เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. สื่อต่างแดน เปิดเผยข่าวลับสุดยอด ความเคลื่อนไหวของเจ้าชายวิลเลียม และเจ้าหญิงแคทเธอรีน ดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ในโอกาสเยือนนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนธันวาคมว่า ขณะที่ทั้งสองพระองค์ทรงถูกจับตาจากบรรดาสื่อมวลชนในสหรัฐฯ แทบจะทุกฝีก้าว แต่คงน้อยคนนักที่จะรู้ว่า เจ้าหญิงแคทเธอรีน หรือเจ้าหญิงเคท ซึ่งกำลังทรงตั้งพระครรภ์ที่ 2 ได้ทรงดำเนินการอย่างลับๆ เพื่อพบกับบุคคลหนึ่ง ที่เชื่อกันว่า เป็นพระธิดาลับๆ ของเจ้าหญิงไดอานา พระมารดาผู้ล่วงลับของเจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี่ แห่งอังกฤษ
‘พระชายาในเจ้าชายวิลเลียมที่กำลังทรงตั้งพระครรภ์ ได้มีภารกิจลับสุดยอดระหว่างเสด็จเยือนนิวยอร์ก ด้วยการแอบพบกับหญิงคนหนึ่งแบบเงียบที่สุด ขณะที่แหล่งข่าวในวังเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้เป็นพระธิดาลับของเจ้าหญิงไดอานา’ นิตยสาร GLOBE (โกลบ) สื่อในสหรัฐฯ ที่ชอบขุดคุ้ยติดตามเรื่องราวในรั้วในวังอังกฤษ ฉบับวันที่ 29 ธ.ค. รายงาน พร้อมทั้งยังเผยด้วยว่า หญิงคนนี้ ชื่อ ซาราห์ ได้ถูกนำตัวแอบมาพบกับเจ้าหญิงเคทที่ห้องนั่งเล่น โดยบรรดาผู้ช่วยและผู้ติดตามของเจ้าหญิงเคท
เจ้าหญิงเคททรงแอบพบกับผู้หญิงที่เชื่อกันว่าเป็นพระธิดาลับๆ เจ้าหญิงไดอานาที่นิวยอร์กจริงหรือ?
ข่าวแจ้งว่า มีข่าวลือแพร่สะพัดในช่วงหลายปีก่อน เกี่ยวกับเรื่องเจ้าหญิงไดอานา อดีตพระชายาในเจ้าชายชาร์ลส์ ทรงมีพระธิดาลับๆ อยู่อีกองค์หนึ่ง อีกทั้งนิยายเรื่อง ‘การหายไปของโอลิเวีย’ ยังเป็นนิยายที่ผสมผสานกันทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่ง
จากเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ และการเปิดเผยของคนใกล้ชิดในวัง อ้างว่า เจ้าหญิงไดอานาได้ทรงมีการพบกับแพทย์หลวงในปี 1980 ขณะทรงมีพระชนมายุเพียง 19 พรรษา โดยทรงถูกบังคับให้ทำ ‘กิฟท์’ กับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่าพระองค์จะทรงมีรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์อังกฤษต่อไปแน่นอนหากทรงได้อภิเษกสมรสกันแล้ว เพียงแต่ระหว่างนั้น กลับมีแพทย์คนหนึ่ง ในทีมแพทย์ที่ถวายงานเรื่องนี้ได้ขโมยไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วของเจ้าหญิงไดอานา ไปฉีดในท่อนำไข่ เพื่อให้ภริยาของเขาตั้งครรภ์เสียเอง
เจ้าหญิงไดอานา ขณะทรงมีพระชนมชีพอยู่ เสด็จออกงานพร้อมเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์
บทบรรณาธิการของนิตยสาร GLOBE (โกลบ) ฉบับล่าสุด ยังอ้างว่า เจ้าชายวิลเลียม ทรงต้องการรู้ว่า ‘ซาร่าห์’ ยังมีชีวิตอยู่ หรือมีตัวตนจริงหรือไม่ ดังนั้น พระองค์จึงทรงมอบหมายให้พระชายาแอบพบกับหญิงคนนี้ โดยแหล่งข่าวใกล้ชิดเผยกับนักข่าวของโกลบว่า ซาร่าห์ได้บอกรายละเอียดที่น่ากลัวบางอย่างของเรื่องราวนี้ เธอไม่มีความคิดเห็นใดๆ ที่เธอไม่มีพ่อแม่ เพราะเธอมารู้ว่า พ่อแม่ที่เลี้ยงเธอมาไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง ก็ต่อเมื่อทั้งคู่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตพร้อมกัน
ตอนนั้น ซาร่าห์จึงรู้ว่าเธอเป็นลูกที่เกิดจากการทำ ‘กิฟต์’ และเริ่มค้นหาว่าผู้หญิงคนไหนคือผู้บริจาคไข่ ซึ่งเป็นแม่ของเธอ ความพยายามหาความจริงในเรื่องนี้ของเธอ ทำให้เธอโดนคนข่มขู่ถึงขั้นจะเอาชีวิต พร้อมกับได้สั่งให้เธอหยุดดำเนินการในเรื่องนี้ทันที จากนั้น เธอจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ในสหรัฐฯ
ตามรายงานของนิตยสารโกลบ อ้างว่า เจ้าหญิงเคททรงตกพระทัยมาก เมื่อทรงรับทราบเรื่องนี้จากซาร่าห์ และทูลให้เจ้าชายวิลเลียมรับทราบแล้ว โดยเจ้าชายวิลเลียมทรงมีพระประสงค์ให้สืบหาข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ เพราะทรงคิดว่าซาร่าห์อาจเป็นพระภคินี (พี่สาว) จริงๆ ของพระองค์ และเจ้าชายแฮร์รี่
อย่างไรก็ตาม นิตยสารโกลบได้สอบถามความเห็นของคนอ่านด้วยว่า คิดอย่างไรต่อเรื่องราวพระธิดาลับๆ ของเจ้าหญิงไดอานา? คิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมา? และหากผลการพิสูจน์ว่าซาร่าห์ เป็นพระภคินี ของเจ้าชายวิลเลียม จะทำให้เธอเป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 ของราชวงศ์อังกฤษหรือไม่ ? และยังถามความเห็นของผู้อ่านที่ยากจะตอบว่า ปริศนาของเรื่องนี้จะทำให้ชีวิตของซาร่าห์ตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า?
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์พิเศษ "เดลินิวส์" ถึงภาพรวมการป้องกันทุจริตคอร์รัปชั่นของประเทศ ว่าหลังจากการยึดอำนาจการปกครอง เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภาพรวมการทุจริตคอร์รัปชั่นดีขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการเมืองมาถึงระยะปัจจุบันนี้ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ จัดลำดับภาพลักษณ์ประเทศไทยดีขึ้น ทั้งลำดับและคะแนน ซึ่งในรอบ 10 ปีเราไม่เคยดีขึ้น ล่าสุดประเทศไทยขึ้นมาลำดับที่น่าพอใจจาก 102 เราขึ้นมาที่ลำดับ 85 สามารถข้ามมาทั้งหมด 17 ประเทศ ส่วนสิงคโปร์และมาเลเซีย อยู่ในลำดับ 1 ใน 50 ของโลกอยู่แล้ว ซึ่งตนตั้งเป้าภายในปี 60 จะทำให้การทุจริตลดลง และอันดับของไทยขึ้นไปอยู่ในลำดับ 1 ใน 50 ให้ได้
"พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ฝากเตือน ป.ป.ช.ให้เร่งแก้ปัญหาทุจริต อย่าล่าช้า เพราะจะเกิดปัญหาประเทศตามมาอีกมาก และไม่มีกลไกระงับความเสียหายได้ เช่น โครงการรับจำนำข้าว ที่เสียหายหลายแสนล้านบาท ปัญหาทุจริตเป็นต้นเหตุของปัญหาอื่น ๆ และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ ประชาชนเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ที่จะหยุดวงจรทุจริต โกง และซื้อเสียง โอกาสปฏิวัติมีอีกเรื่อย ๆ ถ้าปล่อยให้เลือกตั้งแล้วบ้านเมืองกลับเป็นแบบเดิม ต่างคนต่างเอาประโยชน์ส่วนตัว คนไทยก็อยู่ลำบาก ประเทศต้องกลับเข้าห้องไอซียูอีกรอบ ดังนั้นการป้องกันทุจริต จึงเป็นภารกิจของทุกคนที่ต้องช่วยกัน ”นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ ยังกล่าวถึงปฏิทินการทำงานของ ป.ป.ช.ในปีหน้าว่า ต้องเร่งรัดคดีจำนำข้าว ทั้งในส่วนที่ยื่นถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีอาญาต่อ สนช.วันที่ 9 ม.ค.58 และในส่วนคณะทำงานร่วมกับ อสส. หากมีมติที่ตกลงกันไม่ได้ในการประชุมครั้งที่ 5 โดยอสส. ไม่ส่งฟ้องศาล ทางป.ป.ช.จะขอสำนวนคืน และจะเดินหน้าฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเอง คาดว่าศาลฎีกาจะตัดสินราวกลางปี 58 เพราะสำนวนฟ้องในประเด็นความเสียหายที่เกิดจากอดีตนายกฯ ไม่ระงับยับยั้งในมาตรา 157 ละเว้นปฏิบัติหน้าที่และบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด และยังมีคดีถอดถอนอดีต ส.ส.และส.ว.แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 เสนอ สนช. ซึ่งจะพิจารณาลงมติถอดถอนในวันที่ 8 ม.ค.58
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะเร่งรัดคดีการเมืองที่ค้างอยู่ให้จบภายในปีหน้า เช่น คดีทุจริตก่อสร้างโรงพักทั่วประเทศ คดีประกันราคาข้าวในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และประเด็นการระบายข้าวจีทูจี ในสมัยนางพรทิวา นาคาศัย อดีตรมว.พาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ ในส่วนกองทัพ ก็มีคดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจจับระเบิดจีทีสองร้อย เรือเหาะ การจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยาง เพื่อไม่ให้เกิดครหาสองมาตรฐาน ซึ่ง ป.ป.ช.โดนโจมตีมาตลอด.
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 ธันวาคม ศาลจังหวัดเพชรบุรี อ่านคำพิพากษาหมายเลขคดีดำ ที่ 0473/2556 พนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี โจทก์ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ อดีตอายุรแพทย์ รพ.ตำรวจ จำเลย ข้อหารับคนงานต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงาน, ให้ที่พักพิงซ่อนเร้นแก่คนงานต่างด้าวเพื่อให้พ้นการจับกุม และข้อหาค้ามนุษย์ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว และ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง โดยมี นายสรพงษ์ หรือ กะลา นางผ่อน และนายตะแง ชาวพม่า เป็นโจทก์ร่วม โดยมี พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ พร้อม น.ส.วิลสา จันทรบัญชร ภรรยา และทนายความเดินทางมาฟังคำพิพากษา
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว พิพากษาว่า จำเลยยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ร.บ.การทำงานคนต่างด้าว พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานให้ที่พักพิงซ่อนเร้นและช่วยเหลือดำเนินการใดๆ แก่คนงานต่างด้าวเพื่อให้พ้นการจับกุม จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 24 เดือน ฐานรับคนงานต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงาน จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 18 เดือน ฐานค้ามนุษย์จำคุก 8 ปี รวมจำคุก 8 ปี 42 เดือน
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาให้ที่พักพิง เป็นเหตุแห่งการบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งในอัตราโทษกรณีข้อหาดังกล่าวคงรับโทษจำคุก 8 ปี 33 เดือน และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อโจทก์ร่วมทั้ง 3 ตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ และ พ.ร.บ.การค้ามนุษย์ โดยให้ชดใช้สินไหมทดแทนนายกะลา โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นเงิน 600,000 บาท นางผ่อน โจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเงิน 300,000 บาท และนายตะแง โจทก์ร่วมที่ 3 เป็นเงิน 100,000 บาท หลังฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ไปยังที่คุมขังเพื่อรอการประกันตัวต่อไป
คดีนี้สืบเนื่องจากการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของ นายสามารถ นุ่มจุ้ย และ น.ส.อรษา เกิดทรัพย์ สองสามีภรรยาชาว ต.กลัดหลวง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ต่อมาปลายปี 2555 พี่ชาย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ได้ชี้เบาะแสจนพบรถกระบะของคนทั้งสองที่บ้านพัก พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ที่ จ.นนทบุรี จากนั้นมีการขุดพบซากโครงกระดูกมนุษย์จำนวน 3 ซากภายในไร่ส่วนตัวของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ที่ ต.กลัดหลวง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี และพบแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองในไร่ดังกล่าว เมื่อ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ถูกจับกุมดำเนินคดี พนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี ได้สั่งฟ้อง พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ 3 ข้อหา คือ ข้อหาร่วมกันฆ่าคนตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ข้อหาผิดต่อ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และ พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 และคดีลักทรัพย์และรับของโจร โดยในส่วนของคดีลักทรัพย์และรับของโจรถูกศาลสั่งจำคุกเป็นเวลา 5 ปี ขณะนี้อยู่ระหว่างการประกันตัวปล่อยตัวชั่วคราว ส่วนคดีฆ่าคนตายยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี.
กระทรวงคมนาคมเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่บริเวณถนนนนทบุรี 1 คาดว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรแออัดบริเวณถนนติวานนท์ งามวงศ์วานและรัตนาธิเบศร์ได้
พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ได้ร่วมงานการเปิดใช้งานสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณถนนนนทบุรี 1 อย่างไม่เป็นทางการ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน โดนสะพานดังกล่าวจะเปิดให้บริการประชาชนวันนี้เป็นวันแรก เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรและเชื่อมโครงข่ายการเดินทางในพื้นที่ตอนเหนือของกรุงเทพมหานครให้สมบูรณ์
ทั้งนี้สะพานดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นที่ถนนนนทบุรี1 และถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรีไปสิ้นสุดโครงการที่ถนนราชพฤกษ์ ระยะทาง 4.3 กิโลเมตร งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 3,795 ล้านบาท เพื่อช่วยบรรเทาปัญาการจราจรของสะพานพระราม 5 และสะพานพระนั่งเกล้า โดยคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่นี้ ในช่วงปี 2558 ประมาณ 4 หมื่น 8 พันคันต่อวัน และหลังจากนั้นคาดว่าจะสามารถรองรับได้เพิ่มขึ้น เมื่อมีการเปิดใช้อย่างเต็มรูปแบบในเดือนมีนาคม 2558 โดยจะช่วยลดปัญหาการจราจรบนนถนนรัตนาธิเบศร์ ถนนงามวงศ์วานและถนนติวานนท์ ให้คล่องตัวขึ้น
ด้านพลอากาศเอกประจิน กล่าวว่า หลังจากนี้ กระทรวงคมนาคม เตรียมที่จะดำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาอีก 2-3 แห่งโดยจะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพและปริมณฑลให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
วันที่ 26 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณา 803 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดียักยอกเพชรซาอุ ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 2 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผบช.ประจำกรมตำรวจ, พ.ต.อ.ประเสริฐ จันทราพิพัฒน์ อดีต ผกก.ตำรวจม้า บก.ตำรวจสายตรวจ (ยศขณะนั้น), พ.ต.ต.ธานี สีดอกบวบ อดีตสารวัตร กก.กาฬสินธุ์ (หลบหนีการดำเนินคดี), ร.ต.อ.ฤทธิศาสตร์ แก้วเดช อดีต รองสว.สส. สภ.อ.บ้านตาก จ.ตาก, ด.ต.เท่ง ติ๊บปะละวงศ์ อดีตผบ.หมู่ สภ.อ.เถิน จ.ลำปาง, จ.ส.ต.สนิท กาวิชา อดีตผบ.หมู่ สภ.อ.เถิน, จ.ส.ต.เสวก กันทะมา อดีตตำรวจ ผ.5 กก.2 ป. และนายสุรจิต หรือ แดงหงอก ชัยศิริ (เสียชีวิตเมื่อปี 2547) เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ, เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินจากผู้อื่นเพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้อื่น, ร่วมกันเบียดบังยักยอกทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตนเองโดยทุจริต และความผิดอื่นๆ อีกหลายข้อหา
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2549 จำคุกจำเลยที่ 1 รวมจำคุก 20 ปี จำเลยที่ 4 จำคุก 7 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนและเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ไว้ 4 ปี 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2, 5, 6, 7 ให้ยกฟ้องเนื่องจากพยานโจทก์ยังไม่เพียงพอ ต่อมาโจทก์-จำเลยยื่นอุทธรณ์
ขณะที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2555 โดยพิพากษายืนจำคุกพล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี และพิพากษาแก้ในส่วนของพ.ต.อ.ประเสริฐ จำเลยที่ 2 ให้จำคุก 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 5, 6 และ 7 จำคุกคนละ 7 ปี แต่จำเลยที่ 5 และ 6 นำเงินของกลางจำนวน 2 แสนบาทมาคืน จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้คนละ 4 ปี 8 เดือน ต่อมาพ.ต.อ.ประเสริฐ จำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาคนเดียวขอให้ศาลฎีกายกฟ้องด้วย ส่วนจำเลยที่ 1, 4-7 ไม่ยื่นฎีกาคดีจึงยุติในชั้นอุทธรณ์
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้พยานโจทก์จะไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เอาเงิน 6.6 แสนบาทไปหรือไม่ แต่ก็รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เดินทางไปบ้านนายนิคมญาติของนายเกรียงไกรจริง ศาลฎีกาจึงมีอำนาจรับฟังจากพยาน 4 ปากในชั้นสอบสวนและสืบเสาะข้อเท็จจริงได้ โดยมิต้องถือถ้อยคำตามพยานโจทก์ ซึ่งพยานทั้ง 4 ปากต่างยืนยันตรงว่า พ.ต.อ.ประเสริฐ จำเลยที่ 2 ได้รับเงินของกลางในคดีจากนายนิคม ซึ่งไปฝากไว้กับพันจ่าอากาศเอกคนหนึ่งจำนวน 6.6 แสนบาทจริง โดยไม่ส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวนจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยพิพากษายืนจำคุก 10 ปี