบริจาคทั้งหมดที่บันทึกโดยสหประชาชาติ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้จ่ายเงินช่วยเหลือต่างประเทศ 61,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนดังกล่าวผ่าน USAID
หนึ่งในโครงการที่ได้รับผลกระทบจากการตัดงบประมาณคือแผนฉุกเฉินของประธานาธิบดีสำหรับการบรรเทาทุกข์ด้านเอดส์ (PEPFAR) ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มด้าน HIV/AIDS ชั้นนำของโลก โดยภูมิภาคแอฟริกาใต้สะฮารายังคงเป็นศูนย์กลางของการระบาดของโรคเอดส์ การตัดงบประมาณของทรัมป์ได้จำกัดการเข้าถึงยาที่ชาวแอฟริกันหลายล้านคนใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะชุมชนที่เปราะบาง เช่น ชายรักชาย (Gay) และผู้ขายบริการทางเพศ ในขณะที่กลุ่มช่วยเหลือและระบบสาธารณสุขในแอฟริกาพยายามอย่างหนักเพื่อหยุดยั้งการระบาดของโรค
ทรัมป์กล่าวว่าสหรัฐฯ จ่ายเงินช่วยเหลือต่างประเทศอย่างไม่สมส่วน และเขาต้องการให้ประเทศอื่นแบกรับภาระมากขึ้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศที่ให้ข้อมูลโดยขอไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวถึง USAID ว่าเป็นการมีส่วนร่วมที่ล้มเหลว ซึ่งไม่ได้ลดความพึ่งพาของต่างประเทศที่มีต่อสหรัฐฯ และย้ำว่าประเทศอื่นๆ จำเป็นต้องก้าวขึ้นมา สหรัฐฯ ต้องการเห็นการลงทุนจากพันธมิตรมากขึ้น เห็นการลงทุนร่วมกัน เห็นข้อตกลงการค้า ข้อตกลง และความตกลงในการทำงานร่วมกัน
รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า การปิด USAID ทำให้ 2 อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ บุช (George Bush) และ บารัค โอบามา (Barack Obama) ซึ่งเข้าร่วมการประชุมทางวิดีโอแบบปิดกับชุมชน USAID ออกมาตำหนิอย่างหนัก ขณะที่เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2568 สำนักข่าว AP รายงานว่า การทำลาย USAID เป็นเรื่องน่าเศร้าและน่าสลดใจ เพราะเป็นงานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในทุกที่ของโลก
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012