ข่าว
ผู้ว่าฯเฟด ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เมินทรัมป์ค้าน หุ้นพุ่งแดนบวก

26 ส.ค. 61 เจอโรม พาวเวลล์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐที่ขยายตัวแข็งแกร่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับความเห็นก่อนหน้านี้ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่คัดค้านการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งเศรษฐกิจปรับตัวแข็งแกร่ง เงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมาย 2% และผู้คนส่วนใหญ่ที่ต้องการหางานก็มีงานทำแล้ว...หากการขยายตัวแข็งแกร่งดังกล่าวยังดำเนินต่อไป การค่อยๆ ปรับขึ้นดอกเบี้ยตามเป้าหมายจึงยังเป็นสิ่งที่เหมาะสม

“การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเป็นแนวทางที่ดีที่สุด ในการปกป้องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่เฟดต้องพยายามหาจุดสมดุลระหว่างการกระตุ้นการจ้างงานเต็มอัตรา และการรักษาระดับการขยายตัวของเงินเฟ้อ” ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ กล่าว

พาวเวลล์ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ยังช่วยลดความเสี่ยงที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไปโดยไม่จำเป็น หรือขึ้นดอกเบี้ยช้าเกินไปจนไม่ทันเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างร้อนแรง

อย่างไรก็ตามหลังถ้อยแถลงของพาวเวลล์ ตลาดหุ้นสหรัฐต่างปรับตัวขึ้นแดนบวก โดยดัชนีเอสแอนด์พี 500 และดัชนีแนสแด็ก ปิดทำนิวไฮเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) คาดการณ์ว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง รวมเป็น 4 ครั้งในปี 2018 โดยตลาดมองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ย.นี้ และมองว่ามีโอกาส 64% ที่เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือน ธ.ค. สำหรับในปี 2019 เฟดคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่เพียงครั้งเดียว

ขณะที่ เจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ เปิดเผยกับซีเอ็นบีซีว่า เฟดไม่ควรปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว เพราะเงินเฟ้อไม่มีแนวโน้มขยายตัวมากพอ ขณะที่แรงหนุนจากกฎหมายปฏิรูปภาษีและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ คาดว่า จะแผ่วลงปีหน้า

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า เอฟโอเอ็มซีคนอื่นๆ วิตกว่านโยบายการค้าของทรัมป์ ที่มุ่งตั้งภาษีตอบโต้จีน รวมถึงประเทศคู่ค้าอื่นๆ อย่างสหภาพยุโรป (อียู) และแคนาดาอาจเพิ่มความเสี่ยงกระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ

สาวกแห่คิดถึง! เรียกร้อง'โค้ชซิโก้'หวนคืนทีมชาติ หลังช้างศึกยู 23 ตกรอบแรกอชก.

30 ส.ค. 61 ภายหลังจาก ทีมชาติไทย ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ตกรอบแรก ศึกเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่ประเทศอินโดนีเซีย นั้น ล่าสุด "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เปิดเผยว่า สมาคมฯ เตรียมปรับโครงสร้างของฝ่ายเทคนิคใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ 2 รายการใหญ่ ทั้ง "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018" และเอเชี่ยน คัพ 2019 และได้ ยุติการทำหน้าที่ ของ"โค้ชโย่ง" ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด สาวกฟุตบอลไทยบุกอินสตาแกรมส่วนตัว "coach_zico" ของ"โค้ชซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตกุนซือทีมชาติไทยชุดใหญ่ เพื่อเรียกร้องให้ กลับมาสู่สารบบทีมชาติอีกครั้ง ทั้งอยากให้กลับมากู้ศรัทธาทันที หรือหวนคืนในเวลาที่เหมาะสม หลัง "โค้ชโย่ง"

ทั้งนี้สำหรับ "โค้ชซิโก้" เคยคุมทีมทั้งระดับสโมสร และ ทีมชาติ อาทิ ฮอง อันห์ ยาลาย (เวียดนาม), จุฬา ยูไนเต็ด, ชลบุรี เอฟซี, บีบีซียู เอฟซี, บางกอก เอฟซี ทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี และ ทีมชาติชุดใหญ่ โดยผลงานชิ้นเอกคือการพาทีมชาติไทย คว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2 สมัย, ซีเกมส์ 1 สมัย, คิงส์ คัพ 1 สมัย, อันดับ 4 เอเชียนเกมส์


ทรัมป์สั่งลดธงครึ่งเสา ไว้อาลัยแมคเคนหลังถูกกดดันหนัก

วอชิงตัน (เอพี/รอยเตอร์) - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ซึ่งถูกกดดันและตำหนิว่าไม่แสดงความเคารพนับถือวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน ผู้ล่วงลับ ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการถึงแก่กรรมของวุฒิสมาชิกแมคเคนพร้อมทั้งสั่งให้ลดธงชาติลงครึ่งเสาเพื่อเป็นการไว้อาลัย

ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า ถึงแม้เขาและวุฒิสมาชิกแมคเคน จะมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องของนโยบายและการเมือง เขาก็ให้ความเคารพนับถือวุฒิสมาชิกแมคเคนที่เป็นทหารรับใช้ชาติและเพื่อเป็นการไว้อาลัย เขาได้สั่งการให้ลดธงชาติลงครึ่งเสาจนถึงวันจัดพิธีศพให้กับวุฒิสมาชิกแมคเคน โดยจะมีการลดธงชาติลงครึ่งเสาที่ทำเนียบขาวและอาคารของรัฐบาลทุกแห่งทั่วประเทศ รวมทั้งที่ฐานทัพทหารทุกแห่งและสถานทูตสหรัฐในประเทศต่างๆ

นายทรัมป์กล่าวว่า นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีจะเป็นผู้กล่าวในพิธีไว้อาลัยแก่วุฒิสมาชิกแมคเคนที่จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน นอกจากนั้น นายจิม แมททิส รัฐมนตรีกลาโหม นายจอห์น เคลลี หัวหน้าคณะทำงานในทำเนียบขาว และนายจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ จะเป็นตัวแทนของนายทรัมป์ในพิธีศพของวุฒิสมาชิกแมคเคน โดยที่เขาจะไม่ได้เดินทางไปร่วมพิธีศพแต่อย่างใด

นายทรัมป์ถูกวิพากษ์วิจารณ์และตำหนิจากหลายฝ่าย รวมทั้งกลุ่มทหารผ่านศึก ต่อการแสดงออกของเขากรณีการเสียชีวิตของวุฒิสมาชิกแมคเคนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังทำเนียบขาวลดธงลงครึ่งเสา หลังจากนั้น 2 วันก็ชักธงขึ้นสู่ยอดเสาตามเดิม ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ขณะที่นายทรัมป์เองก็ไม่ได้ประกาศให้ขยายเวลาการลดธงลงครึ่งเสาจนกระทั่งได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากบรรดาอดีตทหารผ่านศึกและสมาชิกสภาคองเกรส เขาจึงได้ออกคำประกาศดังกล่าว ซึ่งตามปกติแล้วประธานาธิบดีจะปฏิบัติตามสภาคองเกรสในเรื่องการเสียชีวิตของสมาชิกรัฐสภาที่สำคัญๆ และสั่งการให้ลดธงลงครึ่งเสาจนถึงวันประกอบพิธีฝัง โดยบรรดานักวิจารณ์มองว่าการสงวนท่าทีของนายทรัมป์เป็นการดูแคลนนายแมคเคนเป็นครั้งสุดท้าย เพราะในอดีตนายทรัมป์ก็เคยบอกว่านายแมคเคนไม่ใช่วีรบุรุษสงคราม

ขณะเดียวกัน นายริค เดวิส อดีตผู้จัดการหาเสียงของแมคเคน ในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อหลายปีก่อนเป็นผู้อ่านจดหมายฉบับสุดท้ายของ สว.แมคเคน ซึ่งเป็นการสั่งลาชาวอเมริกันทั้งประเทศ เนื้อหาในจดหมายระบุว่า เขารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมากที่ได้รับใช้ประเทศชาติมายาวนานถึง 60 ปี และขอขอบคุณทุกคนโดยเฉพาะชาวรัฐแอริโซนา พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกคนร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคในการทำความดีเพื่อประเทศชาติ และขอให้พระเจ้าอวยพรอเมริกา

นายแมคเคน สมาชิกวุฒิสภาของพรรครีพับลิกันจากรัฐแอริโซนา อดีตนายทหารเรือผ่านศึก ซึ่งเคยเป็นเชลยศึกในสงครามเวียดนาม ถูกคุมขังในเวียดนามนานกว่า 5 ปี เขาเสียชีวิตด้วยวัย 81 ปี หลังจากต่อสู้กับโรคมะเร็งสมองมาเป็นเวลากว่า 1 ปี


คนเมืองเสี่ยงสมองพัง! งานวิจัยพบมลพิษทางอากาศทำลายสมรรถภาพการเรียนรู้

28 ส.ค.61 สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ รายงานว่า มีงานวิจัยที่พบความเชื่อมโยงระหว่างการได้รับมลพิษทางอากาศกับสมรรถภาพของสมองที่ลดลง โดยผลกระทบจะรุนแรงขึ้นตามอายุ และคนที่มีการศึกษาน้อยจะได้รับผลรุนแรงมากที่สุด ซึ่งงานวิจัยนี้เก็บตัวอย่างจากมนุษย์จำนวน 2 หมื่นคนทั้งโดยทีมวิจัยจากสหรัฐอเมริกาและจีน ทำการสำรวจทั้งในด้านทักษะคณิตศาสตร์และภาษาศาสตร์ พร้อมกับระบุด้วยว่าร้อยละ 80 ของผู้คนทั่วโลกที่อาศัยในเมืองต้องอยู่กับการหายใจในสภาพอากาศที่เป็นมลพิษ

รายงานของ BBC กล่าวต่อไปว่า การวิจัยนี้วัดมลพิษจากปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ และฝุ่นขนาดเล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 10 ไมครอน (PM10) ณ สถานที่ที่กลุ่มตัวอย่างอาศัยอยู่ แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนถึงอันตรายของมลพิษจากปัจจัยทั้ง 3 มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศราว 7 ล้านคน โดยงานวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) ของสหรัฐ เมื่อ 27 ส.ค. 2561 ที่ผ่านมา

งานวิจัยยังกล่าวถึงความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น ภาวะความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์) นอกจากนี้ สี เฉิน (Xi Chen) 1 ในคณะผู้วิจัย กล่าวว่า การสัมผัสกับอากาศที่มีมลพิษสูงอาจลดสมรรถภาพของสมองลงได้เทียบเท่ากับการเรียนรู้ใน 1 ชั้นปี ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก ทั้งนี้งานวิจัยใช้การให้กลุ่มตัวอย่างทำข้อสอบคณิตศาสตร์ 24 ข้อ ด้านภาษา 34 ข้อ เก็บข้อมูลทั้งชายและหญิงอายุ 10 ปีขึ้นไป ระหว่างปี 2553-2557 และก่อนหน้ายังมีผลการศึกษาพบมลพิษทางอากาศลดความสามารถในการเรียนรู้ของประชากรวัยเรียน

โดยสารเคมีบางชนิดเข้าสู่สมองโดยตรงแล้วไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีในสมอง และบางชนิดส่งผลต่อภาวะทางจิตจนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า ส่วนที่คณะผู้วิจัยย้ำว่าคนอายุมากและการศึกษาน้อยน่าเป็นห่วงที่สุดเพราะคนเหล่านี้มักทำงานอยู่กลางแจ้งเป็นหลัก จึงมีโอกาสสัมผัสมลพิษทางอากาศอย่างต่อเนื่องกว่าประชากรกลุ่มอื่น แน่นอนย่อมกระทบต่อระบบสวัสดิภารทางสังคมในทางอ้อม

คณะผู้วิจัยกล่าวอีกว่า แม้งานวิจัยนี้จะทำในประเทศจีน แต่ก็สามารถอ้างอิงกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ทั่วโลกที่ประสบปัญหามลพิษทางอากาศได้เช่นกัน พร้อมย้ำอีกว่า ร้อยละ 98 ของเมืองที่มีประชากรมากกว่า 1 แสนคนในประเทศรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง คุณภาพอากาศไม่ผ่านเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก


งานเข้า!! ยธ.เกาหลีใต้ชงยกเลิก'ฟรีวีซ่า'คนไทย ดัดหลังลอบเข้าเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม หนังสือพิมพ์โชซอน อิลโบ ของเกาหลีใต้ ได้เผยแพร่รายงานข่าวระบุว่า กระทรวงยุติธรรมของเกาหลีใต้กำลังอยู่ระหว่างการเสนอให้รัฐบาลตัดสินใจยกเลิกการเปิด “ฟรีวีซ่า” หรือการอนุญาตให้เข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่ากับคนไทย ภายหลังจากต้องเผชิญกับปัญหาการหลบหนีเข้าเมืองของคนไทยอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

รายงานซึ่งอ้างแหล่งข่าวในรัฐบาลกรุงโซลระบุว่า ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางมายังเกาหลีใต้และหลบหนีเข้าเมืองเป็นแรงงานผิดกฎหมายมากถึงเกือบ 100,000 ราย จากจำนวนแรงงานผิดกฎหมายที่คาดว่ามีอยู่ประมาณ 310,000 คน ขณะที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของเกาหลีใต้ระบุว่า ปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางเข้าเกาหลีใต้มากถึง 498,000 ราย โดยในจำนวนนี้ได้กลายเป็นผู้ลักลอบเข้าเมืองหรือพำนักอยู่ในเกาหลีใต้เกินกว่า 90 วันตามที่กฎหมายอนุญาตมากถึง 65,000 คน

ทั้งนี้รัฐบาลเกาหลีใต้ได้เปิดเสรีวีซ่าให้กับคนไทยมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1981 โดยอนุญาตให้ผู้ถือพาสปอร์ตชาวไทยพำนักอยู่ในเกาหลีใต้ได้เป็นเวลา 90 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของตัวเลขผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวไทย ทำให้กระทรวงยุติธรรมต้องการให้ทบทวนนโยบายดังกล่าว เพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการถกเถียง เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ได้ออกเสียงคัดค้าน เนื่องจากไทยและเกาหลีใต้มีความสัมพันธ์ค่อนข้างแน่นแฟ้นในทุกระดับ ดังนั้นหากมีการยกเลิกฟรีวีซ่าก็อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศไทยเช่นกัน

จีนปิดโรงเชือดสุกร ขนาดใหญ่สุดในโลก อหิวาต์สุกรระบาด

ปักกิ่ง (เอเอฟพี/ซินหัว) - จีนสั่งดับเบิลยูเอชกรุ๊ป ผู้ผลิตสุกรอันดับหนึ่งของโลกปิดโรงเชือดใหญ่แห่งหนึ่ง หวังยับยั้งโรคอหิวาต์สุกรแอฟริกัน (เอเอสเอฟ) ระบาด หลังพบการระบาดครั้งที่ 2 ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์

ดับเบิลยูเอชกรุ๊ปแถลงว่า ทางการเมืองเจิ้งโจว เมืองเอกของมณฑลเหอหนาน ทางตอนกลางค่อนไปทางตะวันออกมีคำสั่งให้ปิดโรงเชือดเป็นเวลา 6 สัปดาห์ หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมามีสุกรตายประมาณ 30 ตัวเพราะติดเชื้อเอเอสเอฟ โรงเชือดแห่งนี้เป็น 1 ใน 15 โรงของบริษัทที่อยู่ในเครือดับเบิลยูเอชกรุ๊ป นอกจากนี้ ทางการยังสั่งห้ามเคลื่อนย้ายสุกรและผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเข้า-ออกพื้นที่ที่พบการระบาดเป็นเวลา 6 สัปดาห์ด้วย ด้านบริษัทในเครือดับเบิลยูเอชกรุ๊ปแถลงว่า ได้กำจัดสุกรที่โรงเชือดแล้ว 1,362 ตัวตั้งแต่พบการระบาด สุกรเหล่านี้ถูกลำเลียงมาทางถนนจากตลาดสดในเมืองเจียหมู่ซี มณฑลเฮยหลงเจียง ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านย่านที่มีสุกรหนาแน่นมาจนถึงมณฑลเหอหนาน

เมืองเจิ้งโจวห่างออกไปประมาณ 1,000 กิโลเมตรจากมณฑลเหลียวหนิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือที่พบเชื้อเอเอสเอฟระบาดครั้งแรกเมื่อสองสัปดาห์ก่อน มณฑลนี้กำจัดสุกรไปแล้วหลายพันตัว การที่พื้นที่ระบาดห่างกันมากและการลำเลียงสุกรผ่านระยะทางไกลทำให้เกิดกระแสวิตกว่าเชื้ออาจระบาดไปยังพื้นที่อื่นของจีน หรือระบาดออกนอกประเทศแล้วหรือไม่ ข่าวเชื้อเอเอสเอฟระบาดทำให้ราคาสุกรระดับประเทศของจีนลดลงร้อยละ 0.7 เหลือกิโลกรัมละ 13.97 หยวน (ราว 67.50 บาท) เมื่อวันศุกร์ แต่ที่มณฑลเหอหนานและมณฑลใกล้เคียงราคาร่วงไปถึงร้อยละ 1.4