ข่าว
ช็อกคากองถ่าย 'อเล็ก บอลด์วิน' ทำปืนประกอบฉากลั่นใส่ผู้กำกับภาพดับ

22 ต.ค. 64 เดลี่เมลและบีบีซีรายงาน เกิดอุบัติเหตุสุดช็อก อเล็ก บอลด์วิน ดาราดังชาวอเมริกัน ทำปืนประกอบฉากลั่นใส่ ฮาลีนา ฮัตชินส์ ผู้กำกับภาพหญิงวัย 42 ปี จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต ในขณะที่ Joel Souza ผู้กำกับ วัย 48 ปีได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะมีการถ่ายภาพยนตร์คาวบอยตะวันตก เรื่อง Rust ที่ไร่โบนันซ่า ครีค ใกล้เมืองซานตาเฟ รัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐฯ เมื่อเวลาประมาณ 13.50 น. ของวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น)

สำนักงานนายอำเภอในเมืองซานตาเฟ แถลงว่า ได้รับแจ้งฉุกเฉินเกิดเหตุในกองถ่ายภายนตร์ โดยฮัตชินส์ ผู้กำกับหญิงซึ่งได้รับบาดเจ็บจากคมกระสุนได้ถูกส่งขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อไปส่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก แต่เธอได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล ส่วน Joel Souza ผู้กำกับ ซึ่งได้รับบาดเจ็บ ได้ถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาลไปยังศูนย์การแพทย์เซนต์ วินเซนต์ เพื่อรับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุที่สร้างความสะเทือนใจอย่างยิ่งครั้งนี้

ปธน.ไบเดนกางปีกปกป้อง “ไต้หวัน” ลั่นพร้อมออกโรงหากจีนโจมตี !

22 ต.ค. 64 : ซีเอ็นเอ็น และบีบีซีรายงานกระแสวิตกความสัมพันธ์ส่อระอุระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน สองประเทศมหาอำนาจ

หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวหนักแน่นว่าสหรัฐฯ พร้อมจะปกป้องไต้หวันหากจีนเปิดฉากโจมตี “ใช่ เรามีความมุ่งมั่นที่จะทำเช่นนั้น” ประธานาธิบดีไบเดนตอบผู้สื่อข่าวที่ถามถึงจุดยืนของสหรัฐฯ ต่อไต้หวัน

ขัดแย้งกับ นโยบายความคลุมเครือทางยุทธศาสตร์ ที่สหรัฐฯ ใช้เพื่อรักษาสันติภาพระหว่างจีนกับไต้หวัน โดยสหรัฐฯ ไม่สนับสนุนการประกาศเอกราชของไต้หวันแต่จะสนับสนุนยุทโธปกรณ์เพื่อความมั่นคงแก่ไต้หวันเพื่อป้องกันการรุกรานของจีน อย่างไรก็ตาม โฆษกทำเนียบขาวระบุในเวลาต่อมาว่าถ้อยแถลงของนายไบเดนไม่ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ในช่องแคบไต้หวันยังตึงเครียด จากกรณีกองทัพจีนนำฝูงบินรบรวมกว่า 150 ลำ มากที่สุดในรอบ 4 ทศวรรษ บินผ่านเขตป้องกันทางอากาศของไต้หวันในช่วงไม่กี่วันเมื่อต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา

ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวอีกว่า ไม่รู้สึกกังวลว่าจะเกิดความขัดแย้งทางการทหารโดยเจตนากับรัฐบาลจีน “จีน รัสเซีย และประเทศอื่นๆ ทั่วโลกรู้ว่าเรามีกองทัพที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะมีอำนาจแข็งแกร่งมากกว่านี้ สิ่งที่ต้องกังวลคือพวกเขาจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมใดๆ ที่ทำให้พวกเขาอยู่ในจุดที่อาจทำผิดพลาดร้ายแรงหรือไม่มากกว่า”

นายไบเดนย้ำ และว่า ตนไม่ต้องการอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ ก่อนกล่าวถึงความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ว่า

“ผมได้พูดคุยและใช้เวลากับท่านสี จิ้นผิง มากกว่าผู้นำโลกคนอื่นๆ นั่นคือเหตุผลที่คุณได้ยินคนพูดว่าไบเดนต้องการเริ่มสงครามเย็นครั้งใหม่กับจีน ผมไม่ต้องการทำสงครามเย็นกับจีน ผมต้องการให้จีนเข้าใจว่าเราจะไม่ถอยหลังและเปลี่ยนมุมมองของเรา”

ขณะที่ทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวันตอบสนองต่อคำกล่าวของนายไบเดนว่า ไต้หวันจะไม่ยอมแพ้ต่อแรงกดดันหรือทำอะไรผลีผลามเมื่อได้รับการสนับสนุน

“ไต้หวันจะแสดงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะปกป้องตัวเอง” นายเซเวียร์ เฉิง โฆษกประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ผู้นำไต้หวัน กล่าวจากแถลงการณ์ พร้อมขอบคุณฝ่ายบริหารรัฐบาลประธานาธิบดีไบเดนต่อการสนับสนุนไต้หวันอย่างแข็งแกร่ง

“ไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์” อาจจ่ายไฟให้ “จีน” ได้เกือบครึ่งของความต้องการในปี 2060

22 ตุลาคม 64 : สำนักข่าวซินหัวรายงาน ผลการศึกษาจากคณะนักวิจัยของจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (19 ต.ค.) ระบุว่าพลังงานแสงอาทิตย์อาจตอบสนองความต้องการไฟฟ้าของจีนได้ร้อยละ 43.2 ในปี 2060 ด้วยราคาต่ำกว่า 2.5 เซนต์สหรัฐฯ (ราว 0.83 บาท) ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง

คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในรัฐแมสซาชูเซตส์ของสหรัฐฯ มหาวิทยาลัยชิงหัวและมหาวิทยาลัยเหรินหมินในกรุงปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยหนานไคในนครเทียนจินของจีน พัฒนาแบบจำลองรอบด้านเพื่อประเมินศักยภาพและต้นทุนของไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ระหว่างปี 2020-2060 ในจีน โดยวิเคราะห์ปัจจัยเชิงปริภูมิกาล (เวลาและสถานที่)

อนึ่ง จีนแสดงความมุ่งมั่นด้านการเปลี่ยนผ่านระบบพลังงานสู่พลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากทรัพยากรแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ

ผลการศึกษาในโพรซีดิงส์ ออฟ เดอะ เนชันนัล อะคาเดมี ออฟ ไซเอนซ์ (Proceedings of the National Academy of Sciences) วารสารวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ระบุว่าการวิเคราะห์เชิงปริภูมิกาลของศักยภาพไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถใช้ได้จริง ราคาไม่สูง และปรับใช้กับระบบจ่ายไฟฟ้าได้ เป็นสิ่งสำคัญในด้านพลังงานของจีน

“ผลการศึกษาเน้นย้ำจุดเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่สำคัญต่อจีนและประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นจุดที่การบูรณาการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เข้ากับระบบกักเก็บพลังงานกลายเป็นตัวเลือกที่มีราคาถูกกว่าและเข้ากับระบบจ่ายไฟฟ้ามากกว่าไฟฟ้าพลังถ่านหิน” ไมเคิล บี แมกเอลรอย ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และหนึ่งในผู้เขียนผลการศึกษาระบุ

“ปัจจุบันไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนกลายเป็นตัวเลือกที่มีราคาถูกกว่าไฟฟ้าพลังถ่านหินสำหรับหลายพื้นที่ของจีน และข้อได้เปรียบด้านราคานี้จะครอบคลุมทั่วประเทศในอนาคตอันใกล้ เนื่องด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและต้นทุนที่ลดลง” หลู่สี่ รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งเป็นผู้ร่วมเขียนกล่าว

“ผลการศึกษาสะท้อนข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจของไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ บวกกับการลงทุนในระบบกักเก็บพลังงาน สามารถสร้างประโยชน์เพิ่มเติมให้ระบบจ่ายไฟฟ้า ซึ่งจะมีความสำคัญยิ่งต่อการดำเนินระบบที่เกี่ยวกับไฟฟ้าในอนาคตของจีน”


ควีนเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯ กลับวัง หลังประทับรพ.ครั้งแรกในรอบหลายปี

22 ต.ค. 64 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 พระชนมพรรษา 95 พรรษา ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับมาประทับที่พระราชวังวินด์เซอร์ และทรงงานเบาๆ แล้ว หลังจากได้ประทับในโรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งคืนเมื่อคืนวันพฤหัสฯ ที่ 21 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ต้องประทับในโรงพยาบาล

สำนักพระราชวังบักกิงแฮมออกแถลงการณ์ว่าสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯ ไปประทับที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจพระวรกายในเบื้องต้น

ก่อนหน้านี้ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งนับเป็นกษัตริย์ที่มีพระชนมพรรษามากที่สุด และทรงครองราชย์นานที่สุดในโลกมาเกือบ 70 ปี ได้ทรงยกเลิกการเสด็จพระราชดำเนินเยือนไอร์แลนด์เหนือเป็นเวลา 2 วัน ตั้งแต่วันพุธที่ 20 ต.ค. ตามคำแนะนำของคณะแพทย์ที่ทูลขอให้พระองค์ทรงพักผ่อนเป็นเวลา 2-3 วัน หลังจากได้ทรงงานอย่างต่อเนื่อง

ด้านบรรดาผู้ช่วยส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาพระพลานามัยของพระองค์ที่ต้องทรงเข้ารับการตรวจพระวรกายในเบื้องต้น ขณะที่ผู้สื่อข่าวประจำสำนักพระราชวังอังกฤษบางคนกล่าวว่า พวกเขาหวังให้มีการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการกรณีสมเด็จพระราชินี เอลิซาเบธที่ 2 ประทับที่โรงพยาบาล

แหล่งข่าวในสำนักพระราชวังอังกฤษเผยว่าสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ประทับที่โรงพยาบาลคิง เอ็ดเวิร์ดที่ 7 ทางตอนกลางของกรุงลอนดอน และคณะแพทย์ประจำพระองค์ได้ถวายการดูแลอย่างใกล้ชิด


จีนระดมฉีดวัคซีนเข็ม 3 โควิดระบาดอีกระลอก

22 ต.ค. 64 : เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า เมืองต่างๆ ในประเทศจีนเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มาแล้วอย่างน้อย 6 เดือน

หลังจากที่ประชากรเกือบ 80% ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว แต่มีข้อมูลเพิ่มเติมแสดงให้เห็นว่าระดับภูมิคุ้มกันของผู้ฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตายที่ใช้เป็นวัคซีนหลักในประเทศจีนลดลงหลังเวลาผ่านไปหลายเดือน

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนที่กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวซึ่งมีปักกิ่งเป็นเจ้าภาพจะเริ่มต้นขึ้นในเดือนก.พ. ปีหน้า ซึ่งผู้จัดงานยืนยันว่าจะปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มงวด โดยเบื้องต้นระบุว่าจะมีเพียงชาวจีนเท่านั้นที่สามารถเข้าชมการแข่งขันได้

ขณะที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ได้รับวัคซีนชนิดเชื้อตายของ Sinovac หรือ Sinopharm ควรได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 หรือบูสเตอร์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

โดยในเดือนก.ค. ที่ผ่านมา คณะผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้วัคซีนชนิด mRNA เป็นเข็มกระตุ้น เนื่องจากมีรายงานอัตราประสิทธิภาพสูงในการทดลองและถูกใช้อย่างแพร่หลายในตะวันตก

อย่างไรก็ตาม ประกาศที่ออกโดยหน่วยงานกำกับดูแลในท้องถิ่นของจีนไม่ได้ระบุถึงยี่ห้อหรือชนิดของวัคซีนที่ใช้เป็นเข็มกระตุ้น

ทั้งนี้ รายละเอียดของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแตกต่างกันไปตามจังหวัดและเมืองต่างๆ โดยมีหลายพื้นที่ที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้แก่ประชาชนที่อายุต่ำกว่า 60 ปีด้วย

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์กวางโจวเดลี่ระบุว่า ผู้ที่มีอายุ 18 ถึง 59 ปีในเมืองกวางโจวที่ได้รับวัคซีน Sinopharm, Sinovac หรือ Cansino ครบ 2 เข็มมาแล้วอย่างน้อย 6 เดือน สามารถรับวัคซีนตัวเดิมเป็นเข็มที่ 3 ได้

ขณะที่กรุงปักกิ่งระดมฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนจำนวนมากนอกเหนือจากกลุ่มเสี่ยง แต่ยังรวมไปถึงผู้ที่ทำงานในร้านค้า สถานศึกษา และสถานที่สาธารณะอื่นๆ

พื้นที่อื่นๆ รวมถึงมณฑลเหอเป่ย์และมณฑลเสฉวนจะให้สิทธิ์ผู้สูงอายุในการรับวัคซีนเข็มที่ 3 ก่อนเป็นลำดับแรก และจะจัดสรรวัคซีนให้ประชาชนกลุ่มอื่นๆ เป็นลำดับถัดไป

ขณะที่หลายพื้นที่เผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยมีการสั่งยกเลิกเที่ยวบินในประเทศหลายร้อยเที่ยว รวมทั้งปิดโรงเรียน และเร่งตรวจคัดกรองเชิงรุกในประชาชนหลายพื้นที่

ทางด้านผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลฮ่องกงคาดว่าจะมีการประชุมในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือว่าควรให้วัคซีนเข็มที่ 3 แก่ประชาชนในฮ่องกงหรือไม่ ขณะที่มีผู้ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วไม่ถึง 70%

Photo by STR / AFP


รัสเซียพบ “โควิดเดลตาพลัส” หวั่นระบาดแทนที่สายพันธุ์เดิม !

(22 ต.ค. 64): คามิล คาฟีซอฟ นักวิจัยอาวุโสของหน่วยงายเฝ้าระวังผู้บริโภคของรัสเซีย แถลง ไวรัสสายพันธุ์ย่อย “AY4.2” หรือ “เดลตาพลัส” อาจมีความรุนแรงระบาดง่ายและรวดเร็วมากกว่าเดลตาสายพันธุ์เดิมประมาณร้อยละ 10 โดยเดลตาสายพันธุ์เดิม ระบาดอยู่ในรัสเซียทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันพุ่งสูงทำสถิติต่อเนื่อง และสายพันธุ์ “AY4.2” อาจเข้ามาแทนที่ได้

อย่างไรก็ตาม คาฟีซอฟ บอกว่า น่าจะเป็นกระบวนการที่เป็นไปอย่างช้าๆ และวัคซีนมีประสิทธิภาพเพียงพอในการต่อต้านไวรัสสายพันธุ์ย่อยนี้ ซึ่งไม่ได้แตกต่างกันมากจนไปเปลี่ยนแปลงความสามารถของแอนติบอดี

นอกจากนี้ ไวรัสสายพันธุ์ “AY4.2” ยังพบอันตรายมากขึ้นในอังกฤษ และพบว่ามีผู้ติดเชื้อแล้วประมาณร้อยละ 6 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด นิโคเลย์ ครุชคอฟ นักภูมิคุ้มกันวิทยาของรัสเซีย กล่าวว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตา และสายพันธุ์ย่อยเดลตาพลัส จะยังเป็นสายพันธุ์หลักและอาจปรับตัวต่อต้านวัคซีนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอัตราการฉีดวัคซีน ต่ำกว่า หรือแค่ร้อยละ 50

ส่วนสถานการณ์การระบาดของโควิดในรัสเซีย ล่าสุดรายงานในวันพฤหัสบดีว่า มีผู้เสียชีวิตทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ 1,036 รายในรอบ 24 ชั่วโมงและติดเชื้อรายใหม่ 36,339 ราย ซึ่งรัสเซียต้องใช้มาตรการคุมเข้มด้านสาธารณสุขอีกครั้ง โดยเซอร์เก ซอบยานิน นายกเทศมนตรีกรุงมอสโก ประกาศให้คนอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน “พักอยู่กับบ้าน” นาน 4 เดือน และรัฐบาลก็อนุมัติให้ปิดสถานที่ทำงาน 1 สัปดาห์ 30 ตุลาคม ถึง 7 พฤศจิกายน เพื่อควบคุมการระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัส

กรุงมอสโก เมืองหลวงรัสเซีย รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ อยู่ที่ 7,897 ราย และกรุงมอสโกจะใช้มาตรการจำกัดพื้นที่อีกครั้งจากวันที่ 28 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป อนุญาตให้เปิดได้เฉพาะซูเปอร์มาเก็ต และร้านขายยาเท่านั้น

นอกจากนี้โรงเรียน และโรงเรียนอนุบาล จะปิดทำการเช่นกัน ส่วนบาร์ และร้านอาหาร เปิดให้บริการได้ แต่ให้ซื้อกลับบ้าน หรือสั่งทางเดลิเวอรี มาตรการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการป้องกันอย่างเร่งด่วน เนื่องจากผู้ติดโควิดและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งทำเนียบเครมลินระบุว่า เป็นเพราะอัตราการฉีดวัคซีนต่ำและเริ่มส่งผลให้โรงพยาบาลหลายแห่ง เผชิญกับความตึงเครียดแล้ว

โรงงานเคมีรัสเซียระเบิดเสียชีวิต 16 ราย

สำนักข่าวรอยเตอร์และเอพีรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 64 ว่า เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง เมื่อวันศุกร์ ภายในโรงงานผลิตดินปืนและสารเคมี ชื่อ อีลาสติก ในแคว้นไรยาซาน ทางภาคตะวันตกของรัสเซีย อยู่ห่างจากเมืองหลวงกรุงมอสโก ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 270 กิโลเมตร แรงระเบิดทำให้อาคารโรงงานพังทลายทั้งหลัง และเกิดเพลิงไหม้

มีผู้เสียชีวิต 16 ราย จากเหตุระเบิดรุนแรง ในโรงงานผลิตดินปืนและสารเคมี ในแคว้นไรยาซาน ทางภาคตะวันตกของรัสเซีย เมื่อวันศุกร์ เบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุ

ตอนแรกแถลงการณ์ของกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินรัสเซีย ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 7 ราย สูญหาย 9 คน และได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 1 คน แต่ต่อมาพบผู้สูญหายเสียชีวิตทั้งหมด โดยทั้ง 17 คนเป็นคนงานที่เข้ากะทำงานขณะเกิดเหตุ

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ 170 คน พร้อมรถดับเพลิง 50 คัน เข้าให้ความช่วยเหลือ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบสาเหตุของการระเบิดที่แน่ชัด เพียงแต่ระบุว่าน่าจะเกิดจากความผิดพลาด ในกระบวนการผลิต

เครดิตภาพ – AP, REUTERS