ข่าว
วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ วิจารณ์ แถลงการณ์ ศอ.รส.ไม่ผิด

นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระ เปิดเผยว่า จากแถลงการณ์ของ ศอ.รส.ฉบับที่ 1 นั้น ไม่เป็นการทำเกินหน้าที่ของหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของสังคม ตอนนี้บ้านเมืองอยู่ในภาวะไม่ปกติ แต่ถ้าบ้านเมืองอยู่ในภาวะปกติจะไม่ออกมาแสดงความคิดเห้นเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของอค์กรอิสระเช่นนี้

แต่ปัจจุบันนั้นบ้านเมืองอยู่ในภาวะไม่ปกติ การทำหน้าที่ของ ศอ.รส.เป็นไปเพื่อรักษาความสงบ คลายความกังวลใจ หากองค์กรอิสระไม่ทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง สร้างความแยกแยกในสังคม อาจทำให้ความสงบเรียบร้อยถูกทำลาย ซึ่งการแถลงนี้สะท้อนว่า ศอ.รส.ไม่มีเจตนาแทรกแซงการทำหน้าที่ของศาลรวมถึงองค์กรอิสระ เขาไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่มากดดัน ขมขู่ หรือใช้อำนาจลักษณะอื่น เช่น ส่งคนไปประกบตัว ปปช. แต่เป็นการแถลงการณ์ออกมาอย่างสงบ เปิดเผยสู่สาธารณะ สะท้อนถึงความกังวลใจยามบ้านเมืองผิดปกติ

หากศาลและองค์กรอิสระทำหน้าที่ซื่อสัตย์ เป็นกลาง ก็ไม่ต้องสนใจแถลงการณ์นี้ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างเพราะประชาชนจะเห็นเอง แต่หากองค์กรอิสระรวมถึงศาลแสดงท่าทีร้อนตัว ประชาชนจะรู้เองว่าองค์กรเหลานี้ไม่มั่นใจในความสุจริตตัวเอง ไม่มั่นใจในการทำหน้าที่ของตัวเอง

ฝากย้ำว่า บรรยากาศนี้เหมือนศอ.รส.ได้ข้อมูลบางอย่างที่ทำให้เห็นว่าบ้านเมืองจะถึงจุดวิกฤต มีแนวโน้มว่าจะเกิดการนองเลือก ซึ่งผมเองวิเคราะห์ไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้วแล้วว่า หากเราไม่สามารถแก้ไขโดยใช้กติกาผ่านการจัดการเลือกตั้ง จะทำให้ทุกฝ่ายอึดอัดว่าพึ่งกติกาไม่ได้ ต้องพึ่งกำลัง มันอันตราย เพราะผู้ชุมนุมเองก็ฮึกเหิม ฝ่ายที่ต้องการการเลือกตั้งก็ต้องอดทน ฉะนั้น คิดว่าทุกฝ่ายต้องเคารพกฎหมาย ทำให้ทุกคนทุกฝ่ายเห็นเป็นประจักษ์ว่าตนเองทำหน้าที่อย่างสุจริตและเป็นกลาง

"ตู่-เต้น"รอดนอนคุก!! ศาลไม่สั่งถอนประกัน

18 เม.ย. ศาลอาญา รัชดา ไต่สวนเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รักษาการ ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะแกนนำ นปช. ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 และ 3 คดีร่วมกันก่อการร้าย

คดีนี้นายบรรจบ รุ่งโรจน์ อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ รับมอบอำนาจจากนายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว หลังเห็นว่านายจตุพร และนายณัฐวุฒิ มีพฤติการณ์กระทำผิดเงื่อนไขศาล โดยขึ้นเวที ปราศรัยที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ยั่วยุปลุกปั่น ให้ตัวแทนกลุ่ม นปช. ในจังหวัดต่างๆ เตรียมอาวุธและกำลังคนเพื่อร่วมต่อต้านกลุ่ม กปปส. ซึ่งศาลได้ยกคำร้องไปแล้ว แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจน ศาลจึงได้เปิดไต่สวน พร้อมออกหมายเรียกนายจตุพร ,นายณัฐวุฒิ ,นายสาธิต, นายบรรจบ และนายทศพล เพ็งส้ม มาให้ถ้อยคำ

เมื่อถึงเวลานัดนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลโดยนำใบรับรองแพทย์ ของนายจตุพร ที่ป่วยเป็นไข้ เจ็บคอและนายณัฐวุฒิ คออักเสบ มายื่นต่อศาล พร้อมขอระยะเวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดี ออกไปเป็นวันที่ 8 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกในคดีก่อการร้ายด้วย

ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีนี้ไม่จำเป็นต้องสืบพยานต่อหน้าจำเลยไม่อนุญาตให้เลื่อนจึงได้เปิดไต่สวนผู้ร้องเสร็จ1ปากคือนายสาธิตโดยสอบถามข้อเท็จจริงถึงสาเหตุที่มายื่นคำร้อง จากนั้นศาลจึงได้พักการพิจารณาชั่วคราว

ภายหลังพักพิจารณา ศาลได้ไต่สวนนายบรรจบ และนายทศพล พยานอีก 2 ปาก ของผู้ร้อง รวมไต่สวนพยานทั้งสิ้น 3 ปาก เมื่อไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงนัดฟังคำสั่งวันนี้เวลา 15.00 น.

นายแพทย์เหวง โตจิราการณ์ กล่าวว่าเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และเชื่อศาลจะเมตตา แม้ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ไม่กระทบต่อการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ซึ่งที่ผ่านมามีการหารือกันถึงเรื่องนี้บ้างแล้ว และไม่มีการวางตัวใครแทน

ขณะที่นายสาธิต ปิตุเตชะ กล่าวว่า มั่นใจในพยานหลักฐาน แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลว่าจะมีคำสั่งอย่างไร

ต่อมาเวลา 15.00 น. ศาลนัดฟังคำสั่ง โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจากพยานหลักฐานไม่ปรากฎว่า นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ มีการปราศรัย ยุยง ปลุกปั่น ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรือทำให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน แม้ว่านายจตุพร และนายณัฐวุฒิ จะปราศรัย ให้ประชาชนออกมาต่อต้านรัฐประหาร แต่เป็นสิ่งที่กระทำได้เพราะการทำรัฐประหารถือว่าผิดกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่ปราศรัยให้ประชาชนออกมาชุมนุม กรณีศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ถือว่าประชาชนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นได้ แม้ว่าคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับ ดังนั้นพยานหลักฐานฝ่ายผู้ร้องไม่เพียงพอ รับฟังว่านายจตุพร และนายณัฐวุฒิ กระทำผิดเงื่อนไขศาล จึงไม่มีเหตุให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราว แต่ศาลเตือนให้นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ ระวังคำพูดปราศรัยในการชุมนุม ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดเงื่อนไขศาลได้

ภายหลังนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความกลุ่ม นปช. ระบุว่าหลังรับทราบคำสั่งได้โทรศัพท์ บอกนายจตุพร และนายณัฐวุฒิ แล้ว ซึ่งทั้งคู่ก็กล่าวขอบคุณศาล และยืนยันว่าจะพยายามควบคุมการชุมนุมให้เป็นไปด้วยความสงบ ไม่ละเมิดเงื่อนไขศาล

พ่อ-แม่สุดทนแจ้งตร. ลูกสาวหมิ่นสถาบัน

พ่อ-แม่สุดทนพฤติกรรมลูกสาวแฮร์สไตลลิสต์ที่ลอนดอน หอบหลักฐานหมิ่นเบื้องสูง โร่แจ้งกองปราบฯจัดการลงโทษ ชี้ห้ามยังไงก็ไม่ฟัง วอนสังคมเห็นใจกับเรื่องที่ไม่ได้ก่อขึ้น ตร.เตรียมนำมารวมกับคดี“โกตี๋” แกนนำคนเสื้อแดงปทุมธานี

เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 17 เม.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสุรพงศ์ อมรพัฒน์ อายุ 67 ปี และ นางสมจินตนา อมรพัฒน์ อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 64 ซอยเฉลิมพระเกียรติ 22 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.ฉัตรวดี อมรพัฒน์ หรือ “โรส” อายุ 34 ปี บุตรสาวคนเล็กของ นายสุรพงศ์ และนางสมจินตนาเอง ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยทั้งคู่นำแผ่นดีวีดีบันทึกภาพ และเสียงของ น.ส.ฉัตรวดี ที่มีการกล่าวพาดพิงสถาบันเบื้องสูงรวม 7 คลิป มอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน

ทั้งนี้ นายสุรพงศ์ และนางสมจินตนา เปิดเผยว่า เหตุที่ต้องเข้าแจ้งความดำเนินคดีบุตรสาวตนเอง เป็นเพราะช่วงเวลาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ถูกต่อว่า ถูกโทรศัพท์มาคุกคามต่าง ๆ นานา หลังจากบุตรสาวซึ่งไปทำงานเป็นช่างผม หรือแฮร์สไตลลิสต์ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ถ่ายคลิปวีดีโอที่่มีการพาดพิงสถาบันเบื้องสูง นำเผยแพร่ทางเว็บไซต์ และสื่อสังคมออนไลน์ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์

"เรื่องที่เกิดขึ้นพวกตนไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิดของบุตรสาว จึงต้องเข้าแจ้งความ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ขณะนี้ก็ยังติดต่อกับบุตรสาวได้บ้างไม่ได้บ้าง เคยบอกเตือนให้หยุดกระทำแบบนี้ แต่บุตรสาวก็ไม่ฟัง เขาก็ไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ นานแล้วตอนนี้ก็ได้สัญชาติอังกฤษ ลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่น พวกตนก็ไม่เคยบังคับอะไรบุตรสาวเลย ก็อยากขอความเห็นใจจากคนในสังคมว่า “ลูกกระทำผิดก็ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ต้องผิดไปด้วยเพราะไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ”

ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า กรณีดังกล่าวตนได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว หากพบว่าเป็นความผิดจริง แม้จะเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร แต่ถือว่าเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายไทย มีการเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต โดยการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีนั้นคงต้องทำงานร่วมกับทางอัยการสูงสุดต่อไป อย่างไรก็ตามในเวลา 10.00 น.วันที่ 18 เม.ย. พล.ต.ต.นรบุญ แน่นหนา รอง ผบช.ก.รักษาราชการแทน ผบก.ป.จะเรียกประชุมคณะทำงานติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีกับ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” แกนนำคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งตนจะเสนอที่ประชุมให้นำกรณีการแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.ฉัตรวดี มาพิจารณาเพื่อรวมเป็นคดีเดียวกัน ก่อนนำเรื่องเสนอต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นต่อไป.