ข่าว
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มุ่งหน้าสู่ซาอุดิอาระเบียด้วยเที่ยวบินครั้งประวัติศาสตร์

15 กรกฎาคม 2565 :ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ออกเดินทางจากกรุงเทลอาวีฟ ด้วยเที่ยวบินตรงครั้งประวัติศาสตร์จากอิสราเอลไปยังซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นปลายทางสำคัญของภารกิจเยือนตะวันออกกลางครั้งแรกของไบเดนในฐานะผู้นำสหรัฐฯ

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2565 กล่าวว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ระหว่างภารกิจเยือนตะวันออกกลางอย่างเป็นทางการ กำลังเดินทางด้วยเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันมุ่งหน้าสู่ประเทศซาอุดิอาระเบีย

โดยไม่กี่ชั่วโมงก่อนการมาถึงเมืองเจดดาห์ของไบเดน ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียเพิ่งเปลี่ยนกฎการบินของประเทศตนด้วยการเปิดเส้นทางบินทั้งหมดให้แก่ประเทศอิสราเอล หลังปฏิเสธการยอมรับอิสราเอลมาตลอดในกรณีขัดแย้งกับรัฐอิสลามอย่างปาเลสไตน์

ผู้นำซาอุดิอาระเบียปูทางให้เครื่องบินอิสราเอลสามารถบินเข้าสู่น่านฟ้าของตนได้ โดยประกาศว่ากำลังยกเลิกการจำกัดสายการบินทั้งหมดของอิสราเอล ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติที่ไบเดนเรียกขานการเปลี่ยนแปลงนี้ว่าเป็น “ประวัติศาสตร์”

“การตัดสินใจของซาอุดิอาระเบียสามารถสร้างแรงผลักดันให้อิสราเอลเข้ารวมเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคนี้ต่อไป รวมถึงกับซาอุดิอาระเบียด้วย” ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว

เที่ยวบินตรงของไบเดน จะเป็นเที่ยวบินแรกของประธานาธิบดีอเมริกันจากอิสราเอลไปยังซาอุดิอาระเบีย

ซาอุดิอาระเบียยืนหยัดในความมุ่งมั่นของตนต่อจุดยืนของสันนิบาตอาหรับที่มีมายาวนานหลายสิบปี ว่าจะไม่สร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับอิสราเอล จนกว่าความขัดแย้งกับชาวปาเลสไตน์จะคลี่คลาย

นายกรัฐมนตรี ยาเออร์ ลาปิด ของอิสราเอล กล่าวว่า การตัดสินใจยกเลิกข้อจำกัดน่านฟ้าเป็น “เพียงก้าวแรก” ของความพยายามกระชับความสัมพันธ์ระดับภูมิภาค

หลังจากเดินทางถึงเมืองเจดดาห์ ไบเดนจะเข้าพบกับราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย รวมถึงโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมาร ซึ่งถือเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศโดยพฤตินัยในขณะนี้

นอกจากนี้ ไบเดนจะเข้าพบกับบรรดาผู้นำชาติอาหรับจากสภาความร่วมมืออ่าวอาหรับซึ่งกำลังมาร่วมประชุมกันในซาอุดิอาระเบีย เพื่อหารือเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่ผันผวน

เมืองเจดดาห์จะเป็นจุดหมายสุดท้ายของไบเดนในการเยือนตะวันออกกลาง ภายหลังได้พบปะเจรจากับประธานาธิบดีมาห์มุด อับบาส ของปาเลสไตน์ และพบปะกับนายกรัฐมนตรี ยาเออร์ ลาปิด ของอิสราเอลเมื่อวันก่อนหน้า

โควิดโอมิครอน BA.5 ทำไมเขาว่าร้ายที่สุด ?

ไทยรัฐออนไลน์:15 ก.ค. 2565: หลังจากโลกเผชิญคลื่นการระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเมื่อช่วงต้นปี ดูเหมือนว่าการแพร่กระจายของไวรัสตัวนี้จะถูกควบคุมได้ด้วยการฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันเป็นวงกว้าง ทำให้อัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตลดลง ประเทศต่างๆ เริ่มทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมและปรับตัวเพื่ออาศัยอยู่ร่วมกับมัน

แต่จู่ๆ ในช่วงราวๆ เดือนเมษายน ผู้คนก็เริ่มกลับมาติดเชื้อโควิด-19 กันมากขึ้น และคนร้ายก็คือไวรัสโคโรนา สายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.5 ซึ่งมีการกลายพันธุ์ที่สำคัญ 3 ตำแหน่งบริเวณโปรตีนหนาม ทำให้มันทั้งติดต่อกับเซลล์ของมนุษย์ได้ดีขึ้น และปรับตัวหลบภูมิคุ้มกันได้มากกว่าสายพันธุ์ก่อนๆ ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนยกให้มันเป็น สายพันธุ์อันตรายที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ความร้ายกาจของ BA.5 ทำให้มันใช้เวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้นก็กลายเป็นเชื้อสายพันธุ์หลักของการระบาดในสหรัฐอเมริกา แซงหน้ารุ่นพี่อย่าง โอมิครอน BA.2 โดยพบในผู้ติดเชื้อใหม่ทุกๆ 2 จาก 3 คน และผลการศึกษาจากภูมิคุ้มกันจากห้องทดลองก็ชี้ว่า ผู้ที่เคยติดโควิดเมื่อเดือนธันวาคมถึงมีนาคม อาจติดเชื้อซ้ำได้

ดร.โรเชลล์ วาเลนสกี จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ ระบุว่า พวกเธอยังไม่รู้ว่าเชื้อ BA.5 และ BA.4 ซึ่งมีความคล้ายกันอย่างมาก มีความรุนแรงแค่ไหนเมื่อเทียบกับโอมิครอนรุ่นก่อนๆ แต่พวกเธอรู้ว่า มันติดต่อง่ายขึ้น หลบภูมิคุ้มกันมากขึ้น คนที่เคยติดโควิดแล้วแม้จะเป็นเชื้อโอมิครอน BA.1 หรือ BA.2 ก็ยังเสี่ยงติดเชื้อพันธุ์ใหม่นี้

ทำผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้น 30%

ตามการเปิดเผยขององค์การอนามัยโลก (WHO) เชื้อโอมิครอน BA.5 และ BA.4 ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 30% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในทวีปยุโรปมีผู้ติดเชื้อสูงขึ้นถึง 25% ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ ดร.ไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการโครงการฉุกเฉินทางสุขภาพของ WHO เชื่อว่าผู้ติดเชื้อที่แท้จริงนั้นสูงกว่านี้มาก เนื่องจากระบบการตรวจโรคแทบจะพังทลายไปแล้ว

BA.5 ยังบุกเข้าสู่ประเทศจีน ทำให้เกิดความกังวลว่าเมืองใหญ่ๆ ต้องกลับมาอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์อันเข้มงวดอีกครั้ง หลังทางการเพิ่งเปิดเมืองได้ไม่นาน ไวรัสเดียวกันนี้ยังกลายเป็นเชื้อสายพันธุ์หลักที่การระบาดในสหรัฐฯ ด้วยเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น โดยพบในผู้ติดเชื้อใหม่ถึง 65% เมื่อสัปดาห์ก่อน

คณะกรรมการฉุกเฉินของ WHO ระบุในแถลงการณ์เมื่อ 12 ก.ค. ว่า โควิด-19 ยังเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (PHEIC) หลังจากผ่านมาแล้ว 2 ปี พวกเขายังย้ำถึงความท้าทายในการต่อ

สู้กับโควิดทั่วโลก รวมถึงการลดลงอย่างมากของการตรวจโรคและการตรวจลำดับพันธุกรรมเพื่อจำแนกสายพันธุ์ จนเกิดคำถามตามมากว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อในแต่ละประเทศมีความแม่นยำเพียงใด

นักระบาดวิทยาหลายคนระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริงในสหรัฐฯ นั้น อาจสูงกว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการที่เฉลี่ยวันละ 110,000 ราย ถึง 10 เท่า

ติด 1 คนแพร่ไป 18.6 คน

หนึ่งในข้อมูลที่ชี้ให้เห็นความร้ายกาจของเชื้อ BA.5 ได้ชัดเจนที่สุดคือ ค่า R0 (reproduction number) หรือ ค่าเฉลี่ยอำนาจการติดต่อของเชื้อ ว่าหากติด 1 คนจะแพร่กระจายไปยังคนอื่นๆ ได้กี่คนในชุมชนที่ “ไม่มีภูมิคุ้มกัน” จากทั้งวัคซีนหรือการติดเชื้อก่อนหน้านี้เลย ซึ่งหากตัวเลขยิ่งมากอัตราการระบาดก็ยิ่งสูงขึ้น

สำหรับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบในเมืองอู่ฮั่น มีค่า R0 อยู่ที่ 3.3 ส่วนเชื้อสายพันธุ์ที่เคยระบาดไปทั่วโลกและทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมายอย่าง เดลตา มีค่า R0 อยู่ที่ 5.1 ขณะที่เชื้อโอมิครอนตัวแรกเริ่ม หรือ BA.1 มีค่า R0 ที่ 9.5 ส่วนเชื้อ BA.2 มีค่า R0 ราว 13.3 มากกว่า BA.1 ถึง 1.4 เท่า

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยจากแอฟริกาใต้ซึ่งยังไม่ได้ผ่านการตรวจทานจากผู้เชี่ยวชาญคนอื่น (peer review) ชี้ว่า BA.5 และ BA.4 มีอัตราการแพร่ระบาด เหนือกว่า BA.2 ในลักษณะเดียวกันที่ BA.2 เหนือกว่า BA.1 โดยมีค่า R0 อยู่ที่ประมาณ 18.6 หรือติดเชื้อ 1 คน อาจสามารถแพร่ไปยังคนอื่นๆ ได้ 18-19 คน ในชุมชนที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน

ตัวเลขดังกล่าวใกล้เคียงกับการอัตราการติดต่อของโรคหัด ซึ่งเป็นไวรัสที่ติดต่อได้มากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยพบมา

หลบภูมิคุ้มกันมากกว่าเชื้อรุ่นก่อน 4.2 เท่า

ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในนิวยอร์ก ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ผ่านวารสาร “Nature” ชี้ว่า เชื้อ BA.5 และ BA.4 เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนที่เลวร้ายที่สุดจนถึงตอนนี้ มันมีความต้านทานวัคซีนมากกว่าเชื้อ BA.2 ถึง 4.2 เท่า และมากกว่า BA.2.12.1 ที่เคยระบาดไปทั่วนิวยอร์กราว 1.8 เท่า เนื่องจากมีการกลายพันธุ์บริเวณโปรตีนหนาม ช่วยให้มันหลบภูมิคุ้มกันเก่งขึ้น

การที่มันหลบภูมิคุ้มกันมากขึ้น หมายความว่าโอกาสติดเชื้อซ้ำก็สูงขึ้นด้วย ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและภูมิแพ้แห่ง ระบุว่า โอกาสในการติดเชื้อซ้ำขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละคน ตามปกติแล้วภูมิที่ได้จากการติดโควิดจะอยู่ราว 2-3 เดือน แต่เมื่อเจอ BA.5 บางรายอาจติดซ้ำได้ภายใน ไม่กี่สัปดาห์หรือ 1 เดือน ขณะที่ภูมิที่ได้จากการติดเชื้อโอมิครอนดังเดิม ก็ป้องกัน BA.5 ได้ไม่ดีนัก

อย่างไรก็ตาม ด้วยการฉีดวัคซีนเป็นวงกว้างของผู้คนทั่วโลก เราจึงจะไม่ได้เห็นอัตราการเสียชีวิตนับหมื่นนับแสนคนต่อวันเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อนอีกแล้ว แต่จำนวนผู้เสียชีวิตในปัจจุบันก็ยังคงสูง เช่น ในสหรัฐฯ มีผู้เคราะห์ร้ายเฉลี่ยวันละ 300-350 ศพ หรือใกล้เคียงจำนวนผู้โดยสารเครื่องบินขนาดใหญ่ 1 ลำ และการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อจะทำให้ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การฉีดวัคซีนป้องกันจึงยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเอาตัวรอดจากการระบาดระลอกนี้

ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : The Guardian , NBC New York , CNN


สหรัฐฯ ป่วย “ฝีดาษลิง” ทะลุ 1,000 คนใน 43 รัฐ-แคลิฟอร์เนียติดเชื้อมากสุด

15 ก.ค.65 : ซินหัว รายงานความคืบหน้าสถานการณ์ โรคฝีดาษลิง ในสหรัฐอเมริกาว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) เปิดเผยว่าจำนวนผู้ป่วยสะสมในประเทศที่ยืนยันแล้วจนถึงวันพุธที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา มีอย่างน้อย 1,000 คน สหรัฐฯ ตรวจพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงใน 43 รัฐ โดยรัฐแคลิฟอร์เนียพบมากที่สุด 161 คน ตามด้วยรัฐนิวยอร์ก 159 คน และรัฐอิลลินอยส์ 152 คน

ขณะเดียวกันข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐระบุว่ามีการจัดสรร “วัคซีนจินนีออส” (Jynneos) ซึ่งได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) สำหรับใช้ป้องกันโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ และโรคฝีดาษลิง กว่า 132,000 โดสแล้ว เมื่อนับถึงวันอังคาร (12 ก.ค.)

อย่างไรก็ดี เหล่าผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าพื้นที่ระดับท้องถิ่นของสหรัฐฯ ยังคงขาดแคลนวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิง ท่ามกลางตัวเลขผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้น

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขกลางของอินเดีย รายงานพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรกในรัฐเกรละทางตอนใต้ของประเทศ ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาถึงรัฐเมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา

ลาฟ อการ์วาล เลขาธิการร่วมของกระทรวงฯ เผยว่า หลังการตรวจพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรก รัฐบาลกลางกำลังเร่งส่งทีมแพทย์อาวุโสจากหลากสหวิชาชีพไปยังรัฐเกรละเพื่อช่วยรัฐบาลท้องถิ่นสอบสวนการระบาดของโรค และเริ่มใช้มาตรการด้านสาธารณสุขที่จำเป็น

เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดี (14 ก.ค.) รัฐบาลกลางได้ร้องขอให้รัฐบาลท้องถิ่นของทุกรัฐคัดกรองและทำการทดสอบผู้ป่วยต้องสงสัยโรคฝีดาษลิงทุกคนที่จุดผ่านเข้าประเทศและภายในชุมชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมรับมือโรคดังกล่าวของอินเดีย

นอกจากนั้น รัฐบาลกลางยังเรียกร้องให้รัฐต่างๆ ระบุชื่อโรงพยาบาล และตรวจสอบให้มั่นใจว่ามีทรัพยากรมนุษย์และการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ที่เพียงพอเพื่อดูแลผู้ป่วยต้องสงสัยหรือผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง

ที่มา xinhuathai


'อิวานา ทรัมป์'อดีตภรรยา 'โดนัลด์ ทรัมป์' เสียชีวิตด้วยวัย 73 ปี

วันศุกร์ ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2565: สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นางอิวานา ทรัมป์ ภรรยาคนแรกของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เสียชีวิตในวันพฤหัสบดี (14 ก.ค.) ด้วยวัย 73 ปี โดยนางอิวานาเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตของนายทรัมป์ ในฐานะมารดาของลูก 3 คน และเป็นคนที่ช่วยทรัมป์ก่อตั้งอาณาจักรแห่งความมั่งคั่ง ซึ่งรวมถึงอาคารทรัมป์ทาวเวอร์

ทั้งนี้ นายทรัมป์ ได้แถลงข่าวการเสียชีวิตของนางอิวานาด้วยตนเองผ่านการโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Truth Social โดยเขากล่าวว่า “ผมรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่จะแจ้งข่าวให้ทุกท่านทราบว่า

อิวานา ทรัมป์ ผู้เป็นที่รักของผมและผู้คนอีกมากมาย ได้เสียชีวิตแล้วที่บ้านพักของเธอในนิวยอร์กซิตี้”

“อิวานา ทรัมป์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้รอดชีวิตอย่างแท้จริง เธอสามารถหนีออกมาจากประเทศคอมมิวนิสต์และเข้ามาอาศัยในประเทศนี้ เธออบรมสั่งสอนลูกๆ ให้เรียนรู้ถึงความอดทนทรหด ความเห็นใจเพื่อนมนุษย์ และความมุ่งมั่นของเธอ” ทรัมป์กล่าว โดยในแถลงการณ์ดังกล่าวทรัมป์หมายถึงการที่นางอิวานาเติบโตในประเทศเชกโกสโลวาเกีย ซึ่งในสมัยนั้นปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์

นายทรัมป์ ไม่ได้ระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิตของนางอิวานา แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า นางอิวานาถูกพบเสียชีวิตตรงบันไดในที่พักของเธอ และไม่พบเหตุการณ์ที่น่าสงสัย ขณะที่นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า นางอิวานาอาจประสบอุบัติเหตุพลัดตกจากบันได

ทรัมป์และอิวานาเข้าพิธีสมรสในปี 2520 และหย่าในปี 2535 โดยทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 3 คนคือ โดนัลด์ จูเนียร์, อิวานกา และอิริก ทรัมป์


รัสเซีย ยิงขีปนาวุธถล่มตอนกลางยูเครน เสียชีวิตกว่า 20 ราย

15 ก.ค.65: บีบีซี และ ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า รัสเซีย ยิงขีปนาวุธร่อนถล่มกลางใจเมืองวินนิตเซีย ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงคีฟ ตอนกลางของยูเครน ห่างไกลจากแนวรบตะวันออก ภูมิภาคดอนบัส เมื่อวันที่ 14 ก.ค. มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 23 ราย ตามข้อมูลของพล.อ.อีฮอร์ คลีเมนโค ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของยูเครน

กระทรวงฉุกเฉินยูเครนระบุว่า ขีปนาวุธ 3 ลูกถล่มลานจอดรถตึกสำนักงาน 9 ชั้น ราว 10.50 น. ตามเวลาท้องถิ่น อาคารที่พักอาศัยหลายหลังถูกโจมตีด้วย ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีเด็ก 3 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บ 64 คน ถูกส่งไปโรงพยาบาล ในจำนวนนี้มีเด็ก 4 คน และ 34 คนมีอาการร้ายแรง 5 คนมีอาการวิกฤต ขณะนี้อยู่ระหว่างการค้นหาผู้สูญหาย 42 คน

พล.อ.คลีเมนโค ระบุว่า จนถึงตอนนี้พิสูจน์อัตลักษณ์ศพเพียง 6 ราย และต้องตรวจสอบสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) เพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์ศพอื่นๆ ส่วนความเสียหายมีอาคารมากกว่า 50 และรถยนต์มากกว่า 40 คัน ถูกโจมตี

กระทรวงกิจการภายในยูเครนระบุว่า หลายคนถูกควบคุมตัวหลังเกิดเหตุ อยู่ระหว่างการถูกสอบปากคำจากตำรวจและหน่วยงานความมั่นคงยูเครน

นายคีรีโล ตีโมเชนโค รองหัวหน้าสำนักประธานาธิบดียูเครน ระบุว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธคาลีเบอร์จากเรือดำน้ำประจำการในทะเลดำ

“ศัตรูยังเตรียมขีปนาวุธร่อนคาลีเบอร์ 32 ลูก บนเรือผิวน้ำ 3 ลำและเรือดำน้ำ 2 ลำ และยังมีเรือยกพลขนาดใหญ่ 2 ลำ ในทะเลดำ” กองบัญชาการปฏิบัติการทางใต้ของกองทัพยูเครนระบุเมื่อวันจันทร์ที่ 11 ก.ค.

ส่วนนายดมีโตร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน ระบุว่าการโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งนี้เป็นการก่อการร้าย “มีพลเรือนได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 20 ราย หลังถูกขีปนาวุธรัสเซียโจมตีเมืองวินนิตเซีย เด็ก 3 ราย รวมถึงเด็กเล็ก 1 ราย ปรากฏในภาพถ่าย นี่เป็นการก่อการร้าย การจงใจสังหารพลเรือนเพื่อแผ่ขยายความหวาดกลัว รัสเซียเป็นรัฐผู้ก่อการร้ายและต้องมีการรับรองทางกฎหมายเช่นนี้”

การโจมตีครั้งล่าสุดนี้มีขึ้นขณะที่รัฐมนตรียุติธรรมและต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) จะพบปะในนครเฮก เพื่อการประชุมในประเด็นอาชญากรรมสงครามโดยรัสเซีย ต่อมา แถลงการณ์ ที่เผยแพร่ในเวลาต่อมาระบุว่า อียูเรียกการโจมตีดังกล่าวว่าโหดร้าย และระบุว่าพลเรือนยังสูญเสียจำนวนมากในสงคราม เนื่องจากการเพิกเฉยต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศของรัสเซีย