ข่าว
รวบแล้ว! กะเทยโหดเปิดปากปมสังหารเผาอำพราง นศ.หนุ่ม หมกหอพัก

วันที่ 8 สิงหาคม 2567 คืบหน้าการติดตามไล่ล่า สาวสองที่ก่อเหตุฆ่าเผาอำพราง นายวิศว นักศึกษาปี 1 คณะบริหาร ม.ชื่อดังแห่งหนึ่งถูกฆ่าเผาอำพรางศพภายในห้องพัก ของหอพักแห่งหนึ่ง ซอยประชาชื่นนนทบุรี 8 แยก 1 ต.บางเขน อ.เมืองนนทบุรี หลังเกิดเหตุ ตำรวจสืบสวนสภ.รัตนาธิเบศร์ สืบสวนจังหวัดนนทบุรี สืบสวนภาค 1 ลงพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อเร่งติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยกล้องวงจรปิดบันทึกภาพชายคล้ายสาวประเภทสอง ต้องสงสัยออกจากห้องพักในเวลาหลังเกิดเหตุ

จากการตรวจสอบเส้นทางการหลบหนีของคนร้ายที่ก่อเหตุพบว่าเดินทางกลับไปบ้านเกิดที่ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ทราบชื่อนายณัฐวุฒิ อ้นโต อายุ 21 ปี ทางพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อติดตามจับกุมตัวคนร้าย

ขณะที่ทาง สืบสวนภาค1 สืบสวนภูธรจังหวัดนนทบุรี นำกำลังพร้อมหมายจับเดินทางไปที่จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อติดตามจับกุมตัวนายณัฐวุติ พร้อมประสานตำรวจในพื้นที่ สภ.เขาบ่อแก้ว นำกำลังไปเชิญตัวนายณัฐวุฒิ มาควบคุมตัวที่สภ.เขาบ่อแก้ว

สอบสวนเบื้องต้นปมปัญหาที่ก่อเหตุมาจากเรื่องเงิน ที่คนตายมีปัญหาติดแบล็คลิตส์เรื่องการซื้อขายออนไลน์ ส่วนทรัพย์สินของผู้ตาย ทางนายณัฐวุฒิ ได้นำมือถือของผู้ตายไปขายในราคา 7,000 บาท ก่อนเดินทางหนีกลับบ้านเกิดในจังหวัดนครสวรรค์

ยกสนั่นโอลิมปิก!! ถึงคิว'เจ้าเวฟ-วีรพล'ระเบิดฟอร์มจอมพลัง คว้าเหรียญเงินปารีสเกมส์

ทัพไทยยังแรงไม่หยุด คว้าเหรียญทั้งวันในการแข่งขันยกระดับมาได้อีก 1 เหรียญ

“เวฟ” วีรพล วิชุมา จอมพลังหนุ่มไทยวัย 20 ปี เจ้าของ 2 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน ยกน้ำหนักชิงแชมป์โลก ปี 2023 ขึ้นเวทีรุ่น 73 กิโลกรัมชาย ระเบิดความสุดยอดได้เหรียญเงินมาครอง

โดยท่าสแนทช์ ยกได้ 148 กก. ก่อนจะโชว์ผลงานยกในภาคคลีนแอนด์เจิร์ก ได้ถึง 198 กก. เป็นสถิติใหม่ของรุ่นเยาวชนโลก ลงได้อย่างสุดยอด ทำน้ำหนักรวม 346 กก.

โดย ริซกี้ จูนยันสยาห์ จากประเทศอินโดนีเซีย วัย 21 ปี เจ้าของแชมป์เยาวชนโลกสองสมัยคว้าเหรียญทองไปครอง ยกได้ 155 กับ 199 กก. เป็นสถิติใหม่ของโอลิมปิก รวมทำได้

354 กก. ส่วนเหรียญทองแดงเป็นของบัลแกเรีย

จากการได้เหรียญครั้งนี้ทำให้ทัพนักกีฬาภายในปารีสเกมได้เหรียญรางวัลไปแล้วทั้งสิ้น 6 เหรียญประกอบด้วย 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง

ทำให้ สมาคมยกน้ำหนัก ได้เหรียญที่ 17 โดยทำได้ 5 ทอง 4 เงิน 8 ทองแดง ในโอลิมปิกเกมส์

สำหรับเหรียญที่ได้เพิ่มมานั้น ทำให้ นักกีฬาไทยได้เหรียญรางวัลตลอดกาลไปแล้วทั้งสิ้น 11 ทอง 11 เงิน 19 ทองแดง รวม 41 เหรียญ นับตั้งแต่เข้าร่วมการแข่งขันมา 72 ปี


'อดีตบิ๊ก ศรภ.'วิเคราะห์ปัจจัยชี้วัดผลเลือกตั้งปี 70 จะทำให้เกิด'สีส้ม'ทั้งแผ่นดินหรือไม่?

8 ส.ค. 2567 พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นความเคลื่อนไหวของต่างประเทศโดยเฉพาะชาติตะวันตก ในคดียุบพรรคก้าวไกล ทั้งก่อนและหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินยุบพรรค ว่า ตนมองว่าผู้บริหารพรรคก้าวไกลส่วนใหญ่จะมีความรู้จริงๆ เกี่ยวกับประเทศไทยน้อย แต่จะให้ความสนใจกับประเทศตะวันตกมากกว่า โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศแถบยุโรป

ซึ่งเมื่อตัวแทนพรรคก้าวไกล แม้จะเป็นคนไทยแต่มีความรู้เกี่ยวกับขนบประเพณีวัฒนธรรมน้อย เมื่อไปพูดกับต่างประเทศก็พูดแบบผิดๆ ถูกๆ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หรืออย่างที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หนึ่งในกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ไม่รู้ว่าแกรนด์สปอร์ตเป็นแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาของไทย หรือไม่รู้ว่านักกีฬาไทยเคยได้เหรียญทองโอลิมปิกมาหลายเหรียญแล้ว เหมือนกับไม่สนใจฐานความรู้ในประเทศตนเอง หากได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็สุ่มเสี่ยงผิดพลาดในการให้ความเห็นหรือตัดสินใจ

หรือเรื่องความรู้ของประชาชน ประเทศไทยประกอบด้วยชนหลายเผ่าพันธุ์ จะพูดถึงเผ่าหนึ่งก็กลัวกระทบกับอีกเผ่าหนึ่ง เรามีหลายมิติทางวัฒนธรรม นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ตนคิดว่าโชคดีที่กรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันพ้นสภาพไป ก็อยากให้กรรมการบริหารพรรคชุดต่อไปหันกลับมาสนใจปัญหาของประเทศตนเองบ้าง ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว มีการถ่ายทอดข้อมูลไปแล้วจะส่งผลอะไรกับประเทศไทยหรือไม่ ตนเห็นว่าเป็นเพียงนักการเมือง 2 คน จากประเทศตะวันตก เป็นเรื่องปกติ แต่อย่างไรสหรัฐฯ ก็ทิ้งประเทศไทยไมได้ จึงเป็นการพูดกดดันไปอย่างนั้นเอง

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า สหรัฐฯ กับพรรคก้าวไกลดูจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ตนเห็นว่า การแทรกแซงของเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับทุนมาจากประเทศกลุ่มยุโรปเข้ามาในประเทศไทย และกลุ่มเหล่านี้ก็มีส่วนสนับสนุนพรรคก้าวไกลอยู่แล้ว ดังนั้นความใกล้ชิดของคนในพรรคก้าวไกลกับสหรัฐฯ จึงมีค่อนข้างมาก เพราะวิธีที่ดีที่สุดในการที่สหรัฐฯ จะเข้าถึงคนคือเข้ากับพรรคก้าวไกล และในขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกลก็ไม่เข้ากับจีนหรือโซเวียต (รัสเซีย) จึงพอเห็นว่าเป็นเรื่องระหว่างประเทศ

“ฉะนั้นพรรคก้าวไกลก็คือเครื่องมือของสหรัฐอเมริกา ในการกดดันทั้งประเทศไทย กดดันต่อจีน เพราะคนไทยเรารู้สึกว่าจะสนิทสนมกับจีนมากกว่า ถ้าเผื่อกดดันมากๆ มันก็จะทำให้ประเทศไทยระมัดระวังตัวในการคบกับจีนมากขึ้น หันมาพูดกับอเมริกามากขึ้น แต่ที่ผมบอกว่าการกระทำที่ออกมาทั้งหมดนี่มันเป็นเรื่องตามปกติ เป็นชั้นเชิงทางการพูดเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่” พล.ท.นันทเดช กล่าว

พล.ท.นันทเดช กล่าวต่อไปว่า ส่วนข้อกังวลกรณีสหรัฐฯ ยืมมือพรรคการเมืองของไทยเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองในไทยจะเป็นอันตรายหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าสหรัฐฯ ทำแบบนี้กับทุกประเทศอยู่แล้ว อย่างกรณีที่ต้องออกมาขอโทษเรื่องให้ข้อมูลกับฟิลิปปินส์ว่าวัคซีนจากจีนใช้การไม่ได้ ดังนั้นเรื่องการออกแถลงการณ์ ออกมาเพียงฉบับเดียวก็คงจบไปเท่านั้น

เมื่อถามต่อไปถึงความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองจะตั้งขึ้นใหม่แทนพรรคก้าวไกลที่ถูกยุบไป รวมถึงบรรดาผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล เห็นว่า ในเรื่องของการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อเห็นบทเรียนแล้วก็คงจะไม่ปรากฏบนพื้นดินหรือแบบเปิดเผย กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่คงสรุปบทเรียนได้แล้ว แต่ใต้ดินก็อาจจะมีเพราะคงไม่สามารถไปห้ามสมาชิกพรรคได้ทั้งหมด

ส่วนที่บรรดาอดีตแกนนำพรรคตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ออกมาบอกว่า การเลือกตั้งปี 2570 จะได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เกิน 270 ที่นั่ง จนกลายเป็นทศวรรษแห่งการเปลี่ยนแปลง หรือที่บอกว่าตายสิบเกิดแสน แต่คำพูดแบบนี้อาจเป็นความจริงหรือไม่จริงก็ได้ อย่างไรก็ตาม ตัวแปรสำคัญไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรรคก้าวไกล แต่อยู่ที่ปัจจัยภายนอก เช่น หาก สส. พรรคร่วมรัฐบาลตื่นตัว ลงพื้นที่บ่อยๆ ด้วยตนเอง โอกาสรุกของพรรคก้าวไกลในพื้นที่ชนบทก็จะลดลง เรื่องนี้หมายถึง สส. ทุกพรรค

“ในปัจจุบันนี้ สส. พรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นว่าไม่ค่อยลงพื้นที่ ไปงานศพก็ให้หัวคะแนนไป ในขณะที่พรรคก้าวไกลก็ต้องยอมรับอันหนึ่งว่าความขยันขันแข็งของเขามีมากกว่าพรรคร่วมรัฐบาล แม้เขาจะเป็น สส. อาจเป็นเพราะเขาไม่มีงานเกี่ยวข้องกับงานบริหารก็ได้ เขาจึงลงพื้นที่ได้มากกว่า แล้วก็มี Activity (กิจกรรม) ที่มันเป็นที่ต้องตาของคนในชนบท คือเรื่องแบบที่เขาลงไป คนในชนบทไม่ค่อยรู้ เออ! มันมีเรื่องนี้ขึ้นหรือ? เรืองนั้นขึ้นหรือ? เนื้อหาที่แตกต่างนี้ก็จริงบ้าง-ไม่จริงบ้าง โม้บ้าง” พล.ท.นันทเดช ระบุ

พล.ท.นันทเดช ยังกล่าวอีกว่า ปัจจัยประการต่อมาคือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะยังคงมีบทบาทต่อไปอีกหรือไม่ ซึ่งหากนายทักษิณยังคงมีบทบาท พรรคก้าวไกลก็จะมีคะแนนดีขึ้น อีกประการหนึ่งคือ หากรัฐบาลเร่งรัดให้ข้าราชการทำงานรับใช้ประชาชนอย่างจริงจัง กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน พบบ้านไหนมีทุกข์ร้อนก็เสนอเรื่องขึ้นมาแล้วก็รีบลงไปแก้ไข ไม่ต้องรอให้สื่อมวลชนเสนอข่าว ถ่ายภาพมาให้เห็นประเภทบ้านหญิงชรายากจนเลี้ยงลูก 7 คน จนประชาชนต้องลงขันบริจาค

ซึ่งหากรัฐบาลแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ ผู้คนไม่ต้องพึ่งพาเพจสายไหมต้องรอด หรือพึ่งพาบุคคลอย่างนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ (กัน จอมพลัง) หรือนางปวีณา หงสกุล หรือบรรดาทนายความต่างๆ เมื่อนั้นพรรคก้าวไกลก็หมดโอกาสเติบโต ที่บอกว่าตายสิบเกิดแสน อาจเหลือเพียงตายสิบเกิดสิบ หรือแม้แต่ตายสิบเกิดเก้า ส่วนคำถามว่าสถานการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา มีความเสี่ยงนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ ตนยังมองไม่เห็น เพราะต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่า การเคลื่อนไหวเมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะส่งผลกระทบกลับมาที่ตนเอง และประชาชนก็จ้องดูอยู่

โดยต้องยอมรับว่าประชาชนก็ได้รับความเดือดร้อน ที่เห็นว่าประชาชนไมได้ออกมาเคลื่อนไหวอะไรกันมาก เพราะมีพื้นที่ผ่อนคลายอย่างสื่อสังคมออนไลน์ให้ได้แสดงออก ไม่เหมือนยุคก่อนๆ ที่ต้องออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสลงถนนหากเรื่องมาถึงจุดหนึ่ง ทั้งนี้ ตนมองว่าปัญหาการเมืองไทยจะคลี่คลายในตัวเอง ทุกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ อย่างพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย ฯลฯ จะค่อยๆ ประนีประนอมแก้ไขปัญหากันเอง แม้แต่พรรคก้าวไกลกึคงไม่กล้าเคลื่อนไหวแบบเดิม

“ในเมื่อกฎหมายเป็นกฎหมาย ถ้าเผื่อข้าราชการทุกฝ่ายลงมาร่วมกันทำงาน ลงมาช่วยอะไรกันอย่างดี ไม่ต้องไปติดตามนักการเมือง ทำงานของตัวเอง แล้วนักการเมืองก็ต้องเห็นว่าคนทำงานจริงๆ เป็นคนอย่างไร แค่นั้นสถานการณ์ประเทศไทยไปได้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือพรรคอะไรก็ไปได้หมด” พล.ท.นันทเดช กล่าว


เปิดประวัติ'เท้ง-ณัฐพงษ์'ว่าที่แม่ทัพสีส้มคนใหม่ ดีกรีไม่ธรรมดา สายตรง'ธนาธร'

8 ส.ค. 2567 ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า บรรดาอดีต สส. จากพรรคก้าวไกล ที่ถูกยุบไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 และไม่ได้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเพราะไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค จะร่วมกันเปิดตัวพรรคการเมืองพรรคใหม่ ในวันที่ 9 ส.ค. 2567

อย่างไรก็ตาม มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เมื่อ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ อดีตรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล มีแนวโน้มที่จะได้เป็นว่าที่หัวหน้าพรรค จากเดิมที่กระแสข่าวก่อนหน้านี้ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล อดีตรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล มีชื่อเป็นเต็งหนึ่งมาโดยตลอด

โดยประวัติของ นายณัฐพงษ์ หรือ “เท้ง” นั้น เคยเป็นรองเลขาธิการอดีตพรรคก้าวไกล ฝ่ายพัฒนาระบบข้อมูลและดิจิทัล อายุ 37 ปี เกิดวันที่ 18 พ.ค. 2530 เป็นบุตรชายคนที่ 4 ของ “สุชาติ เรืองปัญญาวุฒิ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ชนันธร ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด(ประกอบธุรกิจด้านพัฒนาอสังหารัมทรัพย์) และประธานกรรมการ บริษัท เรืองปัญญา เคหะการ จำกัด

นายณัฐพงษ์ จบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนทวีธาภิเศก นอกจากนี้ นายณัฐพงษ์ ยังเคยเป็นผู้บริหาร absolute.co.th ผู้ให้บริการคลาวด์ โซลูชัน ก่อนเข้ามาทำงานทางการเมือง ได้รับเลือกตั้งเป็น สส. กรุงเทพฯ เขตเลือกตั้งที่ 28 สังกัดอดีตพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2562

ต่อมาในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่อ ของอดีตพรรคก้าวไกล กระทั่งล่าสุดหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค เป็นเวลา 10 ปี นอกจากนั้น นายณัฐพงษ์ ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โดยในครั้งตั้งพรรคก้าวไกล ในส่วนตึกที่ใช้เป็นที่ทำการพรรคย่านบางแค กทม. ก็เป็นตึกนายณัฐพงษ์ อีกด้วย

ชาวมาเลเซียเดือด! คอมเมนต์ถล่มด่ารมว.กีฬาไม่รักชาติ หลังแชะภาพคู่‘วิว กุลวุฒิ’

8 สิงหาคม 2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'ฮันนาห์ โหยว' (Hannah Yeoh) รัฐมนตรีว่าการเยาวชนและกีฬาของประเทศมาเลเซีย ได้โพสต์ภาพลงในอินสตาแกรมส่วนตัว "@HannahYeoh" พร้อมระบุแคปชั่นว่า "Congratulations @kunlavut.v for winning silver in Paris 2024. I enjoy his style of badminton so much. So calm and collected. He has a new fan in me!"

ความหมายว่า “ขอแสดงความยินดีกับ วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ที่ได้เหรียญเงินในการแข่งขันที่ปารีสในปี 2024 ฉันชอบสไตล์การเล่นแบดมินตันของเขามาก เขานิ่งและมีสติมาก ฉันเป็นแฟนคลับเขาแล้ว!”

หลังจากนั้นกระแสตีกลับเดือดทำให้ชาวมาเลเซียไม่พอใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่า ฮันนาห์ โหยว ทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากเธอเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเยาวชนและกีฬาของประเทศมาเลเซีย ไม่ควรแสดงออกว่าเชียร์ทีมชาติอื่นอย่างออกนอกหน้าขนาดนี้ บางคนด่าแรงถึงขนาดว่าเธอไม่รักชาติ ในทางกลับกัน ชาวเน็ตบางคนก็ออกมาปกป้องเธอเช่นกัน พร้อมบอกว่านี่คือสิ่งที่รัฐมนตรีพึงกระทำเนื่องจากแสดงถึงน้ำใจนักกีฬา