ข่าว
'ศศิ สินทวี' คว้าเหรียญทอง ชุดว่ายน้ำยอดเยี่ยมมิสเอิร์ธ

ประเดิมรางวัลแรกแบบสวยๆ ไปแล้ว ศศิ สินทวี มิสเอิร์ธไทยแลนด์ Miss Earth Thailand 2014 สวยกระจาย โดดเด่นจริง ในเวทีประกวดมิสเอิร์ธ Miss Earth 2014 ที่ฟิลิปปินส์ โดยปีนี้มีนางงามจากนานาชาติกว่า 85 ประเทศ ร่วมเข้าประกวดอย่างคึกคัก

ล่าสุดความสวยเด้งของ ศศิ เข้าตากรรมการจังๆ จนสามารถคว้ารางวัลแรกไปครองได้แล้ว เป็นรางวัลเหรียญทองแต่งชุดว่ายน้ำยอดเยี่ยม Best in Swimming Suit ศศิ ได้ให้สัมภาษณ์ “ขอบคุณทุกคนมากๆ ค่ะ ที่ตามลุ้นตามเชียร์กันมาตลอด อยู่ที่นี่แต่ละวันกองประกวดก็มีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำมากมาย ได้ประสบการณ์ที่หลากหลาย ก็เหนื่อยบ้างแต่ก็ต้องสู้ๆ ส่วนรอบตัดสินที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายน ศศิเตรียมพร้อมมาอย่างดีแล้วในทุกๆ ด้าน ก็จะทำให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ค่ะ”

โดยแฟนนางงามชาวไทยต่างแสดงความยินดีด้วย วิจารณ์ตรงกันว่ารางวัลแต่งชุดว่ายน้ำยอดเยี่ยมนี้ เหมาะสมสุดๆ กับศศิดีแล้ว เพราะหุ่นเซี้ยะรูปร่างเป๊ะ มีเสน่ห์แรงยากจะต้านทาน งดงามแบบสาวไทยแท้ คาดการณ์ว่าศศิเป็นตัวเต็งอีกคนหนึ่ง มีแววสูงที่จะคว้าตำแหน่งมิสเอิร์ธมาได้ แต่ก็ไม่แน่! เพราะกรรมการปีนี้เดาได้ยาก! อาจจะมีนางงามจากชาติอื่นๆ ที่สวยแรงตอนท้าย จะเป็นม้ามืดก็มีความเป็นไปได้.

พายุหิมะถล่มนิวยอร์ก คนติดในรถดับอนาถ

สุดเศร้า...พายุหิมะถล่มรัฐนิวยอร์ก สังเวยแล้ว 7 ศพ มีผู้เคราะร้ายรายหนึ่ง เสียชีวิตอนาถ หลังต้องติดอยู่ในรถยนต์ของตนเอง เนื่องจากมีหิมะตกหนักสูงกว่าเมตร จนออกจากรถไม่ได้ ด้านผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ชี้เป็นภัยพายุหิมะครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ

เมื่อวันที่ 20 พ.ย. พายุหิมะพัดถล่มรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ ในช่วงสัปดาห์นี้ ถือเป็น ‘พายุหิมะตกหนักที่สุด ครั้งประวัติศาสตร์’ อีกทั้ง ยังไม้ไม่ยุติลงในวันสองวันนี้ โดยคาดว่าจะเกิดมีพายุหิมะอีกระลอกถล่มตามมา ซึ่งจะทำให้เกิดหิมะตกหนัก สูงอีกถึง 3 ฟุต หรือราว 1 เมตร หลังจากประชาชนในหลายเมืองของรัฐนิวยอร์ก โดยเฉพาะเมืองบัฟฟาโล ต้องเผชิญหน้ากับความหนาวเย็นจัด และพายุหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักสูงนับ 6 ฟุต หรือเกือบ 2 เมตร โดยเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 7 ราย

ข่าวแจ้งว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิต 7 รายในรัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นรัฐทางตอนเหนือของสหรัฐฯ มีผู้เคราะห์ร้ายคนหนึ่ง ต้องเสียชีวิตอย่างน่าสะเทือนใจ เนื่องจากติดอยู่ในรถยนต์ของตนเอง จากหิมะที่ถมทับรถจนสูง ไม่สามารถจะออกจากรถยนต์ได้ ส่วนอีก 5 ราย เสียชีวิต จากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน และรายที่ 7 เสียชีวิตจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์

‘มีผู้คนจำนวนหนึ่งติดอยู่ในรถยนต์ของตนเองนานเป็นวันครึ่งเลยทีเดียว ซึ่งผมยังโชคดีที่ไม่เจอเหตุการณ์เลวร้ายอย่างนั้น เพราะบริเวณที่หิมะตกหนักสูงถึง 6 ฟุต อยู่ห่างจากบ้านของผมไปไม่ไกลนัก’ นายจอห์น จิโลตี้ ชาวเมืองอีสต์ อูโรรา ใกล้เมืองบัฟฟาโล

ด้านนายแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เรียกพายุหิมะรุนแรงที่พัดถล่มรัฐนิวยอร์กในครั้งนี้ว่า เป็นภัยพิบัติครั้งประวัติศาสตร์เลยทีเดียว หลังจากเมื่อวานนี้ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายเมืองของรัฐนิวยอร์ก รวมทั้งเมืองบัฟฟาโล ซึ่งเป็นเมืองที่มีพายุหิมะตกหนักสุด ขณะที่ มีรายงานมีประชาชนต้องติดอยู่ภายในรถยนต์ หรือแม้แต่ในบ้านของตนเอง ไม่สามารถจะออกไปข้างนอกได้ นอกจากนั้น กระแสลมแรง รวมทั้งถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง ยังทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนหลายราย

ข่าวแจ้งว่า ทางการสหรัฐฯได้ระดมส่งกำลังทหารกองกำลัง National Guard กว่า 100 นาย มายังรัฐนิวยอร์ก เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่เคลียร์ถนนและย้ายรถยนต์จำนวนมากที่จอดกีดขวางบนท้องถนน ในขณะที่ สำนักงานอุตุนิยมแห่งชาติสหรัฐฯ รายงานว่า จากปรากฏการณ์ ‘เลค เอฟเฟกต์’ หรือ ‘ผลกระทบจากทะเลสาบ’ เนื่องจากสภาพอากาศในฤดูหนาว อุณหภูมิลดต่ำสู่จุดเยือกแข็ง ทำให้ ความชื้นในอากาศเหนือทะเลสาบ กลายเป็นน้ำแข็งและเกิดเป็นหิมะ โดนกระแสลมพัดจากบริเวณทะเลสาบเข้าสู่พื้นดินนั้น ทำให้มีบางพื้นที่ในรัฐนิวยอร์ก มีหิมะตกหนัก สูงถึง 6 ฟุต 4 นิ้ว (1.93 เมตร) ภายในวันเดียว

ขณะเดียวกัน ประชาชนที่อาศัยอยู่ในรัฐต่างๆ ทั้ง 50 รัฐทั่วประเทศ รวมทั้งรัฐฟลอริดา และฮาวาย ก็ต้องเผชิญกับอากาศหนาวจัด อุณหภูมิติดลบ


"อมรา"ไม่เห็นด้วยอัยการศึก ชู3นิ้วเป็นสิทธิจะกลับมาอีก

นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และรองประธานมูลนิธิสตรีเพื่อสันติภาพ กล่าวถึงการประกาศใช้กฎอัยการศึกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ว่าในฐานะที่ดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชนว่า เคยชี้แจงและแจ้งไปแล้วว่าจุดยืนนั้นไม่เห็นด้วยกับการประกาศกฎอัยการศึก หรือการปฏิวัติใดๆก็แล้วแต่ ซึ่งหากรัฐบาล หรือ คสช. ยืนยันว่ามีความจำเป็นต้องใช้กฎอัยการศึก ต้องอธิบายต่อสังคม และประชาชนให้ได้

ส่วนการที่นักศึกษาถูกนำตัวไปขณะที่ยืนชู 3 นิ้ว หรือ แสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิที่นักศึกษาสามารถทำได้ แต่หาก รัฐบาล คสช. จะมองว่าเป็นการขัดกฎอัยการศึกก็ต้องอธิบายให้ได้เช่นเดียวกับเหตุผลของการประกาศใช้กฎอัยการศึก ส่วนตัวมองว่าการออกมาแสดงความเห็นลักษณะดังกล่าวจะไม่หมดไป และกลับมาอีกซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรงในอนาคต

นอกจากนี้ยังมองว่าประเทศไทยยังมีปัญหาในเรื่องความรุนแรงต้องสร้างความตระหนักรู้การที่ผู้หญิงไม่ทราบว่าถูกกระทำเป็นปัญหาใหญ่และเป็นปัญหาที่สังคมมองข้ามทั้งนี้ยังเห็นว่าการที่ประเทศไทยถูกจัดอันดับการใช้ความรุนแรงอยู่ในอันดับต้นๆ ส่วนหนึ่งมาจากสื่อมวลชนที่พยายามขยายความ รวมทั้งปัญหาของการกระบวนการเก็บข้อมูลขององค์กรระหว่างประเทศ เพราะบางทีการรวบรวมข้อมูลยังไม่ลึกพอและบางประเทศไม่ได้ส่งข้อมูลสถิติให้องค์กรที่เก็บข้อมูล

อย่างไรก็ตามปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อสังคมผู้หญิงยังมีกระบวนการอีกหลายขั้นตอนอาจรวมไปถึงการแก้จิตสำนึกกฎหมายหลักปฏิบัติ โดยส่วนตัวกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไม่สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสตรีได้ภายในเวลา 1 ปี ซึ่งเป็นกระบวนการต้องดำเนินการต่อเนื่องทำให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอาจจะต้องยืดเวลาในการปฏิบัติหน้าที่


‘นายกฯ’ ย้ำไม่เลิก ‘กฎอัยการศึก’

21 พ.ย.57 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการประกาศใช้กฎอัยการศึกที่มีอยู่ในขณะนี้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการเลิกถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ส่วนการเดินทางลงพื้นที่หลังจากนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาและจะไปทุกพื้นที่ ตนเอาเจตนาบริสุทธ์เอาตัวไป อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครจะเกลียดตน ตนเอาหัวใจเอาความตั้งใจที่จะทำงานให้คนทั้งประเทศไปให้ แล้วใครจะไม่ดูแลตน ก็อยากถามว่าแล้วจะมีใครทำอย่างนี้หรือไม่ ที่ผ่านมาทั้งหมดไปแบบตนหรือไม่

เมื่อถามว่าเจอเหตุการณ์ 3 นิ้วก็จะไม่หวั่น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็คุณอย่าบอกให้มาซิ คุณจะมาถามอย่างนี้ได้ยังไงคุณต้องช่วยผม สื่อต้องมีสองอย่างคือทำหน้าที่ชี้แจงทำความเข้าใจวิเคราะห์วิจารณ์บ้างแต่ต้องสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลส่วนหนึ่ง ถ้าบอกไอ้นั้นตีไอ้นี้ ก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ ไอ้ที่ผมทำดีดีก็จะหายหมด”

เมื่อถามว่าถ้าทำไม่ดีก็สามารถวิจารณ์ได้ พล.อ.ประยุทธ์ ถามกลับว่า “อะไรละที่ไม่ดีให้บอกมา”

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าหากรัฐมนตรีหรือคนในรัฐบาลบางคนมีการทุจริตสามารถวิจารณ์ได้ใช้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ใครละทุจริต มีหลักฐานหรือไม่ หากมีหลักฐานเอามา ผมจะปลดเอง ไม่ต้องวิจารณ์หรอกไม่มีหลักฐานไปหาหลักฐานมา แต่ผมคิดว่าวันนี้เขายังไม่ทำอะไรคุณจะทำไม คุณไปดูสิ่งที่เขาทำ ถ้ามีการทุจริตก็ไปหาว่าใครทุจริต ไม่ใช่ไปย้อนกลับว่าสมัยก่อนเขารวยอะไรเป็นคนละเรื่อง และกฎหมาย ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) เขามีอยู่ เขาเอาอะไรมาติดบนกระดานเขาตรวจมาแล้ว ไม่ใช้หน้าที่ใครที่จะไปตรวจอีก ผมถาม ป.ป.ช.เองว่าติดแล้วเขาตรวจแล้ว เขามีกลไกตรวจสอบอยู่ต้องให้กลไกเขาทำ ประชาชนก็สามารถดูได้ หากเห็นว่ามันทุจริตมันไม่ดี ก็สามารถร้องเรียนเข้ามาได้มันมีช่องทางอยู่ ถ้าด่ากันไปว่ากันมาท้ายสุดก็ทำงานไม่ได้ ท่านจะหาใครมาทำท่านก็ไปเลือกตั้งมา อย่าไปตีกันอย่างนี้จะทำงานไม่ได้ คนที่มีแนวโน้มทุจริตในอดีต เป็นนิทานอีสปหมาป่ากับลูกแกะ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ มีการแสดงท่าทีขึงขัง และมีการถามกลับสื่อมวลชนที่ถามคำถาม


ป.ป.ช.เห็นชอบตามอสส. ส่งฟ้อง’สรยุทธ’คดีไร่ส้ม

21 พ.ย. 57 นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการประชุมคณะทำงานร่วม ป.ป.ช.กับอัยการสูงสุด กรณีบริษัทไร่ส้ม เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า ในที่ประชุมคณะทำงานร่วม ทางผู้แทน ป.ป.ช.ได้มีมติเห็นชอบตามที่ทางอัยการสูงสุดเห็นชอบที่จะส่งฟ้องในคดีนี้เอง

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 12 พ.ย. นายวันชัย รุจนวงศ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนางสันทนี ดิษยบุตร รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันแถลงถึงความคืบหน้าการพิจารณาพยานหลักฐานของคณะทำงานร่วมระหว่างสำนักงานอัยการสูงสุด กับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คดีที่นางพิชชาภา หรือชนาภา เอี่ยมสะอาด หรือ บุญโต เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) , นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมการผู้จัดการบริษัทไร่ส้ม จำกัด , บริษัทไร่ส้ม จำกัด และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บจก.ไร่ส้ม ผู้ถูกกล่าวหา ตามความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6 , 8 , 11 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และ 91 กรณีนายสรยุทธ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม กระทำการโฆษณาเกินเวลา ขณะจัดทำรายการ "คุยคุ้ยข่าว" ออกอากาศสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท ระหว่างปี 2548 - 2549 โดยไม่ชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้กับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) รวมทั้งสิ้น 138,790,000 บาท

โดยนายวันชัย รุจนวงศ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า คดีดังกล่าวหลังจากอัยการสูงสุด ได้รับสำนวน ป.ป.ช. ที่ชี้มูลความผิดแล้ว ต่อมาวันที่ 5 ก.ย. 56 อัยการสูงสุด ได้แจ้งข้อไม่สมบูรณ์ เพื่อให้คณะทำงานอัยการ และ ป.ป.ช. ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์และได้ข้อยุตินั้น ขณะนี้คณะทำงานผู้แทนทั้งฝ่ายอัยการ และ ป.ป.ช.รวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนแล้ว ซึ่งเสนออัยการสูงสุดแล้วเห็นว่า คดีมีพยานหลักฐานฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ราย ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา จึงจะมอบให้คณะทำงานผู้แทนของอัยการสูงสุด นำความเห็นไปประชุมร่วมกับคณะทำงาน ป.ป.ช.อีกครั้งก่อน เพื่อให้ได้ข้อยุติในการดำเนินการฟ้องคดีต่อไปโดยเร็ว และเมื่อจะมีการฟ้องคดี สำนักงานอัยการสูงสุด ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนโดยมอบให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 2 รับผิดชอบต่อไป

สำหรับอัตราโทษความผิดดังกล่าว นางสันทนี ดิษยบุตร รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดพนักงานในองค์การ ฯ มาตรา 6 ฐาน พนักงานเรียกรับสินบน ระวางโทษจำคุก 5-20 ปี หรือตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000 - 40,000 บาท , มาตรา 8 ฐาน เป็นพนักงานใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต โทษจำคุก 5-20 ปี หรือตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000 - 40,000 บาท และมาตรา 11 ฐานพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนนายสรยุทธ เมื่อไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งถูกกล่าวหาฐานร่วมสนับสนุนเจ้าหน้าที่กระทำผิดนั้น หากพบว่ากระทำผิดจริง ก็ต้องรับโทษ 2 ใน 3 ของความผิดดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับกรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก ป.ป.ช. ได้มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 55 ชี้มูลความผิด นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) มีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา และนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด (ในฐานะส่วนตัว) และบริษัท ไร่ส้ม จำกัด (ในฐานะนิติบุคคล) มีมูลความผิดทางอาญา ฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิด

“ชูวิทย์” หิ้วตะเกียงเข้าสภา สร้างความสว่างให้บ้านเมือง

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 20 พ.ย. ที่รัฐสภา นายชูวิทย์ กลมวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย เดินทางมายังอาคารรัฐสภา พร้อมกับถือตะเกียงมาด้วย โดยระบุว่า บ้านเมืองกำลังมืดมิด จากเมื่อก่อนที่เคยพอเห็นแสงสว่างอยู่บ้าง จึงนำตะเกียงมาเพิ่มความสว่างให้กับบ้านเมือง และอยากฝากตะเกียงไปให้นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เพื่อช่วยบ้านเมืองให้สว่างอีกครั้ง ทั้งนี้ ตนเห็นว่าการร่างรัฐธรรมนูญไม่มีประโยชน์ เพราะเวลาที่เราทะเลาะกัน เราไม่เคยมองรัฐธรรมนูญ มองแต่ประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น การร่างแล้วฉีก ฉีกแล้วร่างใหม่จึงไม่เกิดประโยชน์ จึงขอปฏิเสธที่จะเข้าร่วมแสดงความเห็นกับกมธ.ยกร่างฯ

“มีแต่คนหาว่าผมบ้า ที่ไม่เข้าร่วม แต่ผมว่า คนที่มาประชุมบ้ากว่าผมอีก เพราะร่างแล้วฉีก ฉีกแล้วร่างใหม่ ครั้งนี้ก็อย่าติติงผมเลย เพราะปัจจุบันไม่มีฝ่ายค้าน ก็ขออนุญาตให้ชูวิทย์ได้พูดเถอะ วันนี้บ้านเมืองมืดมิด พูดไม่ได้ จะเรียกประชุมพรรคยังไม่ได้เลย แล้วจะเอาสิทธิ์ที่ไหนมาประชุมกับกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ จะเอามติ หรือเอาความเห็นที่ไหนมาเสนอต่อกมธ.ยกร่างฯ เพราะพรรคเป็นของประชาชน ดังนั้น การประชุมข้างบนก็เป็นการประชุมเถื่อน เพราะพรรคที่มา มาโดยมติใครก็ไม่รู้ ไม่มีฐานความคิด ผมจึงขอตั้งฉายารัฐธรรมนูญนี้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับหน้าขาว ฟันเหยิน” นายชูวิทย์ กล่าว

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ตนเห็นว่าการที่พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยกเลิกกฎอัยการศึกนั้น ถูกต้องแล้ว และตนก็เห็นด้วย เพราะถ้าเลิกก็จะยุ่ง เพราะขณะนี้ยังมีคลื่นใต้น้ำเคลื่อนไหวอยู่ อย่างไรก็ตาม จะไม่ขัดขวางการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ แต่อยากให้เห็นว่า การร่างรัฐธรรมนูญทุกครั้งก็จะเป็นแบบนี้

เมื่อถามว่า เหตุใดจึงไม่ทำหนังสือถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขออนุญาตประชุมพรรค นายชูวิทย์ กล่าวว่า ประชุมก็มีทหารไปร่วมด้วย แบบนี้อึดอัด เพราะการประชุมย่อมวิพากษ์วิจารณ์บ้าง การประชุมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เขาก็ไม่อยากประชุมกัน

เมื่อถามต่อว่า ออกมาพูดแบบนี้ไม่กลัวทหารเรียกหรือ นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนรักทหาร ลูกชายก็เป็นทหาร และการทำรัฐประหารที่ผ่านมาก็มีความเข้าใจในสถานการณ์ แต่บังเอิญโรดแมปดันไปคล้ายกับโรดแมปของพระสุเทพ ที่วางไว้ เหมือนกับก็อบปี้กันมา ถ้าเป็นกลางจริงๆ ทุกคนก็เห็นด้วย

เมื่อถามว่า ปัญหาที่ผ่านมาเกิดจากนักการเมืองเองใช่หรือไม่ นายชูวิทย์ กล่าวว่า ปัญหามาจากนักการเมืองที่หลงอำนาจ โง่เอง เดินสะดุดขาตัวเอง เรื่องร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ส่วนในอนาคตจะกลับมาเป็นนักการเมืองหรือไม่ ก็มองว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมือง ก็สามารถทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองได้