13 ส.ค. 2564 : องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ เห็นชอบให้มีการฉีดวัคซีนเข็ม 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเฉพาะกับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง แต่ยังไม่อนุมัติใช้ในกลุ่มประชาชนทั่วไป
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ที่อยู่ในข่ายที่จะได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันเข็มที่ 3 คือกลุ่มที่ถูกจัดว่ามีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่ กลุ่มผู้ที่มีการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ กลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง และกลุ่มโรคร้ายแรงอื่นๆ ที่มีอยู่นับล้านคนในประเทศ แต่ยืนยันยังไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิเข็ม 3 ให้แก่กลุ่มประชาชนทั่วไป โดยวัคซีนที่จะนำมาใช้กระตุ้นภูมิ จะเป็นวัคซีนจากทั้งค่ายไฟเซอร์ และโมเดอร์นา
ขณะเดียวกันก็ยังมีคำเตือนมายังประชาชนทั่วไปแม้จะฉีดวัคซีนแล้ว แต่อย่าให้การ์ดตก โดยยังคงต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ทั้งการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ และหลีกเลี่ยงการเข้าไปยังสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก เพื่อช่วยป้องกันอีกทาง
ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่เชื้อกลายพันธุ์เดลตากำลังระบาดหนักทั่วประเทศ ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิตมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็มีหลายประเทศที่เริ่มฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิเข็ม 3 ให้แก่ประชาชนแล้ว ทั้งอิสราเอลและเยอรมนี หลังจากพบการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์เดลตา
ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้มีปัญหาด้านสุขภาพ เพราะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า การฉีดวัคซีนเพิ่มไปจะเกิดประโยชน์มากน้อยเพียงใด โดยก่อนหน้านี้ บริษัทไฟเซอร์ ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป โดยประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงจาก 96 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง 84 เปอร์เซ็นต์หลังจากรับวัคซีนโดสที่สองไปแล้วราว 4 เดือน ขณะที่บริษัทโมเดอร์นาก็ระบุว่า ผู้ที่รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว มีแนวโน้มที่จะต้องรับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 อีก โดยเฉพาะเพื่อรับมือกับการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์เดลตา
อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกได้เรียกร้องให้ประเทศร่ำรวยอย่ารีบฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิให้ แก่ประชาชน โดยขอให้ประวิงเวลาไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้นำวัคซีนที่มีไปแจกจ่ายให้แก่ประเทศที่ยังขาดแคลนก่อน
ที่มา : แชนแนลนิวส์เอเชีย
13 ส.ค. 2564 : เกิดน้ำท่วมฉับพลันซ้ำเติมตุรกี บริเวณจังหวัดชายฝั่งทะเลดำทางตอนเหนือของประเทศ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 17 ศพแล้ว ขณะที่สถานการณ์ไฟป่ารุนแรงทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ยังไม่บรรเทาลง เว็บไซต์ข่าวบีบีซี รายงานว่า เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในหลายจังหวัดทางภาคเหนือของตุรกี
ที่ชายฝั่งติดกับทะเลดำ อย่างจังหวัดบาร์ติน คาสตาโมนู ไซนอป และแซมซัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 17 ศพ สูญหายอีก 1 ราย ประชาชนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนกว่า 1,400 คน
รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องนำเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยบินค้นหาประชาชนที่ติดอยู่กลางน้ำท่วม ตามมจุดต่างๆ ของจังหวัดไซนอป และส่งทีมกู้ภัยโรยตัวลงไปช่วยเหลือประชาชนขึ้นมา โดยสำนักข่าวอะนาโดลู ของตุรกีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถช่วยขึ้นมาได้แล้ว 19 คน
ด้านสำนักงานจัดการภัยพิบัติฉุกเฉินของตุรกี รายงานว่า พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนักสุดคือจังหวัดคาสตาโมนู ซึ่งมวลน้ำมหาศาลได้ไหลทะลักเข้าไปในเมืองพัดพาเอารถยนต์หลายสิบคัน และข้าวของต่างๆ ไหล ไปกับกระแสน้ำ และไปกองทับถมกันอยู่ตรงมุมถนน มีรายงานตัวเลขผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 13 รายในเมืองนี้ นอกจากนี้ยังมีสะพานถูกกระแสน้ำซัดขาด ขนาดตึกใหญ่ๆ ยังต้านทานไม่ไหว ถูกกระแสน้ำซัดพังเสียหายไป หลายสิบหลัง
เหตุน้ำท่วมฉับพลันครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่ตุรกีกำลังเผชิญไฟป่าครั้งรุนแรง ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่ง คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 8 ศพ และอีกหลายหมื่นคนต้องอพยพหนีไฟป่า ที่เกิดขึ้นมากกว่า 200 แนว จนถึงขณะนี้ผ่านไป 17 วันแล้วหลายจุดยังไม่สามารถควบคุมได้
ที่มา: BBC
ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียออกคำสั่งบังคับครูทุกคนต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 มิเช่นนั้นต้องผ่านการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาทุกสัปดาห์ ถือเป็นรัฐแรกของสหรัฐฯ ที่ออกคำสั่งเชิงบังคับเช่นนี้ ในขณะที่ทางการสหรัฐฯ กำลังดิ้นรนรับมือการแพร่ระบาดที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอีก
จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงมากขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา ทำให้ผู้ปกครองและนักการศึกษาในรัฐแคลิฟอร์เนียมีความกังวลที่จะให้นักเรียนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนกลับเข้าชั้นเรียนในปีการศึกษาใหม่
เอเอฟพีรายงานว่า เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศเมื่อวันพุธที่ 11 สิงหาคมว่า เพื่อให้ผู้ปกครองมั่นใจว่าลูกๆ ของพวกเขาจะปลอดภัยขณะที่โรงเรียนกลับมาเปิดการเรียนการสอนในห้องเรียนอย่างเต็มรูปแบบ เราขอให้ครูและเจ้าหน้าที่ทุกคนในโรงเรียนทุกแห่งของรัฐแคลิฟอร์เนีย ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนจะต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทุกสัปดาห์ การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่เราจะยุติการระบาดของโรคนี้ และในฐานะพ่อ ตัวเขาตั้งตารอคอยการเริ่มต้นปีการศึกษาใหม่ และเห็นเด็กๆ ในแคลิฟอร์เนียทุกคนกลับไปเรียนในชั้นเรียน
ข่าวเอพีรายงานถึงการเปิดเผยของกรมสาธารณสุขรัฐแคลิฟอร์เนียว่า นโยบายใหม่นี้บังคับใช้กับครูและเจ้าหน้าที่ทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชนมากกว่า 800,000 คน โดยเป็นครูโรงเรียนรัฐบาลราว 320,000 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่โรงเรียน เช่น เจ้าหน้าที่โรงอาหาร, คนทำความสะอาดและอาสาสมัครในโรงเรียน
นิวซัมประกาศนโยบายใหม่ของรัฐนี้ระหว่างตรวจเยี่ยมโรงเรียนแห่งหนึ่งในเขตเบย์แอเรียในนครซาน ฟรานซิสโก ที่เปิดเรียนในชั้นเรียนแล้วในสัปดาห์นี้ ส่วนโรงเรียนส่วนใหญ่ในรัฐแคลิฟอร์เนียจะเปิดเรียนในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
การกลับมาเรียนในห้องเรียนในปีการศึกษาใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนียเกิดขึ้นในช่วงที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันในรัฐแคลิฟอร์เนียมากกว่า 10,000 ราย เพิ่มขึ้น 10 เท่าจากเมื่อ 2 เดือนก่อน แพทย์เผยว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
คาโรล กรีน ประธานสมาคมครูผู้ปกครองรัฐแคลิฟอร์เนียกล่าวสนับสนุนนโยบายนี้ของผู้ว่าการรัฐ โดยบอกว่า เราต้องการทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อปกป้องเด็กๆ ซึ่งมีความเสี่ยงมากที่สุด และทำให้มั่นใจว่าเด็กทุกคนสามารถกลับไปเรียนได้อย่างปลอดภัยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
รายงานอ้างข้อมูลจากกรมสุขภาพของรัฐแคลิฟอร์เนียว่า เด็กแคลิฟอร์เนียที่อายุเกิน 12 ปี ราว 2 ใน 3 ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้ว แต่เด็กๆ ที่อายุน้อยกว่านั้นยังไม่สามารถฉีดวัคซีนได้
วันที่ 13 สิงหาคม 2564 –ถึงแม้ประชาชนสหรัฐฯ จะฉีดวัคซีนเกินกว่า 70% ของประชากรแล้ว แต่สถานการณ์การระบาดโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก ได้ทำให้หลายๆ ธุรกิจในสหรัฐฯ ต้องปรับโมเดลการทำงานให้เข้ากับสถานการณ์
ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เหล่าบริษัทยักษ์เทคอย่าง “กูเกิล” และ “เฟซบุ๊ก” ได้ประกาศว่าพนักงานที่จะเข้าทำงานที่ออฟฟิศต้อง “ฉีดวัคซีน” ก่อน ขณะที่ “แอปเปิ้ล” แถลงการณ์ว่าจะเลื่อนการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศออกไปจนถึงเดือนตุลาคม
ส่วนยักษ์อีคอมเมิร์ซ “อเมซอนดอตคอม” ก็ยืดระยะเวลาเวิร์กฟรอมโฮมออกไปถึง 3 มกราคมปีหน้า จากเดิมที่จะให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศวันที่ 7 กันยายนนี้ รวมถึงบังคับให้พนักงานที่จำเป็นต้องมาทำงานที่ออฟฟิศต้องสวมหน้ากากอนามัย ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนหรือไม่ก็ตาม หลังจากก่อนหน้านี้ได้ยกเลิกการบังคับพนักงานสวมหน้ากากอนามัยสำหรับคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว
ขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจการเงินอย่าง “โกลด์แมน แซกส์” ออกมาตรการว่า พนักงานที่ยังไม่ฉีดวัคซีนต้องตรวจโควิดอยู่สม่ำเสมอก่อนเข้าออฟฟิศ รวมทั้ง “เจฟฟรีย์” บริษัทที่ปรึกษาการเงิน กำหนดให้พนักงานที่ฉีดวัคซีนแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาทำงานในออฟฟิศได้ ส่วน “มอร์แกน สแตนลีย์” ไม่ให้พนักงานและลูกค้าทั้งหมดที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเข้าออฟฟิศที่นิวยอร์ก
นอกจากนี้ ยักษ์ค้าปลีก “วอลมาร์ต” ออกมาตรการบังคับให้พนักงานฉีดวัคซีนก่อนวันที่ 4 ตุลาคม พร้อมกับแจกโบนัส 150 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับพนักงานที่ฉีดวัคซีนแล้ว ส่วน “ดิสนีย์” จะจ้างงานพนักงานใหม่ที่ฉีดวัคซีนครบโดสเท่านั้น ขณะที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง “เน็ตฟลิกซ์” บังคับให้ทุกคนในกองถ่าย ทั้งนักแสดงและทีมงานต้องฉีดวัคซีน และแพลตฟอร์มเรียกรถ “อูเบอร์” นอกจากบังคับฉีดวัคซีนและสวมแมสก์ยังเลื่อนการกลับมาทำงานออฟฟิศออกไปเป็นวันที่ 25 ตุลาคม
มาร์เก็ตวอตช์รายงานว่า ถึงแม้หลายบริษัทเร่งปรับตัวให้พนักงานยังคงเวิร์กฟรอมโฮมได้ อย่างไรก็ตาม เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ยังต้องการให้พนักงานกลับมาทำงาน หากสถานการณ์ดีขึ้น
รายงานข่าวระบุว่า สาเหตุที่บริษัทยักษ์ใหญ่ยังคงอยากให้พนักงานกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ เนื่องจากก่อนหน้านี้หลายบริษัทอย่างอเมซอนดอตคอม, แอปเปิ้ล และกูเกิล ได้ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ สำหรับ “แคมปัส” ที่มีอุปกรณ์เพียบพร้อมสำหรับการทำงาน รวมทั้งแต่ละบริษัทยังได้ลงทุนสร้างจุดบริการสวัสดิการต่าง ๆ อย่างเช่น ฟิตเนส ห้องพักผ่อน และสถานพยาบาล เป็นต้น เพื่อที่จะดึงดูดพนักงานให้มาทำงาน
แต่หลังโควิด-19 ระบาดสวัสดิการต่างๆ อาจไม่สามารถดึงดูดการมาทำงานที่ออฟฟิศได้ เมื่อเทียบกับความสะดวกสบายกับการทำงานที่บ้าน รวมถึงการที่ไม่ต้องเดินทาง
ขณะที่บริษัทสตาร์ตอัพ “ฉวยโอกาส” นี้ ยกเลิกแผนการมาทำงานที่ออฟฟิศ เพราะนอกจากประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเป็นการดึงดูดให้คนรุ่นใหม่มาร่วมงานกับบริษัท
เช่น “ทวิตเตอร์” ที่ปิดออฟฟิศที่นิวยอร์ก และซานฟรานซิสโก รวมถึงเบรกแผนการเปิดออฟฟิศที่เมืองอื่นๆ แพลตฟอร์ม “ลิงด์อิน” ให้ทางเลือกพนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้ทุกวัน “เกรด วูค” ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทสื่อสาร “พิงเจอร์ อิงค์” กล่าวว่า บริษัทกำลังดึงตัวพนักงานจากบริษัทยักษ์เทค ที่จะบังคับให้พนักงานไปทำงานที่ออฟฟิศ โดยการเปิดโอกาสให้สามารถเวิร์กฟรอมโฮมได้ทุกวัน
ศูนย์วิจัยจากเบกเกอร์ ฟรีดแมน อินสทิทูท โฟร์ อีโคโนมิกส์ มหาวิทยาลัยชิคาโก รายงานว่า ชาวอเมริกันราว 4 ใน 10 ระบุว่า จะหางานใหม่ หากต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศทุกวัน ขณะที่อีกงานวิจัยจากบริษัท “เคทเทิล” ผู้ให้บริการเทคโนโลยีเกี่ยวกับการทำงานระบุว่า จากการสอบถามพนักงานอเมริกันกลุ่ม “เจนแซด” 1,000 คน พบว่า มากกว่าครึ่งจะออกจากงานที่ทำอยู่ หากไม่สามารถเลือกได้ว่า จะสามารถทำงานได้จากที่ไหน
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงสำนักข่าวซินหัวของทางการจีนระบุว่า ในพื้นที่ 5 เมืองของมณฑลหูเป่ย์มีการประกาศเตือนภัยระดับแดง หลังจากเกิดฝนตกหนัก จนเป็นสาเหตุให้เกิดไฟดับและบ้านพังเสียหายหลายหลัง ทำให้ต้องเร่งอพยพประชาชนมากกว่า 6,000 คนออกจากพื้นที่ กระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉินกล่าวว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยรีบเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดซึ่งรวมถึงเมืองสุยโจว เซียงหยางและเซี่ยวกั่น โดยที่เมืองอี้เฉิงสามารถบันทึกปริมาณน้ำฝนได้ที่ 400 มิลลิเมตร เมื่อวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา
จากข้อมูลของไชน่านิวส์เซอร์วิส ระบุว่า มีอ่างเก็บน้ำมากถึง 774 แห่งที่กักเก็บน้ำเกินระดับเตือนภัย น้ำท่วมไปแล้ว
สภาพอากาศที่รุนแรงเช่นนี้ทำลายบ้านเรือนมากกว่า 3,600 หลังและไร่นาอีกกว่า 8,110 เฮกเตอร์ และสำนักข่าวไชน่าเดลีอ้างสำนักงานจัดการเหตุฉุกเฉินของมณฑลระบุคาดหมายว่าภัยพิบัติครั้งนี้สร้างความเสียหายเป็นมูลค่า 108 ล้านหยวน หรือราว 555 ล้านบาท
ทั้งนี้ประเทศจีนประสบเหตุอุทกภัยเป็นประจำในช่วงฤดูร้อน แต่ทางการเตือนว่าสภาพอากาศที่รุนแรงจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากขึ้นซึ่งเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
พลเอก ตาน ฉ่วย อดีตผู้นำทหารเมียนมาวัย 88 ปี ที่เคยปกครองประเทศนานเกือบ 20 ปี เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเนปิดอว์ หลังผลตรวจร่างกายพบว่าป่วยด้วยโรคโควิด-19
ส่วนนางไจ่ไจ่ ภริยาของ พล.อ.ตาน ฉ่วย ก็ป่วยด้วยโรคโควิด-19 เช่นกัน และถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเดียวกัน ซึ่งโรงพยาบาลดังกล่าวเป็นโรงพยาบาลของทหาร มีขนาดราว 1,000 เตียง
ด้านสำนักข่าวอิรวดี เผยผ่านเว็บไซต์ว่า พล.อ.ตาน ฉ่วย และนางไจ่ไจ่ ยังแข็งแรงดี และเชื่อว่าทั้งคู่น่าจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไปแล้ว ตามโครงการฉีดวัคซีนที่ให้ผู้สูงอายุได้ฉีดก่อน
ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐคนหนึ่ง ที่ไม่เปิดเผยชื่อ เผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ เช่นเดียวกันว่าอาการของ พล.อ.ตาน ฉ่วย ยังปกติดี
พล.อ.ตาน ฉ่วย เป็นผู้นำทหารเมียนมาระหว่างปี 2535 จนถึง 2554 ซึ่งมีนโยบายการปกครองด้วยการปราบปรามผู้ที่มีแนวคิดต่างจากรัฐบาล และโดดเดี่ยวเมียนมาออกจากประชาคมโลก แต่ในยุคหลังกลับเริ่มเปลี่ยนถ่ายอำนาจให้พลเรือน จนนำมาสู่การเลือกตั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อเดือน ก.พ. นี้ ทหารเมียนมากลับยึดอำนาจจากรัฐบาลภายใต้การนำของนางออง ซาน ซู จี ที่ มาจากการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ข่าวการเข้าโรงพยาบาลของ พล.อ.ตาน ฉ่วย และภริยา นี้ เกิดขึ้นในช่วงที่เมียนมาเผชิญกับความยากลำบากในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (SARS-CoV-2) ชนิดกลายพันธุ์แบบเดลตา ที่ติดต่อได้ง่ายและมีอาการรุนแรงกว่าเชื้อดั้งเดิม และประชาชนส่วนหนึ่งถูกปล่อยทิ้งไว้ที่บ้านและไม่ได้รับการรักษาที่ดี
ขณะเดียวกันบุคลากรสาธารณสุขจำนวนมากก็นัดหยุดงานประท้วงเพื่อต่อต้านรัฐประหาร ทั้งยังมีรายงานอีกว่าตำรวจและทหารเมียนมาจับกุมบุคลากรเหล่านี้เป็นนักโทษการเมือง และห้ามไม่ให้ไปทำงานที่โรงพยาบาลก็มี ส่วนกองทัพเมียนมาเผยว่า มีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในประเทศเกือบ 300 คนต่อวัน แต่แพทย์เชื่อว่าตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านี้
ข้อมูล : Aljazeera