ข่าว
ไม่ได้บ้า อ.เฉลิมชัยบอกเหตุผล ให้ลูกชายสมัครเป็นทหารเกณฑ์

นายณภัส โฆษิตพิพัฒน์ หรือน้องแทน อายุ 22 ปี ลูกชายอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ผู้สร้างวัดร่องขุ่น อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สมัครเข้ารับราชการทหาร (ทหารเกณฑ์) ที่สถานที่ทำการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหาร กองประจำการ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย วันที่ 8 เม.ย.

อาจารย์เฉลิมชัยกล่าวว่า เพื่อนบอกบ้าหรือเปล่าส่งลูกไปเป็นทหาร ไม่ได้บ้า เป็นสิ่งดีงาม อยากให้ทุกคนส่งลูกมาเป็นทหาร เป็นทหารสุดยอดที่สุด แสดงถึงความรักชาติบ้านเมือง ผมเป็นคนรักชาติบ้านเมือง อยากให้ลูกมีจิตใจสำนึกถึงชาติบ้านเมือง 6 เดือนจากอังกฤษมาอยู่ดีกินดี อยากให้มาอยู่กับทหารเกณฑ์ไม่มีชั้น เสมอภาคเท่าเทียมกันและเสียสละเพื่อชาติ 6 เดือนเอง เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ออกมาทำมาหากิน ร่ำรวย จะคืนกลับบ้านเมือง สำนึกในความรักชาติจะไม่โกงชาติ

“น้องตู่-พี่ป้อม” ไม่ขำขัน “ระวัง – ระแวง” จนโอเวอร์

โดนค่อนแคะว่า “แป๊ะ” ติดหลุมพราง “แม้ว” ง่ายเกินไป กับปมไล่จับหญิงคนหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ที่โพสต์ภาพ “ขันแดง” กับการเข้าตรวจยึดขันแดงจากสำนักงาน อดีตส.ส. จ.น่าน ของพรรคเพื่อไทย ในข้อหาขัดความมั่นคง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116

จนกลายเป็นเรื่องโจ๊ก “ขำขัน” กันไปในโซเชียลมีเดียสนุกปากว่า “แป๊ะ” ขวัญอ่อน กลัวอะไรกับขันใบเดียวที่สลักชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร - ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ สองศรีพี่น้อง โดยอารมณ์คือ คนรู้สึกว่า มันคือเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่น่าไปใส่ใจระแวงกันขนาดนั้น

ถึงขนาดหลายฝ่ายส่ายหน้า เพราะว่า การที่ “แป๊ะ” ไปไล่จับขัน เหมือนกับคิดอ่านไม่ทะลุ ไม่ทันเกมอีกฝั่ง ตกเป็นเหยื่อของฝ่ายตรงข้าม พอทำแบบนี้เลยตาลปัตร กลายไปเป็นการช่วยประโคมข่าวให้อีกฝั่งเสียอย่างนั้น

เข้าอีหรอบเหมือนปลากระโดดเข้าไปในบ่อที่เขาขุดล่อเอาไว้ สุดท้ายเป็นการช่วยดึงกระแสความสนใจกลับไปให้สองศรีพี่น้อง “ชินวัตร” แบบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย

โดยรวมปฏิกิริยาของโลกโซเชียลมีเดีย “แป๊ะ” ถูกมองว่าโอเวอร์!

ทั้งนี้ทั้งนั้น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ก็ยังยืนยันว่า การกระทำดังกล่าว เข้าข่ายขัดความมั่นคง ประสานเดียวกัน แม้จะรู้ว่า ปฏิกิริยาของสังคมจะมองเป็นเรื่องตลกก็ตาม

น่าสังเกตอาการ ไม่ขำด้วยของ “สองศรีพี่น้องฝั่งบูรพาพยัคฆ์” แต่ยังขะมักเขม้นจะเอาผิดสำหรับคนที่ครอบครองขันแดงเอาไว้แจกจ่าย เรื่องมันน่าจะมีอะไรกว่าขันใบเดียวแน่ โดยเฉพาะกระแสข่าวว่า จุดเริ่มต้นก่อนที่จะมีการจับเรื่องขันแดงดังกล่าว เนื่องจากมีการโพสต์ข้อความในลักษณะหมิ่นเหม่ ชวนให้คนตีความ

ซึ่งข้อความที่ว่า ก็น่าจะรุนแรงพอสมควร ไม่เช่นนั้นคสช. ไม่น่าจะกล้าแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ให้คนนินทาหมาดูถูก ในภายหลังได้

แล้วมันก็ผิดธรรมชาติพอสมควร กับการที่อยู่ดีๆ คสช.ไปให้ความสนใจกับมวลชนคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่แกนนำ หรือนักการเมืองขนาดนี้ หากไม่มีอะไรในก่อไผ่ หรือไปสะกิดใจกับพฤติกรรมบางอย่าง ดังนั้น สมมุติฐานของเรื่องนี้ มันจึงมีอะไรมากกว่านั้น เพียงแต่คสช. พูดไม่ได้

แล้วคนโดนจับอาจจะไม่ใช่เพราะเรื่อง “ขันแดง” อย่างเดียวก็ได้ หากย้อนดูการโพสต์ข้อความเก่าๆ ว่า มีลักษณะยั่วยุก่อน หรือไม่ ลำพังอยู่ดีๆ คสช.แกล้งเข้าไปจับ มันดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ ที่จะให้คนมาด่าเล่น

ขณะที่การแจก “ขันแดง” เที่ยวนี้ของ “สองศรีพี่น้องชินวัตร” ก็คงไม่ใช่แค่ยั่วประสาท “แป๊ะ” เล่นๆ แต่มันน่าจะมีนัยสำคัญอะไรบางอย่าง เพราะหากไม่นับว่า การออกมาพูดในช่วงนี้เพราะล้อกับกระแสสงกรานต์แล้ว มันก็ตรงพอดิบพอดี กับการนับหนึ่งเข้าสู่บรรยากาศของการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)

ซึ่งมันก็สอดรับกับการเคลื่อนไหวของ “ยิ่งลักษณ์” ที่ไล่เลี่ยกับการเกิดกระแส “ขันแดง” พอดี หลังโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวให้แฟนเพจร่วมกิจกรรมและช่วยโหวตว่า อยากให้ลงพื้นที่ไหน ด้วยเหตุผลอะไร ซึ่งเป็นเสมือนอีเวนต์ทางการเมือง

การขยับของ “สองศรีพี่น้องชินวัตร” ไปสอดรับกับกระแสข่าวว่า ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไปสถานการณ์การเมืองจะเข้มข้นขึ้น

แม้แต่การเคลื่อนไหวของ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากนี้เองก็มองข้ามไม่ได้ เพราะอาจจะมีบทบาทสำคัญในบางเรื่อง

ทุกอย่างดูเอื้อและสอดรับกันหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมคสช. จะระแวงทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของทั้งสองคน รวมทั้งองคาพยพด้วย เพราะรู้ว่า จุดเป้าหมายของฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่แค่คว่ำร่างรัฐธรรมนูญเพียงเท่านั้น แต่คือ การโค่นคสช. ให้ลง เพราะต่อให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญได้ แต่อาจจะไม่มีความหมายอะไร เพราะสิ่งที่จะได้อาจเป็นการหนีเสือปะจระเข้

แต่ถ้าคสช.ร่วงจากอำนาจทุกอย่างจะจบ!

นาทีนี้เช็กอาการของคสช. คงไม่ผิดนักหากจะพูดว่า มีเส้นบางๆ กั้นระหว่างคำว่า “ระแวง” กับ “ระวัง” ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคสช. ต้องการให้สถานการณ์ทุกอย่างนิ่งที่สุดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่ใช่แค่เพียงต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติเท่านั้น

โดยขณะนี้มันเริ่มปรากฏการขยับเขยื้อนของมวลชนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มย่อยๆ ตลอดจนการปลุกระดมหรือการยั่วยุผ่านโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งมันก็สอดรับกับบรรดาหัวๆ อย่าง “ทักษิณ” และ “ยิ่งลักษณ์”

ซึ่งปมขันแดงเองนี้เอง ทางหนึ่งถ้าจะมองว่า อีกฝั่งกำลังหยั่งเชิงคสช.เองด้วยว่า รู้ความเคลื่อนไหวพวกเขามากน้อยเพียงใดก็อาจจะมองได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น จึงอย่าแปลกใจว่า ทำไมคสช. จึงละเอียดยิบในเรื่องนี้ แม้กระทั่ง “ขัน” เพราะทุกอย่างมันมีเจตนาแอบแฝงทั้งสิ้น ขณะที่ “ทักษิณ” เองก็ส่งสัญญาณเปิดเกมรุกชัดไปแล้ว หลังจากออกมาโวยวายแบบท้าให้จับกรณีแจกขันแดง

ต่อจากนี้น่าจับตาเรื่องอีเวนต์ของการเมือง โดยเฉพาะการล้อกับสถานการณ์ปัจจุบัน เหมือนกับสงกรานต์เที่ยวนี้ที่แจกขันแดง ซึ่งพ้นสงกรานต์แล้ว ในช่วงของการทำประชามติเองยังจะมีโอกาสครบรอบ 2 ปี รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 อีก

แน่นอนถ้าเป็นฝ่ายต้านย่อมไม่พลาดวาระสำคัญๆ อย่างนี้ในการกระตุกหนวดเสือตะวันออก ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมิถุนายน ที่มีวันสำคัญเกี่ยวกับประชาธิปไตย ไม่เว้นแม้กระทั่งในเดือนตุลาคมที่ปีนี้ประจวบเหมาะกับโอกาสครบรอบ 40 ปี เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

อยู่ที่ว่า สถานการณ์ตอนนั้นมันจะประจวบเหมาะกับวาระไหน แล้วตัวคสช.เองจะเพลี่ยงพล้ำในช่วงไหน ด้วยเรื่องอะไร ซึ่งเมื่อรู้ว่า หากล้มแล้วมีคนพร้อมที่จะกระทืบซ้ำ มันจึงเป็นที่มาของการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

แม้กระทั่งเรื่องหลักสูตรอบรมนักการเมืองเอง คสช.ก็ต้องการใช้เป็นเครื่องมือในการกดสถานการณ์ให้ “นิ่ง” ในส่วนของนักการเมือง

โดยสภาพบนหลังเสือ ประเมินเป็นลบมากกว่าบวกทุกอย่างเพื่อให้รับมือทันตามนิสัยทหาร ยอมโดนว่า บ้าอำนาจ ดีกว่าปล่อยให้สถานการณ์บานปลาย ต่อให้จะเป็นเพียงแค่การ “เพาะเชื้อ” ก็ตาม

แล้วก็ละเอียดยิบกันถึงขนาดกลุ่มคนย่อยๆ ที่จะสามารถมีพัฒนาการนำไปสู่ภาพใหญ่ ไม่ใช่แค่จับตาแค่หัวขบวนแล้ว!


“ปู” ชี้ ปชช.ควรฟังข้อมูลทุกด้าน ทั้งฝ่ายรับ-ไม่รับ ก่อนลงประชามติ

“ยิ่งลักษณ์” ชี้ อยากให้ ปชช.ได้ฟังความคิดเห็นทุกด้าน ทั้งฝั่งรับ-ไม่รับร่าง รธน. ขอให้ รธน.สร้างสมดุลอนาคตไม่ใช่แก้ปัญหาวันนี้อย่างเดียว

เมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่หนังสือพิมพ์ข่าวสด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ สนช.มีมติตั้งคำถามพ่วงในการลงประชามติ โดยให้ ส.ว.มีอำนาจเลือกนายกฯได้ว่า ในช่วงของการตั้งคำถาม อยากให้ประชาชนได้เห็นและได้ฟังข้อมูลครบทุกด้าน ทั้งด้านของผู้ที่รับและไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อที่จะได้พิจารณาตัดสินใจ เพราะเราอยากเห็นการพิจารณาที่มองไปถึงอนาคตข้างหน้าและปัญหาระยะยาวมากกว่า อย่ามองเพียงการแก้ปัญหาในวันนี้อย่างเดียว และที่สำคัญ การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม และกลไกของฝ่ายบริการคือ ครม.ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงกลไกของรัฐสภา ควรเป็นไปตามกลไกที่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เป็นกลไกที่ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ถ้าไม่มีส่วนร่วมจะไม่มีการสร้างสมดุลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงอยากให้มองในประเด็นเหล่านี้ด้วย ซึ่งเป็นจุดใหญ่ที่สำคัญ


สนช.ผ่านคำถามพ่วงประชามติ 152-0 ให้ ส.ว.โหวตนายกฯในช่วงเปลี่ยนผ่าน

สนช.ลงมติผ่านฉลุย 152-0 ชงคำถามพ่วงประชามติ ให้ ส.ว.โหวตนายกฯใน 5 ปีช่วงเปลี่ยนผ่าน ก่อนส่งคำถามไปยัง กกต.เพื่อทำประชามติต่อไป...

เมื่อเวลา 17.30 น.วันที่ 7 เม.ย.2559 ที่ประชุม สนช.เข้าสู่วาระการพิจารณาประเด็นคำถามของ สนช.ที่จะเสนอต่อคณะ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการจัดให้มีการออกเสียงประชามติตามมาตรา 39/1 วรรคเจ็ด ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557

นายกล้านรงค์ จันทิก รองประธานคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาศึกษา เสนอแนะ และรวบรวมความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ สนช. คนที่ 1 กล่าว่า ความเห็นที่ส่งมา ส่วนใหญ่เสนอเรื่องเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ส.ว. ให้ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในระยะเปลี่ยนผ่านได้หรือไม่ หลังจากรวบรวมความเห็นแล้ว กมธ.ฯ เห็นว่าควรเสนอคำถามโดยเน้นความเห็นของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นหลักในการพิจารณา จึงเห็นว่าควรตั้งคำถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ควรกำหนดในบทเฉพาะกาลว่าระหว่าง 5 ปีแรก ตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาเห็นชอบบุคคลสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ

ทั้งนี้ สมาชิกส่วนใหญ่อภิปรายเห็นด้วยกับการให้ตั้งคำถามพ่วงประชามติ ก่อนที่นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.ขอมติที่ประชุมว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่ สนช.จะส่งคำถามประชามติต่อ กกต. โดยที่ประชุมมีมติเห็นด้วย 142 เสียง ไม่เห็นด้วย 16 เสียง งดออกเสียง 9 เสียง

ต่อมา นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ในส่วนประเด็นคำถาม ที่ประชุม สนช.เห็นชอบหรือไม่ว่าเพื่อให้การปฏิรูปประเทศต่อเนื่องตามแผน ยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดใน บทเฉพาะกาลว่าระหว่าง 5 ปีแรกนับตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรก ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้ให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรแต่งตั้ง เป็นนายกรัฐมนตรี สุดท้าย ที่ประชุมมีมติเห็นด้วย 152 ต่อ 0 เสียง และงดออกเสียง 15 เสียง

จากนั้น นายพรเพชร แจ้งว่าเมื่อที่ประชุมเห็นชอบแล้ว จะส่งคำถามให้กกต.เพื่อทำประชามติต่อไป ก่อนสั่งปิดการประชุมในเวลา 18.30 น.


งานสงกรานต์วัดไทยหารายได้สร้างศูนย์ปฏิบัติธรรม

วัดไทยแอล.เอ.จัดงานประเพณีสงกรานต์ปีใหม่ไทย 9-10 เมษายนนี้ สืบสานวัฒนธรรมประเพณีไทยแต่โบราณ เป็น เทศกาลแห่งกตัญญูกตเวทิตาธรรม ชมการประกวดเทพีสงกรานต์ สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้อาวุโสของชุมชน ไทย สาทิตพิธีแต่งงานตามประเพณีพื้นบ้าน รายได้จากงานนี้นำเข้าเป็นทุนสร้าง “ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดไทยฯ”

นางวนิดา ศรีวะรมย์ ประธานจัดงานเทศกาลสงกรานต์วัดไทยลอสแองเจลิส ประจำปี 2559 ได้เปิดเผยว่า วัดไทยฯ ได้จัดกิจกรรมสืบสานวัฒนธรรมประเพณีไทย เพื่อปลุกจิตสำนึกของลูกหลานที่เกิดและเติบโตในอเมริกา เพื่อให้รับรู้ถึงรากเหง้า และมีจิตสำนึกและผูกพันในวัฒนธรรมอันงดงามของไทย โดยเฉพาะงานเฉลิมฉลองเทศกาล สงกรานต์วันขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งวัดไทยฯ ได้จัดขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1979 คุณอรรคเดช ศรีพิพัฒน์ เป็นประธาน จัดงาน สำหรับปีนี้กำหนดจัดขึ้นในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 9-10 เมษายน ที่จะถึงนี้ เริ่มงานตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 18.00 น. หรือตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ทั้ง 2 วัน โดยมีตัวเองเป็นประธานจัดงาน

นางวนิดาได้กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมสืบสานวัฒนธรรมประเพณีไทยที่จัดขึ้นในงาน นอกจากทำบุญถวาย สังฆทานอุทิศให้บรรพบุรุษ ทำบุญตักบาตร ก่อพระเจดีย์ทราย สรงน้ำพระและรดน้ำดำหัวผู้อาวุโสของชุมชนไทย การ ประกวดเทพีสงกรานต์ การแสดงของเด็กๆ ที่เกิดและเติบโตในอเมริกา ซึ่งได้รับการปลูกฝังและฝึกสอนจากคณะครู ของโรงเรียนวัดไทยฯ โชว์การแสดงนาฏศิลป์ในชุดใหม่ๆ น่ารักๆ ประกอบการบรรเลงดนตรีไทย ซึ่งเด็กๆ ดนตรีก็ได้ รับการฝึกซ้อมจากคณะครูอาสามาแรมเดือนตั้งแต่โชว์กันมาก นอกจากนั้นศิลปินชื่อดังของแอลเอ โดย ศักดิ์ เบส ต้อย ตีวิด ฟาโรห์ ชาย เมืองชล และนักร้องดังอีกหลากหลาย ก็จะขึ้นเวทีโชว์เพลงไพเราะ และโชว์จินตลีลาประกอบ เพลงให้ฟังและชมกันอย่างเต็มอิ่มทั้งสองวัน และตบท้ายด้วยโชว์ของวงดนตรี “ฮิตแมน” ศิษย์วัดของ “หลวงพี่น้ำฝน” วัดไผ่ล้อม นครปฐม และการแสดงละครแนวใหม่ของนักแสดงหนุ่มสาวไฟแรงศิษย์ “ครูช่าง” อ.ชนประคัลภ์ จันทร์เรือง

“สำหรับตลาดอาหารไทยและสินค้าพื้นเมือง เราเปิดบริการตั้งแต่ 9 โมงเช้าเป็นต้นไป พี่รับรองว่าฝีมือการทำ อาหารไทยของพ่อค้าแม่ขายตลาดอาหารวัดไทยฯ เป็นหนึ่งในแอลเอ ได้รับการยอมรับจากต่างชาติมาแล้ว ก็ขอเชิญไป ร่วมกันอุดหนุน คือ การซื้ออาหารไทยที่วัดไทยฯ ทานกัน เป็นการทำบุญไปด้วยนะคะ เพราะปีนี้เราจะนำรายได้ทั้งหมด ที่ได้จากงานนี้ เข้าเป็นทุนในการก่อสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมของวัด ซึ่งเราจะจัดงานพิธีวางศิลาฤกษ์พร้อมงานวันเกิดของ หลวงพ่อใหญ่วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายนนี้ค่ะ” นางวนิดากล่าว

สำหรับพิธีเปิดงานจะเริ่มขึ้นในเวลา 13.00 น. ของวัดเสาร์ที่ 9 เมษายน โดยท่านกงสุลใหญ่ ให้เกียรติเป็น ประธานเปิดงาน แล้วจะต่อด้วยการประกวดเทพีสงกรานต์ ซึ่งมีสาวงามลูกหลานไทยเข้าประกวดจำนวน 15 คน ครูป้อม กิตติกา เมฆศรีวรวรรณ อดีตครูอาสาวัดไทยฯ ประธานกองประกวด และ คุณจุฑาภรณ์ ไชยรัตน์ติเวชา นายก สมาคมไทยปักษ์ใต้ เป็นประธานทอดผ้าป่า ขอเชิญพี่น้องไทยทุกท่านไปร่วมสนับสนุนร่วมสืบสานวัฒนธรรมประเพณี ไทยให้เข้มแข็งโดยพร้อมเพรียงกัน

ทนายแม่ประนอม ชี้ 2 ฝ่าย เซ็นข้อตกลงก่อนถอนฟ้อง

จากกรณีนางประนอม แดงสุภา ผู้ก่อตั้งธุรกิจน้ำพริกแม่ประนอม กับนางศิริพร แดงสุภา ลูกสาวคนโต เจรจาไกล่เกลี่ย เกี่ยวกับทรัพย์สิน และธุรกิจจน้ำพริกแม่ประนอม จนลูกสาวยอมคืนหุ้น ทรัพย์สิน และให้เงินรายเดือนกับนางประนอม ขณะที่นางประนอม จะถอนฟ้องคดีที่ยื่นฟ้องนางศิริพร เอาไว้ โดยมีม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย ที่วังวรดิศ เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 เมษายน นายพิสิทธิ์ ชุติพรพงษ์ชัย ทนายความของนางประนอม เปิดเผยว่า ขณะนี้รอให้นางศิริพร โอนทรัพย์สินคืนให้กับนางประนอม ตามที่ตกลงกันไว้ ประกอบด้วย หุ้นบริษัทจำนวน 1,8000 หุ้น , ที่ดินโรงงานเก่าที่ตั้งอยู่หมู่บ้านเศรษฐกิจเนื้อที่กว่า 2 ไร่ รวมถึงที่ดินที่อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม 9 แปลง , บ้านและที่ดินที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา บนเนื้อที่ 1 ไร่ , ที่ดินต่างจังหวัด 1 แปลง , รวมถึงนางศิริพรต้องชดใช้หนี้ที่นางประนอมไปหยิบยืมเงินมาเพื่อซื้อที่ดิน 1 ไร่ เพื่อสร้างร้านอาหารพีเอส เรสเตอรอง ตั้งอยู่บนถนนพุทธมณฑลสาย 3 แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม. ในราคาประมาณ 20 ล้านบาท

นายพิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนร่างหนังสือแบ่งทรัพย์สิน ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะสามารถเซ็นรับข้อตกลงได้ในวันที่เท่าไหร่ ตอนนี้มีแค่หลักการ ส่วนกรณีทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ในวันที่ 11 เมษายนนี้ ตนจะร่างหนังสือตามคำบอกของแม่ประนอมและจะส่งให้นางศิริพรดู เมื่อร่างข้อตกลงเสร็จทุกขั้นตอนทุกอย่างต้องไปจบอยู่ที่ชั้นศาล เพราะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยวันดังกล่าวถ้าหากยอมรับข้อตกลงกันได้ต้องเซ็นหนังสือยอมรับข้อตกลงกันได้ที่ศาล และถอนฟ้องได้ในวันดังกล่าว แต่หากทำหนังสือไม่เสร็จหรือตกลงกันไม่ได้คงต้องขอศาลเลื่อนพิจารณาออกไปก่อน