สถานการณ์ไฟป่าทางตะวันตกของสหรัฐยังรุนแรง เริ่มลามเข้าไปถึงพื้นที่ส่วนในของอุทยานแห่งชาติ "โยเซมิตี" ในรัฐแคลิฟอร์เนียแล้ว
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 ส.ค. นางสาวคารี ค็อบบ์ โฆษกหญิงของอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี ในรัฐแคลิฟอร์เนีย แถลงว่า ไฟป่า "ริม ไฟร์" ที่ปะทุขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ส.ค. เผาผลาญพื้นที่ไปแล้วกว่า 192,000 เอเคอร์ เทียบเท่าพื้นที่เมืองชิคาโก และรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย
แม้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 4,000 นาย บวกความช่วยเหลือจากกระทรวงกลาโหม ( เพนตากอน ) ที่ส่งอากาศยานไร้คนขับ ( โดรน ) มาเป็นกำลังเสริมในการดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่ยังควบคุมสถานการณ์ได้เพียง 30% และเปลวเพลิงเริ่มลุกลามเข้าไปยังพื้นที่ส่วนในของอุทยานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ค็อบบ์ยืนยันว่า หมู่บ้านโยเซมิตี ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางอุทยาน และเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามากางเต็นท์พักแรม ยังคงปลอดภัยดี พร้อมกับเผยถึงเหตุผลที่ต้องปิดถนนทุกสายมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวอุทยานถึง 2 สายนั้น ก็เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้สะดวกขึ้น
ขณะที่เจ้าหน้าที่ดูแลอ่างเก็บน้ำ "เฮช เฮทชี" บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก ยอมรับว่า กลุ่มควันและเถ้าถ่านจากการดับไฟป่าบางสาวนลอยมาถึงอ่างเก็บน้ำแล้ว แต่ยืนยันว่า มลภาวะทางอากาศยังไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของน้ำแต่อย่างใด
แม้จะยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ แต่ไฟป่าเผาผลาญสิ่งปลูกสร้างไปแล้ว 111 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นบ้านเรือนประชาชน 31 หลัง
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 29 ส.ค. ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้การต้อนรับ พ.ท.(หญิง) ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ ส.ส.สหรัฐฯ ลูกครึ่งไทย-สหรัฐฯ ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ
โดยในช่วงหนึ่ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีกับ พ.ท.(หญิง)ลัดดา ที่ได้รับการเลือกตั้ง พร้อมระบุว่ายินดีต้อนรับสู่บ้านเกิด รู้สึกปลื้มและชื่นใจในฐานะที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน เพราะนอกจากจะได้รับการเลือกตั้งแล้ว ส.ส.ลูกครึ่งไทยอเมริกันยังเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านทหารด้วย และต้องขอขอบคุณที่ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนมักพูดเสมอว่าตัวเองเป็นสายเลือดไทย จึงรู้สึกดีใจที่ทั้ง 2 ประเทศจะได้มีการเชื่อมความสัมพันธ์ให้มีความแน่นแฟ้นมากขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ ถือเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 3 ของประเทศไทย ในส่วนรัฐบาลได้มีการหารือกับนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อครั้งที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย ซึ่งคนไทยต่างชื่นชมและหวังว่าจากนี้ไปจะมีโครงการอื่น ๆ ร่วมกันกับทางสหรัฐฯ มากขึ้น รวมถึงโครงการที่เกี่ยวข้องกับสตรีด้วย
ขณะที่ พ.ท.(หญิง)ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่เป็นผู้หญิงสายเลือดไทยที่ได้รับการยอมรับ และได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ที่สหรัฐฯ จึงมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือทั้ง 2 ประเทศ เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันมากขึ้น และยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศไทย โดยเฉพาะงานด้านสตรี และคนพิการ ซึ่งทางการสหรัฐฯ ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือคนพิการอยู่แล้ว ส่วนงานทางด้านการทหารนั้น ปัจจุบันทหารไทยและสหรัฐฯก็มีความร่วมมือ โดยเฉพาะการฝึกซ้อมรบร่วมกันอยู่แล้ว
"ไม่ได้กลับเมืองไทยมา 5 ปีแล้ว ดีใจและภูมิใจที่เป็นคนไทย ทั้งนี้ในการพูดคุยกับ นายกรัฐมนตรี ก็ได้คุยกันว่าทำไมทั้งไทยและสหรัฐถึงมี ส.ส.หญิงน้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด ซึ่งถือว่าน้อยไป หากสามารถเพิ่มจำนวน ส.ส.หญิงได้มากขึ้นก็จะทำให้แนวคิดต่าง ๆ ครอบคลุม ส่วนตัวเห็นว่าน่าจะมีสถานที่สำหรับสอนผู้หญิงในการหาเสียง เพื่อที่จะได้กล้าเข้ามาทำงานการเมืองมากขึ้น อย่ากลัวการแพ้ สำหรับสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย แม้จะไม่ได้ติดตามตลอด แต่เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นการเมืองในสหรัฐฯ หรือไทย ก็มีลักษณะคล้ายกัน คือมาจากหลายภาค ย่อมมีความแตกต่างทางความเห็น ในสหรัฐฯ เอง ส.ส.ก็ยังมีการทะเลาะกัน แต่อย่าลืมว่าประเทศนี้คือประเทศของเรา เพราะฉะนั้นก็ต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา" พ.ท.(หญิง)ลัดดา กล่าว.
เวลา 09.30 น. วันที่ 29 ส.ค. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 นัดสั่งคดี ที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำ พธม., นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อดีตแกนนำ พธม.,นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และอดีตผู้ประสานงาน พธม., นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำกลุ่มคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน, นายอมร อมรรัตนานนท์ และนายเทิดภูมิ ใจดี แนวร่วม พธม. ตกเป็นผู้ต้องหาที่ 1-9 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ กระทำการให้ปรากฏด้วยวาจาให้ประชาชนละเมิดกฎหมายแผ่นดิน โดยมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ,116, 215 และ 216 กรณีกลุ่มพันธมิตรฯได้ชุมนุมทางการเมืองเพื่อต่อต้านรัฐบาล เมื่อ ปี 2551
โดยวันนี้นายจันทพงษ์ ซาบานาตีลา ทนายความ รับมอบอำนาจจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้เดินทางมายื่นคำร้องเพื่อขอเลื่อนนัดฟังการสั่งคดี เนื่องจากผู้ต้องหาติดภารกิจ ประกอบกับผู้ต้องหาที่เป็นแกนนำ พธม.ถูกยื่นฟ้องคดีอื่นอีกหลายคดี ซึ่งเป็นภาระในการหาหลักทรัพย์มาประกันตัว
อัยการพิจารณาแล้ว อนุญาตให้เลื่อนฟังคำสั่งออกไป โดยนัดผู้ต้องพบอัยการอีกครั้งวันที่ 27 ก.ย.นี้ เวลา 10.00 น.
โดยนายธีรพัฒน์ ทะไกรราช อัยการประจำฝ่ายคดีอาญา 5 เจ้าของสำนวน เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้พนักงานอัยการมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องในบางข้อหา พร้อมกับทำความเห็นส่งไปให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พิจารณาว่าจะมีความเห็นแย้งหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ได้ส่งความเห็นกลับมายังอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และได้ข้อยุติแล้ว โดยขั้นตอนอยู่ระหว่างรอผู้ต้องหาทั้ง 9 คนมารายงานตัว เพื่อฟังคำสั่งที่อัยการให้ฟ้องบางข้อหา ซึ่งจะได้นำตัวยื่นฟ้องศาลอาญาต่อไป
ด้านนายจันทพงษ์ ทนายความ กล่าวว่า คดีนี้อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ ตาม มาตรา 113 และมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก มาตรา 215 และ 216 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมหลักทรัพย์เพื่อใช้ประกันตัวหากนัดส่งตัวฟ้องศาล อย่างไรก็ตามยังติดปัญหาหลักทรัพย์ คาดว่านัดหน้าอาจจะต้องขอเลื่อนนัดอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ มาตรา 113 ฐานร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นกระทำกบฏนั้น ตามกฎหมายระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต , มาตรา 116 ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน วางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
มาตรา 215 ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรั้บ และมาตรา 216 ฐานเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกไปแต่ไม่เลิก ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012