ข่าว
มาร์ค แนะ รบ.โชว์หลักฐาน หวั่น ปม 14 นศ.บานปลาย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จี้ รัฐบาลโชว์หลักฐาน หวั่น ปม 14 นศ.บานปลาย แฉ มีขบวนการหากินกับประชาธิปไตย หวังผลทางการเมือง

วันที่ 3 ก.ค. 58 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการฝากขัง 14 นักศึกษา ที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล ที่มาจากการรัฐประหาร ว่า ตนเป็นห่วงว่า การที่รัฐบาลออกมาระบุ ว่า มีคนอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของนักศึกษากลุ่มนี้ โดยที่ยังไม่มีการนำหลักฐานที่ชัดเจนมาเปิดเผยต่อสาธารณชน อาจเป็นการผลักนักศึกษาที่บริสุทธิ์ ไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ดังนั้น รัฐบาลควรแยกแยะให้ดี เพราะต้องยอมรับว่า ฝ่ายที่ต่อต้านโดยบริสุทธิ์ใจ มีจริง เรื่องจะได้ไม่ลุกลามบานปลาย ตนไม่อยากให้คนเหล่านี้ถูกผลักไปอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม หรือไปฝักใฝ่การเมืองขั้วใดขั้วหนึ่ง

เมื่อถามว่า กระแสนี้จะจุดติดหรือไม่ เพราะมีการเปรียบเทียบกับกรณี 14 ต.ค. นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีขบวนการที่หากินกับประชาธิปไตย โดยมีผลประโยชน์การเมืองแอบแฝงอยู่ ตนจึงอยากให้รัฐบาล และคสช.แยกแยะให้ได้ ระหว่างคนที่เคลื่อนไหวโดยสุจริต กับคนที่มีผลประโยชน์แอบแฝงด้วยการวางกติกาที่ชัดเจน ว่า ถ้าเป็นการแสดงออกที่ไม่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ สามารถทำได้โดยระบุให้ชัดว่า ถ้ามีเบื้องหลังก็ให้มีความผิด ซึ่งจะแยกแยะในหลักการได้มากกว่า ส่วนรูปแบบจะเป็นอย่างไรคิดว่า สังคมดูออกว่าอะไรที่จะนำไปสู่ความปั่นป่วนวุ่นวาย และอะไรไม่ใช่

ป๋าเปรม' เสียชีวิต ทส. ยันแค่ข่าวลือ

นายทหารคนสนิท “ป๋าเปรม” ปัด ข่าวโลกโซเชียลลือ "ป๋าเปรม" เสียชีวิต ยัน สุขภาพแข็งแรงดี ชี้ มีบางกลุ่มจ้องโจมตี วอน สื่อช่วยเสนอข่าวด้วยความจริง

วันที่ 3 ก.ค. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวลือถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่า มีอาการป่วยหนักถึงกับต้องนำส่งโรงพยาบาลฉุกเฉินและได้เสียชีวิตอย่างเฉียบพลัน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น สำหรับเรื่องนี้ พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ ในฐานะนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ได้กล่าวยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด พล.อ.เปรม ท่านไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้น สุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ซึ่งเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา ยังเป็นตัวแทนพระองค์ เชิญพวงมาลาและน้ำหลวงอาบศพบุคคลสำคัญ ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ ซึ่งก็ไม่เห็นมีอาการป่วยอย่างที่ปรากฏเป็นข่าวแต่อย่างใด และเมื่อวันก่อน พล.อ.เปรม ก็ได้ให้การต้อนรับ รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย ที่เดินทางมาเข้าเยี่ยมคำนับที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์

พล.ท.พิศณุ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ข่าวที่ออกมาตนไม่รู้ว่า เขาหวังผลอะไรไม่อยากจะวิเคราะห์ เพราะมีการปล่อยข่าวในลักษณะนี้อยู่เป็นประจำ ในช่วงสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว และไม่ใช่การปล่อยข่าวครั้งแรก มีการทำมาหลายครั้ง เพราะมีกลุ่มที่จ้องโจมตี พล.อ.เปรม มาตลอดเวลา ซึ่งทาง พล.อ.เปรม ท่านก็ไม่ได้สนใจกับข่าวบิดเบือนเหล่านี้ จึงอยากขอให้สื่อมวลชนช่วยนำเสนอข่าวที่เป็นความจริงด้วย


บิ๊กตู่ ชูนักศึกษา เป็นพลังบริสุทธิ์

"ประยุทธ์" ยก "นักศึกษา" เป็นพลังบริสุทธิ์ แต่ขอใช้ถูกที่ถูกเวลา แย้มช่วยเรื่องคดีหากคุยรู้เรื่อง วอนทุกคนใจเย็นเดินตามโรดแม็ปขจัดความขัดแย้ง พร้อมขอทุกฝ่ายลดอัตตารับฟังความเห็นกัน เผยเปิดเวที "เดินหน้าปฏิรูป" ให้ทุกฝ่ายโชว์ไอเดียปฏิรูปออกทีวี เชิญฝ่ายการเมืองร่วมถกด้วย ชื่นชมคนไทยแห่ลงทะเบียนร่วมกิจกรรม "ปั่นเพื่อแม่" หวังประกาศทั่วโลกรู้ว่าคนไทยไม่ขัดแย้ง

เมื่อเวลา 20.15 น. วันที่ 3 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยตอนหนึ่งว่า เรื่องของความขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ นั้น ต้องยุติให้ได้โดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นรัฐ ข้าราชการ ธุรกิจ หรือเอกชน ประชาชนต้องเข้าใจว่า ประชาธิปไตยที่มีคุณภาพนั้นควรจะต้องเป็นอย่างไร ความขัดแย้งเป็นสิ่งสำคัญ ความมีเสถียรภาพของรัฐบาล ความสงบสุขของประชาชนในพื้นที่ ทุกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป นิสิต นักศึกษา เราจะแก้ปัญหาทีเดียวทุกเรื่องไม่ได้ ถ้าเราจะเอาประชาธิปไตยทันที แล้วเราก็จะเอาทั้งความสงบเรียบร้อย ความเข้มแข็ง เราจะเอาทั้งปัญหาทั้งหมดต้องแก้ให้ได้ภายในระยะเวลาที่เร่งด่วน มันทำไม่ได้ทั้งสิ้น ก็ขอเวลากัน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า เรื่องของความมีเสรีภาพหรือการเป็นประชาธิปไตยนั้นต้องมีความพร้อม หลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรือการบริหารราชการแผ่นดิน เหล่านี้กำลังแก้อยู่ในการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพราะกฎหมายจะทำให้ทุกอย่างสงบลงได้ แต่กฎหมายนั้นต้องมีเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ได้มุ่งหวังเพียงให้เจ้าหน้าที่มีเครื่องมือในการบังคับใช้กับประชาชนอย่างเดียว ในความเป็นจริงหากไม่ขัดแย้งกัน ก็ไม่ต้องมีกฎหมาย หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ วันนี้ทุกคนก็ต้องการประชาธิปไตย ต้องการเสรีภาพ ต้องการอะไรต่างๆ แต่ขณะเดียวกันปัญหาก็เต็มไปหมด ก็ต้องให้เวลากัน

"สำหรับกลุ่มนักศึกษานั้น ผมจะไม่ไปตำหนิเขา เพราะไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม ผมก็ถือว่าเขาเป็นพลังบริสุทธิ์ ซึ่งน่าที่จะทำประโยชน์ให้กับบ้านนี้เมืองนี้ได้อีกมากในอนาคต ก็ขอให้ใช้ในระยะเวลาที่ถูกต้อง อย่าไปเชื่อมั่นว่าใครมาบิดเบือน ใครมาสร้างความเข้าใจที่ผิดๆ ผมไม่เคยปฏิเสธคำว่าประชาธิปไตย ไม่เคยปฏิเสธการเลือกตั้ง แต่ในการเลือกตั้ง หรือในการมีประชาธิปไตยที่ผ่านมามีปัญหา ก็ต้องแก้ปัญหาตรงนี้ให้ได้ก่อน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว และว่าจึงอยากให้ใช้พลังบริสุทธิ์นี้มาให้เกิดประโยชน์ในอนาคตข้างหน้า จะได้ไม่เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นอีก หากเรายังขัดแย้งกันแต่ไปเร่งทั้งระบบจนเกินไป สิ่งที่เราเพียรสร้างขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.57 เสียหายหมดเลย แล้วล้มไปเหมือนเก่า

สำหรับข้อเรียกร้องให้กำหนดวันเลือกตั้งนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อเราพร้อม เมื่อสถานการณ์ต่างๆ เป็นไปตามโรดแม็ป มีรัฐธรรมนูญแล้ว มีการทำประชามติแล้ว ทำกฎหมายลูกเรียบร้อย ก็มีเลือกตั้งได้อยู่ดี เวลาขึ้นอยู่กับผลการปฏิบัติงานทุกกลุ่มงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ สนช. สปช. ครม.และ คสช. ตนเห็นว่าต้องมองทั้งสองด้านว่าประเทศไทยเรามีความเป็นมาอย่างไร มีพื้นฐานอย่างไร ความคิดความอ่าน เป็นอย่างที่ทั้งโลกเป็นหรือไม่ ทั้งนี้ แนวทางพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดีที่สุด คือการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา แล้วก็ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความพอเพียง ในเรื่องของประชาธิปไตยนั้น เราใช้มาตรา 44 อยู่ในเวลานี้เพื่อทำให้เดินไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เราใช้เท่าที่จำเป็น แก้ไขเหตุติดขัด ไม่ใช่เอาไปใช้ทุกอย่าง


"นายกฯ"แนะ ปลาแพง! หาอย่างอื่นกินไปก่อน

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวในรายการคืนความสุขเพื่อประชาชน ถึงผลกระทบจากวิกฤตประมงในขณะนี้ ว่า

"..วันนี้ผมสั่งตรงนี้แล้วกันว่าทุกคนนี่ต้องทำหน้าที่ของท่าน สมาคมประมง สมาคมสินค้า การส่งออก สมาคมอุตสาหกรรม สมาคมท่องเที่ยว เหล่านี้ ไม่ใช่เป็นตัวแทนเพื่อมาสู่รัฐอย่างเดียว ท่านต้องจัดระเบียบของท่านให้ได้ สมาคมสื่อด้วย ไม่งั้นผมก็ต้องบังคับใช้กฎหมายโดยตรงกับเขา ก็เดือดร้อนอีก ท่านต้องดูแลเขาให้ได้ ถ้ามีปัญหาอะไรมาบอก เราก็จะได้แก้ให้ เป็นเรื่องๆ ราวๆ ไม่ใช่เหมาทุกคนเอาประโยชน์ ประโยชน์ๆ แต่พอให้รับผิดชอบ ไม่รับสักอัน ไม่ได้ วันนี้ไม่ได้ วันหน้าท่านก็ไปเรียกประชาธิปไตย รัฐบาลของท่านก็แล้วกัน เพราะงั้นก็อย่าให้วุ่นวายไปกว่านี้นะครับ ประมงผมเป็นห่วง เดี๋ยวก็จะต้องดูแลกันต่อไป ว่าจะทำยังไงกันดีล่ะ เพราะงั้นวันนี้ผมขออนุญาตสั่งไปก่อน สมาคมประมงช่วยผมบ้างนะ ไม่งั้นเดี๋ยวก็มาว่ากันใหม่สมาคม ต้องรื้อกันใหม่ทั้งหมด มีปัญหาหมด เพราะงั้นอย่าไปสร้างความขัดแย้งอีก ให้สังคมสงบลงไปบ้าง

เรื่องอาหารทะเลวันนี้บริโภคไม่ได้ เดี๋ยวหาอาหารอื่นแทนไปก่อน แพงก็อย่าไปทาน ให้คนรวยเขามีสตางค์เขาก็ทานไปซิ ไม่ใช่ว่าต้องเท่าเทียม ผมทำให้ไม่ได้ ถ้าอยากจะทานของแพงท่านก็ต้องทำงานหนัก หาเงินให้มาก รัฐบาลก็ช่วยในส่วนที่ช่วยได้ มีตลาดสำหรับผู้มีรายได้น้อย ก็ทำให้ทั้งหมดนั่นแหละ ตอนนี้ก็ทำไปแล้วไงนะ มันดึงมาเท่ากันหมดมันไม่ได้หรอกนะครับ เพราะมันมีหลายระดับด้วยกัน เราจะแก้ได้ด้วยความสงบ มีเสถียรภาพ สร้างให้เข้มแข็ง มีรายได้เข้ามาเข้าประเทศ ก็เฉลี่ยแบ่งปันไปได้ทุกคน นี่เขาเรียกความเท่าเทียม ด้วยความพอเพียงนะ.."

"...ข้อสำคัญวันนี้อย่าเอาข้อบกพร่องของเรามาประจานให้โลกรู้ด้วยการประท้วง ด้วยการต่อต้านผมเลย ไม่เกิดประโยชน์นะ มันไม่เข้าใจกัน สื่อและโซเชียลนะครับ ผมเป็นห่วงกังวลเด็กรุ่นหลังนะ อย่าไปเติมเชื้อไฟมากนัก เดี๋ยววันหน้าก็แข็งกระด้างไปหมด ไม่เคารพผู้ใหญ่บ้าง ไม่เคารพกติกาสังคม ไม่เคารพกฎหมาย อ้างประชาธิปไตย อ้างเสรีภาพ ไม่รู้จักคำว่าหน้าที่นะ แล้วเสร็จแล้ว ประเทศชาติล้มเหลว อยู่ไม่ได้ทั้งหมดทุกคนนั่นแหละ ที่ว่าเก่งๆนั้นแหละ ผมก็อยู่ไม่ได้ ใครก็อยู่ไม่ได้นะ ที่มาขัดแย้งกันวันนี้ ต้องยอมรับในความผิดพลาด ต้องยอมรับในสิ่งที่เรากำลังเป็นปัญหาในเวลานี้นะครับ อย่าเขียนไปเรื่อยเปื่อยตามที่อยากจะคิด อยากจะเขียน โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศนะครับ ฝากสื่อต่างๆ ช่วยกันดูแลนะครับ สมาคมสื่อต่างๆ ผมไม่เคยไป อยากไปทำอะไรกับท่านอยู่แล้ว ท่านก็ต้องเห็นใจผมบ้าง นะวันนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกตินะ..."


กองปราบเชิญลูก-เมีย‘สมยศ’ให้ปากคำเพิ่ม

ความคืบหน้าคดีคนร้ายใช้อาวุธปืนสังหาร นายสมยศ สุธางค์กูร อดีตเจ้าของพระราม 9 พลาซ่า ตำรวจยังไม่สรุปประเด็นการสังหารที่แน่ชัด ประเด็นหลักมีอยู่ด้วยกันประมาณ 3-4 ประเด็น ซึ่งทางพันตำรวจเอก อัคราเดช พิมลศรี รักษาการผู้บังคับการกองปราบราม ได้ระบุว่า คดีนี้ยังไม่ได้ให้น้ำหนักกลุ่มไหนเป็นกรณีพิเศษ ตอนนี้เน้นเรื่องการตรวจสอบพยานหลักฐานเป็นหลัก ส่วนมือปืนต้องรอความชัดเจนก่อนสรุปว่าเป็นมือปืนจากซุ้มใด

อย่างไรก็ตาม วันนี้ (3 ก.ค.58) ในเวลา 10.00 น. ตำรวจกองปราบปรามได้เชิญนางรัศมี สุธางค์กูร ภรรยาของนายสมยศ และนางสาวณัฐธิดา สุธางค์กูร ลูกสาวเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง เป็นครั้งที่สาม ซึ่งหลังจากที่เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคมที่ผ่านมา ได้เข้าให้ปากคำเป็นครั้งที่สองกับทางพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลคลองตันไปแล้ว โดยใช้เวลานานถึง 7 ชั่วโมงด้วยกัน และภายหลังเข้าให้ปากคำกับทางตำรวจกองปราบปรามแล้ว ในช่วงบ่ายวันนี้จะเดินทางเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมกับทางพลตำรวจโทศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

ด้านนางรัศมี เปิดเผยว่า ส่วนตัวยังเชื่อว่าประเด็นสังหารนายสมยศ มีเรื่อง 2 -3 เรื่อง ทั้งเกี่ยวกับกลุ่มบุคคล เรื่องที่ดิน และคดีความครอบครองปรปักษ์ ที่มีการฟ้องร้องกันอยู่ ส่วนประเด็นการวิ่งเต้นคดี ส่วนตัวไม่ทราบถึงรายละเอียด ซึ่งนายสมยศ ไม่เคยมีหนี้สินใดๆ และทำประกันชีวิตไว้ 2 กรมธรรม์ สำหรับวันเกิดเหตุ หลังไปพบแพทย์กับนายสมยศที่โรงพยาบาล ก็ตั้งใจจะไปทานอาหารที่โฮมโปร แต่นายสมยศเป็นคนตัดสินใจมาที่ร้านเฮงหูฉลาม และเมื่อทานอาหารเสร็จนายสมยศไปเข้าห้องน้ำ ตัวเองจึงมาสตาร์ทรถรอนายสมยศ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ

"ฝากถึงผู้บงการ และมือปืน ว่า นายสมยศ เคยทำอะไรให้ จึงต้องมาทำกันอย่างนี้ และขอให้ตำรวจเร่งจับผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี" นางรัศมี ระบุ

ขณะที่นางสาวณัฐธิดา เปิดเผยว่า ส่วนตัวเชื่อว่าผู้ก่อเหตุเป็นบุคคลใกล้ชิด และได้ให้ข้อมูลว่ามีผู้ปองร้ายบิดากับตำรวจไปแล้ว และที่ผ่านมาเคยได้ยินชื่อเจ๊ม้อมาก่อน และทราบว่าเคยมาขอให้พ่อช่วยในเรื่องคดีความให้เท่านั้น แต่ไม่ทราบในรายละเอียด เนื่องจากตนเพิ่งเรียนจบ จึงยังไม่ได้เข้าช่วยกิจการด้านกฎหมายของพ่ออย่างจริงจัง อย่างไรวันนี้จะเดินทางเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาลด้วย ส่วนวันพรุ่งนี้ (4 ก.ค.) จะเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมที่ สน.คลองตัน

ด้านพ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รองผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยว่า ได้เชิญภรรยาและบุตรสาว ของนายสมยศ เข้าให้ปากคำ เพื่อสอบถามถึงคำให้การที่ทั้งสองคนให้ไว้กับพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งมีบางประเด็นที่ยังน่าสงสัย และขณะนี้อยู่ระหว่างการติดต่อนางก้อย ,นายเล็ก ,เสธ.นุ และบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาให้ข้อมูลอีกครั้ง

นิวยอร์ก สั่งห้ามใช้กล่องโฟมใส่อาหารแล้ว

นครนิวยอร์ก เดินเครื่องรักษาสิ่งแวดล้อมจริงจัง ประกาศห้ามใช้บรรจุภัณฑ์โฟม ไม่ว่าจะเป็น จาน ถาด กล่องที่ทำจากโฟมประเภทโพลีสไตรีนแล้ว พร้อมให้เวลาบริษัทร้านค้าปรับเปลี่ยนภาชนะใส่อาหาร 6 เดือน จากนั้น หากใครฝ่าฝืนเจอโทษปรับแน่

สำนักข่าวบีบีซีรายงานเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ว่า ทางการนครนิวยอร์ก ภายใต้การบริหารของนายกเทศมนตรีบิล เดอ บลาซิโอ ในประเทศสหรัฐฯ ประกาศห้ามใช้บรรจุภัณฑ์ โฟม ประเภท โพลีสไตรีน (Expanded Polystyrene ) หรือ EPS นำมาใช้สำหรับใส่อาหาร รวมทั้งยังห้ามไม่ให้ร้านค้าและโรงงาน จำหน่ายบรรจุภัณฑ์โฟมประเภทนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.58 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

ข่าวแจ้งว่า ทางการนครนิวยอร์กได้เริ่มมีคำสั่งห้ามไม่ให้เป็นเจ้าของ ครอบครอง หรือจำหน่ายบรรจุภัณฑ์โฟม EPS ที่ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทแก้ว จาน ชาม ถาด กล่องใส่อาหาร รวมถึงเม็ดโฟมกันกระแทกต่างๆ เหล่านี้ ภายในระยะเวลา 6 เดือน มิเช่นนั้นจะเผชิญหน้ากับการถูกปรับ หากยังมีการใช้หรือขายบรรจุภัณฑ์โฟมเหล่านี้อยู่

ถึงแม้ว่าโฟม EPS จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาถูกและน้ำหนักเบาเพราะมีส่วนประกอบเป็นอากาศถึง 95% แต่ปัญหาหลักซึ่งทำให้นครนิวยอร์กออกมาสั่งห้ามใช้โฟมประเภทนี้ก็คือมันไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ เนื่องจากเมื่อสาร Sytrofoam ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของโฟม EPS นี้ถูกทำให้พองและขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้ว สารนี้จะไม่สามารถถูกนำมาทำให้พองตัวเป็นรูปแบบอื่นได้อีก นอกจากว่าจะใช้วิธีการนำความร้อนตามธรรมชาติมารีไซเคิล ซึ่งมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง

มีการประมาณการว่า ลำพังชาวอเมริกันชาติเดียว ได้ทิ้งแก้วกาแฟโฟม EPS กว่า 25,000 ล้านใบต่อปี แต่คงเทียบไม่ได้กับถุงพลาสติกที่แต่ละปีมีการใช้มหาศาลกว่า 1 แสนล้านใบ โดยศาสตราจารย์ดักลาส แมคคอลีย์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสัตว์น้ำแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในแซนตา บาร์บารา ประเทศสหรัฐอเมริกากล่าวว่า ปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อขยะโฟม EPS ซึ่งยากต่อการกำจัดและรีไซเคิลให้หมดไปนี้ถูกทิ้งลงสู่แหล่งน้ำ มันจะส่งผลกระทบไปถึงชีวิตสัตว์น้ำด้วย เนื่องจากถ้าสัตว์น้ำเผลอกินโฟมเข้าไปโดยคิดว่าเป็นอาหาร อาจทำให้โฟมที่มีมลพิษและสิ่งแปลกปลอมมากมายที่โฟมดูดเก็บไว้ไปอุดตันลำไส้ได้

ด้านนายกเทศมนตรีรัฐนิวยอร์ก บิล เดอ บลาซิโอ กล่าวว่า ในขณะนี้ กรุงนิวยอร์กได้เข้าร่วมกับกลุ่มเมืองทางชายฝั่งตะวันออก ได้แก่ เมืองซีแอตเทิล เมืองพอร์ตแลนด์ เมืองซานฟรานซิสโก และเมืองหลวงอย่างวอชิงตัน ดี.ซี. ในการสั่งห้ามใช้ผลิตภัณฑ์โฟมประเภท EPS แล้ว และหวังว่าอีกหลายประเทศทั่วโลกจะทำตามโครงการนี้ด้วย โดยการลดขยะจำนวนโฟมกว่า 30,000 ตัน จากแหล่งฝังกลบขยะ ท้องถนนและชายฝั่งทะเลนี้จะถือเป็นก้าวสำคัญในการทำให้นิวยอร์กเป็นเมืองที่ดีและร่มรื่นขึ้น