สิบเจ็ดเดือนข้างหน้านี้สหรัฐอเมริกาก็จะมีประธานาธิบดีคนใหม่แล้ว โดยขณะนี้นักการเมืองที่เข้าข่ายเป็นตัวเก็งมีอยู่สามคนด้วยกันนั่นก็คือ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” และอีกคนก็คือ “ผู้ว่าฯ รอน เดอแซนติส” แห่งรัฐฟลอริดา
อย่างไรก็ตามขณะนี้นักการเมืองในค่ายพรรครีพับลิกันได้มีผู้ที่ออกมาประกาศว่าจะลงแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนของพรรคแล้ว อาทิ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” “อดีตผู้ว่าฯ นิกกี เฮลีย์” จากรัฐเซาท์แคโรไลนา ซึ่งในอดีตเธอผู้นี้เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำสหประชาชาติที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้งเธอนั่นเอง !
ทั้งนี้ถึงแม้ว่า อดีตผู้ว่าฯ นิกกี เฮลีย์ จะเป็นผู้นำรุ่นใหม่ไฟแรงอยู่ในพรรครีพับลิกันก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าโอกาสที่เธอจะได้รับเลือกให้เข้าไปเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันมีค่อนข้างน้อย แต่เนื่องจากเธอมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เธอก็อาจจะตั้งความหวังเอาไว้ว่าเธออาจจะได้รับเลือกให้เข้าไปร่วมอยู่ในตำแหน่งรองประธานาธิบดีก็เป็นไปได้ หากว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือกให้เข้าไปเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน
สำหรับ “อดีตผู้ว่าฯ อาสา ฮัตชินสัน” แห่งรัฐอาร์คันซอ ซึ่งเป็นผู้มากด้วยประสบการณ์มาแล้วอย่างโชกโชนมากมาย และดูเหมือนว่าผู้ว่าฯ ท่านนี้ก็ยังเป็นนักการเมืองในพรรครีพับลิกันเพียงคนเดียวที่กล้าหาญชาญชัยที่จะเอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์ได้อย่างเต็มปากไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ ที่เมียงๆ มองๆ ไปแล้วช่างแสนจะแตกต่างจากนักการเมืองของพรรครีพับลิกันแทบทุกคน !!!
ทั้งนี้ก็ยังมีนักการเมืองในค่ายพรรครีพับลิกันอีกหลายๆ คนที่ยังไม่แสดงเจตจำนงที่จะประกาศลงเลือกตั้ง อาทิ “อดีตผู้ว่าฯ คริส คริสตี้” แห่งรัฐนิวเจอร์ซี และยังมี “อดีตรองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์”เป็นต้น
ทั้งนี้ยังมีดาวรุ่งทางการเมืองที่กำลังพุ่งแรงและยังเป็นนักการเมืองอนาคตไกลนั่นก็คือ “ผู้ว่าฯ รอน เดอแซนติส” แห่งรัฐฟลอริดา และถึงแม้ว่าเขายังไม่ประกาศว่าจะร่วมลงแข่งขันเลือกตั้งก็ตาม แต่กลับปรากฏว่า ผู้ว่าฯ ท่านนี้ได้รับคะแนนนิยมสูงพอๆ กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ด้วยซ้ำไป !
และจากการสำรวจของหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล ที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2023 ว่า ผู้ว่าฯ เดอแซนติส มีคะแนนนิยมนำเหนือกว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน อยู่ที่ 48% ต่อ 46%
และเมื่อหันมาดูคะแนนนิยมระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กับ ผู้ว่าฯ เดอแซนติส กลับปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับคะแนนสูงเหนือกว่า ผู้ว่าฯ เดอแซนติส 51% ต่อ 38%
แต่เมื่อนำคะแนนนิยมระหว่าง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์มาเปรียบเทียบกันแล้วกลับปรากฏว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับคะแนนนิยมสูงเหนือกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ อยู่ที่ 46% ต่อ 44%
ลองหันกลับมาดูชีวประวัติของ ผู้ว่าฯ เดอแซนติส ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการศึกษา ด้านประสบการณ์ทางการเมืองกันดูแล้ว นับได้ว่าผู้ว่าฯ เดอแซนติส เป็นนักการเมืองที่ไม่ธรรมดาเลย
ผู้ว่าฯ เดอแซนติส เกิดและเติบโตที่รัฐฟลอริดามีเชื้อสายอิตาเลียน จบการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ด้วยคะแนนเกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยเยล และจบทางด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ในปีค.ศ. 2004 เดอแซนติสได้เข้าร่วมกองทัพเรือในตำแหน่งนาวาตรี ก่อนที่จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับ “หน่วยซีล” Seal และเขาถูกส่งตัวไปอิรักในปีค.ศ. 2007 และเมื่อกลับสหรัฐฯ เขาได้ทำหน้าที่เป็นทนายความในตำแหน่งผู้ช่วยพิเศษให้แก่สำนักงานอัยการสหรัฐฯ
ด้านชีวิตการเมืองของเดอแซนติส เขาได้รับเลือกให้เข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ ครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 2012 และได้กลายเป็นนักการเมืองดาวรุ่งในสภาคองเกรส โดยเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม Freedom Caucus ซึ่งเป็นกลุ่มนักการเมืองปีกขวาของพรรครีพับลิกัน และยังเป็นพันธมิตรอันดีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อีกด้วย
ต่อมาในปีค.ศ. 2018 เดอแซนติสได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ รัฐฟลอริดา โดยขณะที่ดำรงอยู่ในตำแหน่งได้แค่เพียงหนึ่งปี ปรากฏว่าผู้ว่าฯ เดอแซนติสก็ได้กลายเป็นผู้ว่าฯ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐฯ เลยทีเดียว
และเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2022 ผู้ว่าฯ เดอแซนติส ก็ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ รัฐฟลอริดาในสมัยที่สอง โดยสามารถเอาชนะคู่แข่งได้อย่างถล่มทลาย 59.4% ต่อ 40%
และถึงแม้ว่าขณะนี้ผู้ว่าฯ เดอแซนติส ยังไม่ได้ประกาศว่าจะเข้าลงแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังถูกอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สกัดดาวรุ่งตั้งหน้าตั้งตากระหน่ำโจมตีอยู่ตลอดเวลา โดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะเกรงว่า หากผู้ว่าฯ เดอแซนติส ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันก็จะเข้าไปเป็นก้างขวางคอ เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวและน่าเกรงขาม
โดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เพียรพยายามที่จะออกปากเสนอที่จะมอบตำแหน่งรองประธานาธิบดีให้แก่ผู้ว่าฯ เดอแซนติส แต่ปรากฏว่าผู้ว่าฯ ท่านนี้ยังแสดงท่าทีนิ่งเฉยหลีกเลี่ยงที่จะออกมาแสดงความคิดเห็น แถมตอนนี้เขาแทบจะไม่พูดจาอะไรที่เข้าไปมีส่วนพัวพันต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์เลยแม้แต่คำเดียว !!!
และต้องไม่ลืมว่าการเลือกตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในแต่ละสมัยนั้น รัฐฟลอริดามักจะเป็นรัฐชี้ขาดในการเลือกตั้งแทบทุกครั้งไปเพราะรัฐฟลอริดามีจำนวนคะแนน Electoral votes สูงถึง 30 คะแนน
อีกทั้งการที่ผู้ว่าฯ เดอแซนติส ยังคงรีๆรอๆ ที่จะประกาศลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น ก็สืบเนื่องมาจากตามกฎหมายของรัฐฟลอริดานั้น หากเขาต้องการที่จะลงเลือกตั้งเขาจะต้องลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯรัฐฟลอริดาเสียก่อน และหากว่าผู้ว่าฯ เดอแซนติสประกาศลงแข่งขันอย่างเป็นทางการแล้วละก็ เขาก็จะเปิดหน้ากลายเป็นคู่อริอย่างเปิดเผยต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เท่ากับว่าขณะนี้ผู้ว่าฯ เดอแซนติสอาจจะต้องการซื้อเวลาเล็งหาโอกาสเหมาะๆ ไปก่อนก็เป็นไปได้
และจากการหยั่งเสียงของสำนักโพล Morning Consult เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2023 นี้เปิดเผยออกมาว่า คะแนนนิยมที่ผู้ว่าฯ เดอแซนติสได้รับนั้น มีสูงกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าเกรงขามมิใช่น้อย
จากการหยั่งเสียงครั้งล่าสุดของ Public Opinion Strategies ระหว่างวันที่ 11-13 เมษายน 2023 ยังปรากฏออกมาเช่นเดียวกันว่า คะแนนนิยมของผู้ว่าฯ เดอแซนติส มีสูงกว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในสามรัฐสำคัญๆ อันได้แก่ รัฐเพนซิลเวเนีย รัฐแอริโซนา และ รัฐฟลอริดา
อนึ่งแม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมากด้วยประสบการณ์ มีความสุขุมรอบคอบสูง แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่เล็งเห็นว่าหากประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้รับเลือกในสมัยที่สอง เขาก็จะมีอายุปาเข้าไป 82 ปีแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นอุปสรรคในการบริหารประเทศ แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้พรรคเดโมแครตก็ยังไม่มีตัวเลือกที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะเข้าไปแข่งขันต่อกรฉะฝีปากกับประธานาธิบดีทรัมป์ หรือแม้แต่กับผู้ว่าฯ เดอแซนติสได้เลย !!!
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้ และทั้งนั้น ขณะนี้ผู้ที่จะมีโอกาสเข้าสู่ทำเนียบขาวคนต่อไป ดูๆ ไปแล้วเห็นท่าทีที่อยู่ในข่ายแค่เพียงสามคนเท่านั้นนั่นก็คือประธานาธิบดีโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และผู้ว่าฯ รอน เดอแซนติส และในเดือนมิถุนายน 2023 ที่จะถึงนี้ เราก็คงจะมีโอกาสที่จะได้รับทราบว่า ผู้ว่าฯ เดอแซนติส จะตัดสินใจอย่างไร ? และจากนั้นเป็นต้นไปการเมืองสหรัฐฯ ก็คงจะตีระฆังเริ่มขึ้นสังเวียนแข่งขันในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้อย่างชัดเจนยิ่งๆ ขึ้น ซึ่งจะนำมาเสนอในฉบับต่อๆ ไป
ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
รัสเซียระดมยิงขีปนาวุธ โจมตีหลายเมืองทั่วยูเครน รวมทั้งกรุงเคียฟ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 ศพ จนนับเป็นการหวนกลับมาโจมตีเมืองหลวงยูเครน ครั้งแรกในรอบ 51 วัน
เมื่อ 28 เมษายน 2566 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังคงหฤโหด หลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เปิดฉากทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบในยูเครนตั้งแต่ 24 ก.พ. 2565 กองทหารฝ่ายรัสเซียได้ระดมยิงมิสไซล์ (ขีปนาวุธ) โจมตีหลายเมืองทั่วประเทศยูเครน รวมทั้งกรุงเคียฟ เมืองหลวง เมื่อคืนวันพฤหัสฯ ที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 ศพ บาดเจ็บหลายสิบคน
เจ้าหน้าที่ยูเครน เผยว่า รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธมาโจมตีอพาร์ตเมนต์ ที่พักอาศัยของพลเรือนแห่งหนึ่ง ที่เมืองอูมาน ทางภาคกลางของยูเครน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ศพ และบาดเจ็บ 17 คน นอกจากนั้น รัสเซียยังยิงมิสไซล์ไปโจมตีที่เมืองนีโปร เป็นเหตุให้ผู้หญิงเสียชีวิต 1 ศพ และลูกสาววัย 3 ขวบของเธอเสียชีวิตด้วย
กองทัพรัสเซีย ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในยูเครน ระลอกใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 2 เดือน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 20 ราย
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวว่า กองทัพรัสเซียปฏิบัติการโจมตีทางอากาศตามเมืองใหญ่หลายแห่งทั่วประเทศ เมื่อช่วงรุ่งสางของวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 17 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก
ขณะที่กองทัพยูเครน อ้างการยิงสกัดขีปนาวุธโจมตีนำวิถีของรัสเซียได้อย่างน้อย 21 จาก 23 ลูก อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายยอมรับว่า ปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียครั้งนี้ มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบเกือบ 2 เดือน ทว่ายังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากฝ่ายใด ว่าการโจมตีทางทหารของรัสเซียรอบนี้ ยังคงพุ่งเป้าไปที่โคงสร้างพื้นฐานเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาหรือไม่
ปัจจุบัน กองทัพรัสเซียควบคุมพื้นที่เป็นวงกว้าง ในภูมิภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือและทางใต้ของยูเครนเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ส่วนศูนย์กลางของสมรภูมิในเวลานี้ อยู่ที่เมืองบัคมุต ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่งของภูมิภาคดอนบาส ที่อยู่ทางตะวันออกของประเทศ และฝ่ายตะวันตกเชื่อมั่นว่า กองทัพยูเครนจะสามารถเปิดฉากปฏิบัติการโจมตีโต้กลับได้ภายในอีกไม่ช้านี้ จากการที่พันธมิตรตะวันตกทยอยส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงรถถังประจัญบาน ให้อย่างต่อเนื่อง
เครดิตภาพ : REUTERS
นายกฯ รับคนไทยที่อพยพเดินทางกลับมาประเทศไทยชุดแรก พร้อมชื่นชมความร่วมมือของทุกฝ่าย เพื่อนำพี่น้องชาวไทยกลับมาโดยสวัสดิภาพ ย้ำรัฐบาลห่วงใย ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนไทยสูงสุด
27 เมษายน 2566 เวลา 22.00 น. ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รอต้อนรับคณะคนไทยกลุ่มที่ 1 ที่มากับเที่ยวบิน A340-500 เที่ยวบินแรก จากท่าอากาศยานนานาชาติ King Abdulaziz เมืองเจดดาห์ ซาอุดิอาระเบีย จำนวน 78 คน โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าวันนี้มาติดตามสถานการณ์การอพยพคนไทยกลับจากประเทศซูดาน ยินดีและขอขอบคุณด้วยหัวใจ ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ทุกคน โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานด้านความมั่นคง ในนามรัฐบาลได้สั่งการหน่วยงานทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ขอบคุณการเตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่องเพื่ออพยพคนไทยกลับสู่ประเทศไทยให้ได้ ทั้งนี้ การดำเนินการไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องประเมินสถานการณ์ตลอด ครั้งนี้ถือเป็นบททดสอบของรัฐบาลไทยที่สามารถดูแลคนไทยได้ รวมทั้ง ขอบคุณการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง เช่น อียิปต์ ซาอุดิอาระเบีย
ย้ำประสิทธิภาพของประเทศในทุกด้านซึ่งต้องมีความพร้อมทั้งด้านกำลังคน อุปกรณ์ แผนดำเนินการ ที่วางไว้ล่วงหน้าเพื่อเผชิญเหตุต้องเตรียมความพร้อมตลอดเวลา โดยขอให้ทุกคนทำงานตามหน้าที่เตรียมความพร้อมดูแลคนไทยให้ได้มากที่สุด ขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนและผู้ที่ติดตามข่าวสารด้วยความห่วงใยคนไทย ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา คนไทยอยู่ร่วมกันด้วยความรักความสามัคคีซึ่งขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ได้กลับบ้าน และยินดีกับทุกครอบครัว นายกรัฐมนตรีได้กำชับรอติดตามสถานการณ์กลับสู่ความสงบเรียบร้อย
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ทักทายคณะคนไทยด้วยความห่วงใยสอบถามรายละเอียดการเดินทาง สอบถามถึงสถานการณ์การเรียน การเปิดภาคการศึกษา ดีใจที่ทุกคนปลอดภัย ย้ำรัฐบาลส่งความห่วงใยให้ตั้ง แต่วันแรกได้สั่งการให้มีการเตรียมการอพยพอย่างรอบคอบเพื่อให้ทุกคนปลอดภัยดีใจที่ทุกคนปลอดภัยกลับมา และขอให้เดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย
ทั้งนี้ เครื่องบิน Airbus A340-500 ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติ คิง อับดุลาซิซ (King Abdulaziz) เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย นำผู้ประสงค์จะเดินทางกลับพร้อมเครื่องบินของกองทัพอากาศในเที่ยวบินแรก จำนวน 78 คน ประกอบด้วย นักเรียนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 71 คน จังหวัดพัทลุง 1 คน นครศรีธรรมราช 1 คน และครอบครัวซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี 5 คน และเบื้องต้นทุกคนได้รับการดูแลอย่างดีจากกองทัพอากาศ พร้อมได้ตรวจสุขภาพ และผ่านการตรวจคัดกรองจากทีมแพทย์ของกองทัพอากาศ ซึ่งแม้มีอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แต่ทุกคนปลอดภัยและรู้สึกดีใจที่เดินทางถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ
โดยคณะคนไทยจะผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองและการตรวจคัดกรองโรคก่อนเดินทางไปยังโรงแรมที่พัก และในวันพรุ่งนี้ (28 เมษายน 2566) คณะคนไทยที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่ภาคใต้จะเดินทางกลับพื้นที่ด้วยเครื่องบิน C–130 ของกองทัพอากาศ เพื่อกลับสู่ภูมิลำเนาต่อไป
นอกจากนี้ ชุดปฏิบัติการของกองทัพอากาศยังคงเตรียมความพร้อมอยู่ที่เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย พร้อมประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือคนไทยชุดต่อไปซึ่งจะขึ้นเรือจาก Port of Sudan มาที่เมืองเจดดาห์ รวมถึงเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่ซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยนายกรัฐมนตรีห่วงใย ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนไทย โดยมุ่งหวังที่จะนำพี่น้องชาวไทยทุกคนที่ประสงค์เดินทางกลับประเทศไทยอย่างปลอดภัย
28 เมษายน 2566: จนถึงตอนนี้เราคิดว่าพระจันทร์มีเพียงดวงเดียวที่โคจรรอบโลกของเรา แต่ความจริงแล้วพระจันทร์ยังมีเพื่อน แม้ว่าจะในระยะเวลาที่จำกัด
ปกติเวลามองฟ้าเรามักเห็นดวงจันทร์ และในคืนฟ้าแจ่มเราอาจมองเห็นดวงดาวด้วย แต่นั่นก็แค่ดวงจันทร์หนึ่งดวง กับดาวอีกไม่กี่ดวงบนท้องฟ้า นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้เฝ้าสังเกตวัตถุอีกชิ้นหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้โลกมาเป็นเวลาหลายปี พวกเขาตั้งชื่อวัตถุนั้นว่า ‘Kamo’oalewa’ เป็นศัพท์ภาษาฮาวายที่ใช้เรียกวัตถุบนท้องฟ้า
อย่างไรก็ตาม Kamo’oalewa มีขนาดเล็กเกินกว่าจะเป็นดวงจันทร์จริง ด้วยเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50 เมตรเท่านั้น อีกทั้งมันยังไม่ได้โคจรรอบโลกโดยตรง แต่โคจรระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ในลักษณะคล้ายเกลียวไขจุกไวน์ เนื่องจากมันถูกดึงกลับไปกลับมาระหว่างแรงโน้มถ่วง นักวิทยาศาสตร์สงสัยมานานแล้วว่า วัตถุนี้เกี่ยวข้องกับอะไร มันไม่ได้มีลักษณะคล้ายดาวเคราะห์น้อยเช่นที่มักพบเจอใกล้โลก
ดาวเคราะห์น้อยมักจะเรืองแสงสว่างเมื่อฉายด้วยแสงอินฟราเรด แต่ Kamo’oalewa ยังคงมืดอยู่ สิ่งนี้จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์ประกอบของมันได้ยาก เบนจามิน ชาร์กีย์-นักวิทยาศาสตร์จาก Lunar and Planetary Laboratory ในทูซอนรายงานว่า มันส่องแสงจางมาก จึงทำให้สังเกตมันได้ยาก แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาและทีมงานก็เกิดไอเดีย
พวกเขาทำการเปรียบเทียบองค์ประกอบทางวัตถุของจันทร์ดวงน้อยลึกลับ กับจันทร์ดวงจริง จากนั้นไขปริศนาได้ว่า Kamo’oalewa น่าจะเป็นชิ้นส่วนของดวงจันทร์ ที่อาจหลุดออกระหว่างการชนของดาวเคราะห์น้อย และโคจรอยู่เพียงลำพังตั้งแต่นั้นมา ทีมนักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า มันจะโคจรเคียงข้างไปกับดวงจันทร์ของเราไปอีกราว 300 ปี หลังจากนั้นแรงดึงดูดของโลกและดวงอาทิตย์จะไม่สามารถยึดเหนี่ยวมันไว้ได้อีกต่อไป
และมันจะหลุดออกจากวงโคจร ลอยเคว้งคว้างไปในอวกาศตามทางของมันอย่างโดดเดี่ยว