วันที่ 8 ต.ค. เอพี และ เอเอฟพี รายงานว่า เกิดระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีมัสยิดของมุสลิมนิกายชีอะฮ์ ระหว่างพิธีละหมาด ในเมืองคุนดุซ ทางเหนือของอัฟกานิสถาน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 100 ราย ตามการยืนยันของเจ้าหน้าที่ตาลิบัน และมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 100 คน นับเป็นเหตุการณ์นองเลือดที่สุดตั้งแต่สหรัฐอเมริกาถอนกำลังทหารออกจากประเทศไปเมื่อสิ้นเดือนส.ค. ที่ผ่านมา
สื่อสังคมออนไลน์เแพร่ภาพถ่ายกองศพโชกเลือดจำนวนมาก และเศษซากภายในมัสยิดจากแรงระเบิด และคนจำนวนมากเคลื่อนย้ายผู้เสียชีวิตขึ้นรถพยาบาล ท่ามกลางฝูงชนตื่นตระหนกเต็มถนน
ขณะนี้ยังไม่มีใครออกมาประกาศเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่กลุ่มหัวรุนแรงมุสลิมนิกายซุนนี และไอเอส-เค หรือรัฐอิสลามแห่งโคราซาน ซึ่งเป็นสาขาของไอเอส และเป็นคู่แข่งของตาลิบัน เคยพุ่งเป้าโจมตีมุสลิมนิกายชีอะฮ์ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยหลายครั้ง เนื่องจากถือว่ามุสลิมนิกายชีอะฮ์เป็นคนนอกรีต
นายมาตีอุลเลาะห์ โรฮานี ผู้อำนวยการวัฒนธรรมและสารสนเทศในเมืองคุนดุซของรัฐบาลตาลิบัน ยืนยันว่า เหตุการณ์นองเลือดเป็นระเบิดฆ่าตัวตาย
แหล่งข่าวการแพทย์ที่โรงพยาบาลจังหวัดคุนดุซกล่าวว่า มีผู้เสียชีวิต 35 ราย และผู้บาดเจ็บมากกว่า 50 คน ส่วนที่โรงพยาบาลองค์การแพทย์ไร้พรมแดน หรือแอมแอสเอฟ มีผู้เสียชีวิต 15 ราย และผู้บาดเจ็บจำนวนมากเช่นกัน
BBC : 8 ต.ค. 64 คณะกรรมการรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ที่นอร์เวย์ พิจารณาตัดสินมอบรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพประจำปี 2021 ให้แก่นางสาว มาเรีย เรสซา นักข่าวหญิงคนดังชาวฟิลิปปินส์ และนาย ดมิทรี มูราทอฟ นักข่าวชาวรัสเซีย จากการต่อสู้เพื่อปกป้องเสรีภาพของการแสดงออกในประเทศฟิลิปปินส์และรัสเซีย จากผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโนเบลสันติภาพปีนี้ 329 คน
คณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ได้เรียก มาเรีย เรสซา และดมิทรี มูราทอฟ ว่า เป็นตัวแทนของนักข่าวทุกคนในการยืนหยัดเพื่ออุดมการณ์ในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของการแสดงออก
หลังทราบผลการตัดสิน นางสาวเรสซา อดีตนักข่าว CNN และได้ร่วมก่อตั้งสำนักข่าวเชิงสืบสวนทางออนไลน์ “Rappler” ได้กล่าวด้วยความดีใจว่าเธอรู้สึกช็อกตกตะลึงเมื่อทราบว่าเป็นผู้ร่วมครองรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีนี้ พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า การที่เธอได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ ได้แสดงให้เห็นว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้โดยปราศจากข้อเท็จจริง โลกที่ไม่มีข้อเท็จจริง หมายถึงโลกที่ไม่มีความจริงและไม่มีความไว้วางใจ
เว็บไซต์ข่าว Rappler ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีที่บรรณาธิการบริหารของ Rappler ร่วมคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2021 ว่า รู้สึกเป็นเกียรติและประหลาดใจที่บรรณาธิการบริหารของ Rappler ร่วมคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
ด้าน นายมูราทอฟ ผู้ร่วมก่อตั้งและบรรณาธิการ นสพ. Novaya Gazeta ในรัสเซีย ซึ่งได้ต่อสู้ปกป้องเพื่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในรัสเซียภายใต้เงื่อนไขความท้าทายที่เพิ่มขึ้นมานานหลายสิบปี กล่าวด้วยความดีใจหลังรู้ว่าได้ครองรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพว่า เขาหัวเราะ เพราะไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้คว้าโนเบลสาขาสันติภาพ พร้อมทั้งประกาศขออุทิศรางวัลอันทรงเกียรตินี้ให้แก่นักข่าวชาวรัสเซียที่กำลังถูกควบคุมบังคับจากอำนาจรัฐ
ทั้งนี้ นางสาวเรสซา และนายมูราทอฟ สองนักข่าวคนดังชาวฟิลิปปินส์และรัสเซียจะร่วมกันได้รับเงินรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จำนวน 10 ล้านโครนาสวีเดน หรือเท่ากับ 38.7 ล้านบาท (คิดในอัตราแลกเปลี่ยน 1 โครนาสวีเดน เท่ากับ 3.87 บาท).
ที่มา : BBC
พายุโซนร้อน “ไลออนร็อก” ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่น ขณะมุ่งหน้าถล่มเกาะไหหลำ ยกระดับเตือนภัยขึ้นเป็นระดับ 3 ขณะที่ทิศทางของพายุจะมุ่งหน้าถล่มเวียดนาม สปป.ลาว และไทย
8 ต.ค. 64 เว็บไซต์ซินหัวรายงาน สำนักอุตุนิยมวิทยาที่เกาะไหหลำ ทางตอนใต้ของจีนติดตามพายุโซนร้อนไลออนร็อก (Lionrock) ซึ่งก่อตัวในทะเลจีนใต้ ได้ทวีกำลังเป็นพายุไต้ฝุ่นขณะอยู่ห่างจากเมืองว่านหนิง บนเกาะไหหลำ ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 150 กิโลเมตร เมื่อเวลา 08.00 น. ของเช้าวันนี้ (8 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยนับเป็นไต้ฝุ่นลูกที่ 17 ที่ส่งผลกระทบต่อจีนในปีนี้
สำนักอุตุนิยมวิทยาที่ไหหลำ ได้ยกระดับเตือนภัยพายุไต้ฝุ่นไลออนร็อก ขึ้นเป็นระดับ 3 ขณะพายุไต้ฝุ่นลูกนี้มุ่งหน้าเตรียมขึ้นฝั่งเกาะไหหลำ นอกจากนั้น ทางการจีนได้สั่งหยุดให้บริการโดยสารเฟอร์รี่ข้ามฟากบริเวณช่องแคบ Qiongzhou ตั้งแต่ว้นที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมา เนื่องจากอิทธิพลของพายุไลออนร็อกได้ก่อให้เกิดลมกระโชกแรงและคาดว่าจะสามารถกลับมาให้บริการเรือข้ามช่องแคบได้อีกครั้งในวันอาทิตย์ที่ 10 ต.ค. หลังจากพายุพัดผ่านไปแล้ว และจะส่งผลกระทบต่อฮ่องกง ก่อนมุ่งหน้าไปยังอ่าวตังเกี๋ย เตรียมขึ้นฝั่งภาคเหนือเวียดนาม สปป.ลาว และไทย ต่อไป
BBC : 8 ตุลาคม 2564 : เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์สหรัฐฯ ชนกับวัตถุปริศนาในทะเลจีนใต้ ส่งผลให้ลูกเรือได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 15 นาย
กองทัพเรือสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ USS Connecticut ประสบอุบัติเหตุชนวัตถุปริศนา ขณะปฏิบัติการอยู่ในทะเลจีนใต้ บริเวณน่านน้ำสากลในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ส่งผลให้ลูกเรือ 15 นายบาดเจ็บเล็กน้อย ขณะที่ตัวเรือดำน้ำไม่ได้รับความเสียหายรุนแรง และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบบพลังงานนิวเคลียร์ ที่ยังคงใช้งานได้ตามปกติ โดยล่าสุดเรือดำน้ำได้มุ่งหน้ากลับไปยังฐานทัพสหรัฐฯ ที่เกาะกวมมแล้ว และยังไม่มีการระบุแน่ชัดถึงสาเหตุของอุบัติเหตุรวมทั้งวัตถุปริศนาที่เรือดำน้ำไปชนคืออะไรกันแน่
เหตุเรือดำน้ำสหรัฐฯ ชนวัตถุปริศนาในทะเลจีนใต้ เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่สถานการณ์ระหว่างจีนกับไต้หวันกำลังตึงเครียด จากกรณีที่จีนส่งเครื่องบินรบหลายลำบินเหนือน่านฟ้า ซึ่งไต้หวันอ้างว่าเป็นน่านฟ้ากลาโหมของไต้หวัน จนรัฐมนตรีกลาโหมของไต้หวันชี้ว่า นี่เป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่สุดในรอบ 40 ปี และจีนอาจพร้อมรุกรานไต้หวันเต็มรูปแบบในปี 2025 หรือภายใน 4 ปีข้างหน้า
ที่ผ่านมาประเทศจีน ได้อ้างสิทธิ์ในพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลจีนใต้ ทับซ้อนกับหลายชาติในอาเซียน ทั้งฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย เวียดนาม รวมทั้งไต้หวันที่ยืนยันว่ามีสิทธิ์ในน่านน้ำทะเลจีนใต้เช่นกัน จนเกิด เป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อหลายปี โดยจีนได้เข้าไปสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ บนเกาะในพื้นที่พิพาทเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ขณะที่สหรัฐฯ หนุนประเทศต่างๆ ในอาเซียนต่อสิทธิในดินแดนพิพาท
บีบีซี รายงานว่า กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า เรือดำน้ำนิวเคลียร์ยูเอสเอส คอนเนตทิคัต พุ่งชนกับวัตถุปริศนาใต้น้ำในภูมิภาคแปซิฟิก เมื่อวันเสาร์ที่ 2 ต.ค. แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดตำแหน่งที่เกิดเหตุหรือจำนวนผู้บาดเจ็บ บอกแต่เพียงว่า ผู้บาดเจ็บไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
ส่วนเรือดำน้ำและเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ไม่ได้รับความเสียหายและยังทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ต่อมามีรายงานว่า ขณะนี้เรือดำน้ำมุ่งหน้าไปเกาะกวม ดินแดนของสหรัฐ ฯเพื่อสำรวจตรวจสอบความเสียหาย และหาสาเหตุต่อไป
ด้านสำนักข่าว เอพี รายงานแหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 คน ว่า ทหารเรือได้รับบาดเจ็บ 11 นาย ในจำนวนนี้ 2 นายมีอาการปานกลาง ทั้งหมดได้รับการรักษาขณะอยู่ในเรือดำน้ำ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นนระหว่างปฏิบัติการตามปกติ แต่กองทัพเรือไม่ได้เผยแพร่ข่าวก่อนหน้านี้เพื่อรักษาความปลอดภัยในการปฏิบัติการ ส่วนวัตถุที่เรือยูเอสเอส คอนเนตทิคัต พุ่งชนนั้น ไม่ใช่เรือดำน้ำ อาจเป็นเรือหรือตู้คอนเทนเนอร์ที่จม หรือวัตถุอื่นๆ
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคทะเลจีนใต้ โกลบอล ไทม์ สื่อทางการจีน รายงานว่า โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนกล่าวว่า จีนมีความกังวลอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ดังกล่าว เรียกร้องให้สหรัฐฯ ให้รายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงวัตถุประสงค์ของปฏิบัติการภารกิจดังกล่าวด้วย
เว็บไซต์ ยูเอสเอ็นไอ นิวส์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญกองทัพเรือสหรัฐฯ รายงานว่า เหตุการณ์คล้ายกันดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อปี 2548 เรือดำน้ำยูเอสเอส ซานฟรานซิสโก ของสหรัฐ ฯอยู่ใต้น้ำ พุ่งชนกับับภูเขาใต้น้ำด้วยความเร็วสูงสุดใกล้เกาะกวม ส่งผลให้ทหารเรือเสียชีวิต 1 นาย
รัฐบาลสหราชอาณาจักร ประกาศถอดรายชื่อ 47 ประเทศ รวมทั้งไทย ออกจากบัญชีแดง เข้าประเทศได้แล้ว โดยไม่ต้องกักตัวเป็นเวลา 10 วัน และต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง
8 ต.ค. 64 สำนักข่าวบีบีซีรายงาน นายแกรนต์ ชาปป์ส รมว.คมนาคมของสหราชอาณาจักร (ยูเค) ประกาศเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ตามเวลาท้องถิ่น ถอดถอนรายชื่อ 47 ประเทศ รวมทั้งไทย ออกจากการถูกขึ้น “red list” หรือ “บัญชีแดง” จากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้เดินทางจากประเทศเหล่านี้สามารถเดินทางเข้าสหราชอาณาจักร ที่ประกอบด้วยประเทศอังกฤษ เวลส์ ไอร์แลนด์เหนือ และสกอตแลนด์ ได้โดยไม่ต้องกักตัวเป็นเวลา 10 วัน ตั้งแต่เวลา 04.00 น.ของวันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 64 เป็นต้นไป
การถอดรายชื่อ 47 ประเทศออกจากบัญชีแดง ทำให้ขณะนี้ เหลือแค่เพียง 7 ประเทศเท่านั้น ที่ยังถูกขึ้นบัญชีแดง ห้ามเดินทางเข้าสหราชอาณาจักร ซึ่งประกอบด้วย ปานามา โคลอมเบีย เวเนซุเอลา เปรู เอกวาดอร์
เฮติ และสาธารณรัฐโดมินิกัน ในขณะที่ แอฟริกาใต้ บราซิล และเม็กซิโก ถึงแม้ได้รับการถอดจากบัญชีแดงเช่นกัน แต่ทางการสหราชอาณาจักรยังขอให้ผู้เดินทางจาก 3 ประเทศนี้ ต้องกักตัวที่โรงแรมซึ่งได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลยูเค ตามมาตรการเฝ้าระวังโควิด-19 เป็นเวลา 10 วัน และต้องออกค่าใช้จ่ายเอง
รมว.คมนาคมยูเค ซึ่งออกมาประกาศการเปลี่ยนแปลงล่าสุดต่อสถานภาพของประเทศต่างๆ จากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 กล่าวด้วยว่า รัฐบาลยูเคกำลังทำให้คนในครอบครัวและคนรักได้พบกันอีกครั้งง่ายมากกว่าเดิม โดยขณะนี้เหลือมาตรการไม่กี่ข้อในการควบคุมการเดินทาง และประชาชนมากขึ้นสามารถเดินทางได้ ซึ่งพวกเราสามารถดำเนินการทั้งหมดเพื่อนำไปสู่ความปลอดภัยบนหนทางของเราในการฟื้นตัวจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19
8 ตุลาคม 2564 : นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า อังกฤษได้พิจารณาปรับประเทศไทยออกจากประเทศกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มประเทศสีแดง (Red List) แล้ว จะมีผลตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม เป็นต้นไป
นายธานี กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ว่า รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศผลการพิจารณาทบทวนรายชื่อประเทศและพื้นที่ที่พบการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และความเสี่ยงในการเดินทางรอบล่าสุด โดยปรับให้ไทย และอีกหลายประเทศรวมทั้งประเทศอาเซียน ออกจากกลุ่มประเทศ Red List และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 04.00 น. วันที่ 11 ตุลาคม ตามเวลาท้องถิ่นของอังกฤษ
นายธานี กล่าวว่า ในการปรับเปลี่ยนรายชื่อประเทศครั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษได้มีการปรับปรุงข้อกำหนดใหม่โดยเหลือการกำหนดประเทศและพื้นที่เสี่ยงเพียง 2 กลุ่ม คือกลุ่ม Red List ซึ่งเหลือเพียง 7 แห่ง และกลุ่ม Non-Red List ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ผู้ที่จะเดินทางเข้าอังกฤษจากประเทศในกลุ่ม Non-Red List ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดส แล้วจากประเทศและวัคซีนที่อังกฤษรับรอง จะไม่ต้องตรวจหาเชื้อแบบ PCR ก่อนเดินทาง และไม่ต้องกักตัวเมื่อเดินทางถึงอังกฤษ โดยจะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อแบบ PCR ในวันที่ 2 เมื่อเดินทางถึงอังกฤษเท่านั้น
“รัฐบาลอังกฤษยังประกาศรับรองการฉีดวัคซีนจากประเทศไทยเพิ่มเติมด้วย โดยครอบคลุมถึงเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน (vaccine certificate) ของไทย โดยมีวัคซีน 4 ชนิด ที่ให้การรับรอง ได้แก่ AstraZeneca, Pfizer, Moderna และ J&J โดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับแหล่งผลิตวัคซีน ทำให้ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทยครบจำนวนแล้ว สามารถเดินทางเข้าอังกฤษได้ ส่วนผู้เดินทางจากประเทศไทย ที่รับวัคซีนชนิดอื่น อาทิ ชิโนแวคและชิโนฟาร์ม หรือยังไม่ได้รับวัคซีน ยังต้องมีผลการตรวจหาเชื้อแบบ PCR ก่อนเดินทาง และเข้ารับการกักตัวที่บ้านพักเมื่อเดินทางถึงอีก 10 วัน” นายธานี กล่าว
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า การพิจารณาปรับไทยออกจากกลุ่มประเทศ Red List ในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลสำเร็จจากความพยายามของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการผลักดันร่วมกันและประสานงานกับฝ่ายอังกฤษอย่างเต็มที่ ซึ่งจะส่งผลให้การเดินทางจากไทยมีความสะดวกยิ่งขึ้น และส่งเสริมการท่องเที่ยวจากอังกฤษมายังไทยในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีอีกด้วย
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012