ทางการตุรกีเปิดเผยว่าสามารถระบุตัวมือปืนที่ก่อเหตุกราดยิงสังหารผู้คนในไนต์คลับที่นครอิสตันบูลในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 39 คนได้แล้ว อย่างไรก็ดีไม่มีการให้รายละเอียดของชื่อรวมถึงสัญชาติของมือปืนรายนี้ ซึ่งยังคงสามารถหลบหนีการตามล่าตัวของเจ้าหน้าที่ได้
ทางการยังได้ควบคุมบุคคลอีก 20 รายซึ่งเชื่อว่าเป็นสมาชิกของกองกำลังรัฐอิสลาม หรือไอเอสที่มีส่วนเชื่อมโยงกับเหตุกราดยิงที่เกิดขึ้น โดยในจำนวนนี้มีผู้หญิง 11 คน นอกจากนี้ยังมีเด็กอีก 20 คนที่พักอาศัยอยู่ในที่เดียวกันซึ่งถูกนำตัวส่งไปยังที่พักพิงชั่วคราว
ทั้งนี้เชื่อว่าผู้ที่ถูกจับกุมทั้งหมดเคยอาศัยอยู่ร่วมกับมือปืนที่ก่อเหตุในเมืองคอนยาของตุรกี และมีรายงานด้วยว่าตำรวจสามารถยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์สำหรับการปฎิบัติการในยามค่ำคืนและเข็มขัดกระสุนปืน
จนถึงขณะนี้ทางการตุรกีได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าจะมีส่วนเชื่อมโยงกับเหตุกราดยิงในไนท์คลับดังกล่าวแล้ว 36 ราย
เมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีมีหน่วยความมั่นคงติดตามความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า วันนี้ได้สั่งการไปแล้ว หน่วยงานความมั่นคงเขาไปดูแลความปลอดภัย ไม่ต้องไปถ่ายรูปอะไรมากมาย เพราะจะถูกบอกว่าไม่ให้ความเป็นส่วนตัว ตนได้สั่งการไปแล้ว ขอว่าอย่าโอดครวญ ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนไปคอยดูแล เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมาก็จะมาโทษรัฐบาลว่าไม่ดูแล แต่ก็บอกไว้ว่าอย่าไปถ่ายรูปให้มากมาย ก็ต้องขออภัยไว้ด้วยแล้วกัน อะไรที่ตนรับได้ ก็คือรับได้
เมื่อวันที่ 5 มกราคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การอ้างเหตุผลว่าต้องการรักษาความปลอดภัยให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีนั้นก็ผิดหลักการทั่วไปที่พึงปฏิบัติ เพราะการทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยนั้นเจ้าหน้าที่ที่ไปควรแสดงตนและสังกัดให้ชัดเจนและแจ้งให้อดีตนายกฯได้รับทราบ หากอดีตนายกฯไม่ต้องการให้มีเจ้าหน้าที่มาดูแลก็ควรให้เป็นสิทธิของท่านเพราะท่านอาจต้องการความเป็นส่วนตัว และการไม่แสดงตนและสังกัดยังอาจทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยมากกว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าวจึงมองว่าไม่ใช่การไปรักษาความปลอดภัยเหมือนที่รองนายกฯและโฆษกรัฐบาลได้แถลง แต่น่าจะเป็นการติดตามความเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯมากกว่าเพราะมีการถ่ายภาพและวิดีโอด้วย ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพในความเป็นอยู่ส่วนตัว เพราะอดีตนายกฯย่อมมีเสรีภาพในการเดินทางไปยังที่ใดๆ ได้ทั่วราชอาณาจักร โดยไม่ถูกจำกัดหรือรบกวนจากรัฐ ดังนั้น รัฐบาลและ คสช.จึงไม่ควรกระทำการเช่นนี้อีก
เมื่อวันที่ 2 มกราคม นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยความคืบหน้าอาการป่วยของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ในระหว่างถูกควบคุมตัว เนื่องจากมีอาการไข้และหนาวสั่น เมื่อวันที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่า ตอนนี้อาการเริ่มเป็นปกติ ไม่มีไข้ ค่าไตเป็นปกติ ในปัสสาวะไม่พบเม็ดเลือดขาว ทั้งนี้ไม่ได้มีอาการทรุดหนักตามที่มีกระแสข่าวแต่อย่างใด คาดว่าวันเปิดทำการจะตรวจเช็กร่างกายด้วยเครื่องซีทีสแกน อย่างละเอียดอีกครั้ง ว่าพบภาวะเป็นนิ่วหรือไม่อย่างไร จากนั้นหากไม่พบความผิดปกติของร่างกาย จากนำตัวกลับไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้านนายกฤช กระแสทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงความคืบหน้าอาการป่วยของนายจตุพรว่า ล่าสุดวันนี้ได้รับรายงานว่าแพทย์ได้รักษาอาการป่วยของนายจตุพรแล้ว หลังจากตรวจพบว่าเป็นโรคกรวยไตอักเสบติดเชื้อ ขณะนี้นายจตุพรได้รับการรักษาด้วยการให้ยาฆ่าเชื้อและมีอาการกลับมาเป็นปกติแล้ว ทั้งนี้คาดว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถนำตัวนายจตุพรกลับมาควบคุมตัวยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯได้ตามปกติในวันที่ 4 มกราคมนี้ ซึ่งเป็นวันเปิดทำการ อย่างไรก็ตามทางเรือนจำจะมีติดตามอาการป่วยของนายจตุพรอีกครั้ง หากพบว่ามีอาการป่วยอีกจะต้องส่งตัวไปรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ต่อไป เป็นไปตามขั้นตอนการดูแลผู้ต้องขังตามปกติของทางเรือนจำ
นายชนม์ทรรศน์ ฤทัยผ่อง หมอดูเข็มทิศทองคำ เปิดเผยว่า ในปี 2560 เป็นปีแห่งขบวนการงานราชการ เป็นปีแห่งความยุ่งเหยิงกับการจัดระเบียบระบบใหม่ตามดวงเมือง ส่วนการเลือกตั้งให้เตรียมใจปี 2561 การเมืองมาแน่ หากบ้านเมืองไม่ขัดแย้งรุนแรงการเลือกตั้งจะสำเร็จ ทั้งนี้ ขอฝากนักการเมืองเตรียมใจได้ ปี 2561 จะเป็นปีแห่งการฉกฉวยโอกาส ทั้งนี้ ในปี 2561 ดวงของอดีตนายกรัฐมนตรีหลายคนดับ และดวงดาวปะทะเบียดเบียนให้เดือดร้อนก่อให้เกิดความขัดแย้ง ทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายทักษิณ ชินวัตร แต่ตรงกันข้ามกับดวงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะกลับมาเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะต้องแก้ไขสถานการณ์ปัญหาของประเทศที่เหมือนจะต้องทำหน้าที่ต่อ
เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2560 กล่าวว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและความร่วมมือของหน่วยงานภาคีเครือข่ายได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนน ประจำวันที่ 4 มกราคม 2560 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์ “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” เกิดอุบัติเหตุ 340 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 52 ราย ผู้บาดเจ็บ 367 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 33.53 ทัศนวิสัยไม่ดี ร้อยละ 24.71 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 80.23 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 63.53 บนถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 43.82 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01-20.00 น. ร้อยละ 30.00 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน ร้อยละ 47.77 ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 2,042 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 64,647 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 596,808 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 95,432 ราย โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ สุพรรณบุรี (13 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ร้อยเอ็ด (5 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ สงขลา (15 คน)
สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 7 วัน (29 ธ.ค.59- 4 ม.ค.60) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,919 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 478 ราย ผู้บาดเจ็บรวม 4,128 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ 36.59 ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 31.31 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 81.82 รถปิกอัพ ร้อยละ 8.00 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 61.78 ถนนทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ 36.92 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 36.49 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เวลา 16.01-20.00 น. ร้อยละ 29.24 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน ร้อยละ 52.22 จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 4 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ระนอง และสตูล จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ อุดรธานี และเชียงใหม่ (152 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ ชลบุรี (33 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ และอุดรธานี (164 คน) ทั้งนี้ ในช่วง 7 วัน เรียกตรวจยานพาหนะรวม 4,419,430 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี 727,438 ราย สำหรับข้อมูลปริมาณรถของศูนย์ปฏิบัติการคมนาคม พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2559-4 มกราคม 2560 มีปริมาณรถบนท้องถนนทั้งขาเข้าและขาออกกรุงเทพฯ จำนวน 11,053,835 คัน เมื่อเทียบกับช่วงปกติ มีปริมาณรถ 8,765,808 คัน เพิ่มขึ้น จำนวน 2,288,027 คัน คิดเป็นร้อยละ 26.10 จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น
นายสุธีกล่าวว่า วันนี้ต้องให้กำลังใจข้าราชการทุกภาคส่วน ทั้งตำรวจ ทหาร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฝ่ายปกครอง และอาสาสมัครทั้งหมด โดยตลอดเจ็ดวันอันตราย เราใช้กำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 4,700,000 คน โดยมียานพาหนะที่สัญจรไปมาในช่วงดังกล่าวประมาณ 11 ล้านคัน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก จึงเป็นสัดส่วนที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุค่อนข้างมากด้วย อย่างไรก็ตาม ตลอดการดำเนินงานเราได้เห็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งในการดำเนินงาน ซึ่งเราจะได้นำจุดอ่อนไปปรับปรุงแก้ไขต่อไปเพื่อป้องกันอุบัติเหตุในช่วงของวันหยุดยาวเดือนเมษายนที่จะถึง ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุคือเมาแล้วขับซึ่งยังมีอยู่ และขับรถเร็วเกินกำหนด โดยเราต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และสร้างจิตสำนึกร่วมกัน จากนี้ พ.ร.บ.จราจรทางบก ได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราจะต้องรีบนำมาปรับใช้เพื่อให้ทันช่วงเทศกาลสงกรานต์ และเราจะขอให้มีการรณรงค์ในเรื่องของ ‘เซฟตี้ไทยแลนด์’ ตลอดทั้งปีด้วย
สำนักข่าวเอเอฟพีว่า กลุ่มติดอาวุธราว 100 คน ที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มกบฎมุสลิม ก่อเหตุอุกอาจโจมตีเรือนจำนอร์ทโคตาบาโต ในเมืองกิดาปาวัน บนเกาะมินดาเนาของฟิลิปปินส์ เมื่อเวลาราว 01.00 น.ของวันพุธ(4 ม.ค.)ตามเวลาท้องถิ่น โดยกลุ่มติดอาวุธยิงสังหารเจ้าหน้าที่เรือนจำเสียชีวิตไป 1 นาย และช่วยนักโทษในเรือนจำแหกคุกหลบหนีออกไปได้กว่า 150 คน ในจำนวนนี้มีกลุ่มติดอาวุธมุสลิมหลายคนที่ถูกคุมขังอยู่ที่นี่ด้วย
จากการเปิดเผยของนายปีเตอร์ บอนกาต พัศดีเรือนนอร์ทโคตาบาโต ที่มีนักโทษคุมขังอยู่ราว 1,511 คน เปิดเผยกับสื่อท้องถิ่นว่า กลุ่มติดอาวุธเปิดฉากยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่เรือนจำ จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 นาย และทำให้นักโทษในเรือนจำอาศัยจังหวะชุลมุนแหกคุกหนีออกไปได้ 158 คน โดยการโจมตีครั้งนี้ดูเหมือนมีการเตรียมแผนมาเป็นอย่างดี
ขณะที่สำนักงานประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เปิดเผยว่า นักโทษที่หลบหนีออกไป ถูกจับกลับมาได้ 8 คน ในจำนวนนี้ 2 คนยอมจำนนแต่โดยดี แต่อีก 6 คนถูกเจ้าหน้าที่สังหารดับ
ด้านนางเชอร์ลีน มาคาซาร์เต รักษาการผู้ว่าการจังหวัดนอร์ทโคตาบาโต เปิดเผยว่า ทางสำนักงานของตนได้รับรายงานข่าวมาตั้งแต่กลางปีที่แล้วว่า กลุ่มติดอาวุธที่เรียกตนเองว่า กลุ่มนักรบเพื่อเสรีภาพอิสลามบังซาโมโร(บีไอเอเอฟเอฟ) ที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มแนวร่วมอิสลามโมโร(เอ็มไอแอลเอฟ)มีแผนที่จะลงมือก่อเหตุโจมตีเพื่อช่วยเหลือสมาชิกกลุ่มของตนที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำออกมา จึงได้มีการจับตาความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด แต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
ทั้งนี้ เมืองกิดาวันที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงมะนิลาไปทางตอนใต้ราว 950 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่มีกลุ่มกบฎมุสลิม แก๊งอาชญากรและพวกคอมมิวนิสต์เคลื่อนไหวอยู่หลายกลุ่ม ขณะที่ 15 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่กลุ่มติดอาวุธก่อเหตุโจมตีเรือนจำในฟิลิปปินส์หลายครั้งที่ทำให้นักโทษแหกคุกหนีออกไปได้เป็นจำนวนมาก แต่เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์ชี้ว่าครั้งนี้นับเป็นการแหกคุกหนีของนักโทษครั้งใหญ่ที่สุดของฟิลิปปินส์เท่าที่เคยมีมา
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012