ข่าว
"สมชัย" ถูกผู้สมัครส.ส.ใต้จาก "เพื่อไทย" บุกล้อม ต่อว่าถ่วงเวลารับสมัครเลือกตั้ง

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร คณะกรรมการการเลือกตั้ง ด้านการบริหารจัดการการเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีการส่งคำถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ถึงกรณีการออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งโดยให้ออกเป็น 28 เขต หรือให้ออกทั้งประเทศ ว่าไม่ได้พยายามทำให้การเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. เป็นโมฆะ แต่ต้องการรักษาพื้นที่ทั้ง 28 เขตไว้

ส่วนกรณี การจัดเลือกตั้งนั้น จะมีการประเมินสถานการณ์การจัดการเลือกตั้งอีกครั้ง ในวันที่ 7 มีนาคม นี้ โดยขณะนี้ มี 5 จังหวัดแล้วที่คาดว่าสามารถจัดได้ โดยผลของการหารือก็จะนำข้อเสนอให้ กกต.รับทราบ ยืนยันว่าไม่ได้บีบให้ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเข้าร่วม แต่ กกต.อยากให้หยุดการโต้ตอบผ่านสื่อ และควรกลับมาเจรจากัน

ทั้งนี้หลังจากให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเสร็จ ได้มีผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ของ ส.ส.ทั้ง 28 เขตภาคใต้ ที่ยังไม่สามารถเปิดรับสมัคร ส.ส.ได้ จำนวน29 คน ได้เดินทางมายังที่ทำการ กกต.แล้วเข้ามาทวงถามความคืบหน้าในการรับสมัคร กับ นายสมชัย เพื่อให้เร่งดำเนินการรับสมัคร ส.ส. โดย ผู้สมัครหลายคนต่างแสดงความไม่พอใจ และขอให้กกต.เร่งเปิดรับสมัคร รวมถึงให้มีการเอาผิดกับการขัดขวางการรับสมัคร ทั้งยังถามว่าทาง กกต.จะสามารถจัดการเลือกตั้ง พร้อมกับ สว.ได้หรือไม่

ทั้งนี้นายสมชัย ได้ตอบคำถามผู้สมัคร โดยยืนยันว่าทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว โดยได้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่ขัดขวางอย่างเต็มที่ โดยมีคำสั่งไปยัง กกต.จังหวัดให้แจ้งความแล้ว ส่วนเรื่องวันเลือกตั้งนั้น จะมีการพูดคุยกันในวันที่ 7 มีนาคมนี้ ที่จังหวัดสงขลา และขอให้ผู้สมัครดังกล่าวส่งตัวแทนไปเข้าร่วมชุมนุมด้วยจำนวน 5 คน โดยภายหลังการพูดคุยกัน ผู้สมัครหลายคนยังแสดงความไม่พอใจ โดยมีการตะโกนต่อว่า กกต.ที่มีความพยายามในการถ่วงเวลารับสมัครเลือกตั้งครั้งนี้

"ชูวิทย์" ชี้ ตีปี๊บแยก"ประเทศล้านนา" กลยุทธ์ลวง

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชูวิทย์ I′m No.5 แสดงความคิดเห็นถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจในเรื่องการแยกประเทศ ดังนี้

ยกสุดท้าย ถอยเพื่อรุก "ประเทศล้านนา"

การกระตุกต่อมความรู้สึกของคนที่คิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ด้วยการท้าทายเป็นคำถามปลายเปิดว่า "คงต้องถึงขนาดแบ่งประเทศกันปกครองเลยหรือ?" เพื่อให้บรรดาผู้มีอำนาจที่แท้จริงของบ้านเมืองนี้แสดงตัว ก้าวขา เปิดหน้าออกมา

ไม่ใช่เพื่อต่อต้านเท่านั้น แต่เป็นกลยุทธ์ลวงช่วยเร่งปฏิกิริยาให้ออกมาสู่วงเจรจาสงบศึกเร็วขึ้น

เมื่อหาทางออกไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างยืนยันหัวชนฝา ฝ่ายหนึ่งไม่พูดคุยเจรจา ไม่ประนีประนอม ต้องลาออกอย่างเดียว อีกฝ่ายเป็นไงเป็นกัน ยอมตายคาสนามประชาธิปไตย ใช้สารพัดวิธี ปิดล้อม ยั่วยุ เรียกร้องทหาร องค์กรกลาง ทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย ปาระเบิดกันรายวันก็ยังไม่มีใครยอมใคร จนใกล้ยกสุดท้าย ต้องปัดฝุ่น งัดกลยุทธ์คอมมิวนิสต์เก่า "แบ่งแยกกันปกครอง" ท้าทายให้เห็น เมื่อจบกันไม่ลง ก็พังกันไปเลย

สังคมตื่นตระหนกตกใจกับคำว่า "ประเทศล้านนา" บรรดาคนกลางเริ่มหวาดผวา ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แต่เพื่อให้ได้ฉุกคิดว่า หากทำให้เกิดความรู้สึกไม่ยุติธรรมในหมู่ประชาชน จนทำให้อีกฝ่ายไม่ยอมรับ ถึงขั้นต้องขู่ว่าจะขอแยกประเทศ

ยกสุดท้าย ถอยเพื่อรุก คงเป็นคำขวัญปลุกใจ ส่วนการปฏิรูปเป็นเพียงข้อตกลงอำพราง เพื่อล่อให้ประชาชนยอมสงบ จนถึงบัดนี้ผ่านไปสี่เดือน ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เข้าใกล้หน้าแล้ง ต่างฝ่ายต่างไม่เหลือเสบียงกรัง เพราะรบกันมานาน สูญเสียไปด้วยกันทั้งสิ้น ประเทศชาติไม่ได้พัฒนาก้าวหน้า หยุดนิ่งถอยหลัง ผืนแผ่นดินไทยแตกระแหง แม้แต่นาข้าวยังยืนตายคาต้น ชาวนาไม่ได้เงิน ฝนฟ้าก็ไม่ยอมตก น้ำที่มีเก็บไว้จึงใช้ได้เพียงวันต่อวัน

หวังจะรอให้ "ส้มหล่น" เพื่อเก็บเอาเข้าบ้านไว้กินหน้าแล้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่?

ประชาชนอ้าปากหาวเรอ เก้อแล้วเก้ออีก ล่วงเข้าใกล้กลางเดือนมีนา อีกไม่ช้าก็สงกรานต์ แล้งนี้ที่ประเทศไทยแผ่นดินคงระอุ ไม่รู้ใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร แม้แต่ กกต. ยังบอกไม่ได้ว่าการเลือกตั้งครั้งที่แล้วผลเป็นอย่างไร ทุกองค์กรต่างสงวนท่าที ดีแต่ปกป้องตัวเอง

แล้วทิ้งประเทศไทยไว้เบื้องหลัง ให้เข้าใจในหลักธรรมว่า

"อัตตา หิ อัตตโน นาโถ" ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน

‘ชัยเกษม’ ยกนิทานเรื่อง "สุนัข-สุกร" เปรียบเทียบคำวินิจฉัยศาลรธน. แบบขำไม่ออก

เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 5 มี.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) นายชัยเกษม นิติสิริ ปฎิบัติหน้าที่ รมว.ยุติธรรม ในฐานะที่ปรึกษาศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กล่าวถึงกรณีกลุ่มนักวิชาการสยามประชาภิวัฒน์ระบุว่ารัฐบาลรักษาการสิ้นสภาพแล้ว หลังจากไม่สามารถเปิดประชุมสภาได้ภายใน 30 วันว่า โดยหลักการกฎหมายบอกแล้วว่าให้ปฏิบัติหน้าที่ไปจนกว่าที่จะมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้ามา จะต้องแปลความให้ยึดโยงหลักนี้ ส่วนกรอบระยะเวลา 30 วัน ที่จะต้องเปิดประชุมสภาให้ได้นั้นอยู่ในหมวดว่าด้วยสภา ไม่ได้อยู่ในหมวดของการเลือกตั้ง หรือเรื่องครม.พ้นหน้าที่ ถือเป็นคนละหมวดกัน เขากำหนดเวลา 30 วัน ขึ้นมาเพื่อป้องกันการดึงเวลา แต่กรณีที่เกิดขึ้นไม่ปกติ หากยังไม่แล้วเสร็จก็ต้องเลือกตั้ง ไปจนกว่าจะครบ แต่อาจจะสิ้นเปลืองงบประมาณจึงต้องเร่งให้เร็ว ทั้งนี้ ตามหลักการประเทศจะว่างจากรัฐบาลไม่ได้ หากไม่ให้อำนาจรัฐบาลแล้วจะให้ใครทำ ดังนั้น ในนามของรัฐบาล รัฐบาลยังคงอยู่จนกว่าจะมีใครบอก โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าอยู่ไม่ได้แล้ว

เมื่อถามว่า ยืนยันใช่หรือไม่ว่า รัฐบาลยังไม่สิ้นสภาพ นายชัยเกษม กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ นอกจากจะมีการไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าสิ้นสภาพ ตนก็ต้องฟัง แต่สิ่งที่ผ่านๆ มาหลายครั้ง ไม่เห็นด้วยกับศาลรัฐธรรมนูญ บางเรื่องข้อความชัดๆ ยังตีความไปอีกแบบหนึ่ง แต่กฎหมายบอกให้ฟังศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ยกตัวอย่าง บ้านตนเลี้ยงสุนัข ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า บ้านเขาไม่ได้เรียกสุนัข แต่เรียกสุกร ตนก็เลยต้องเรียกสุกรตามศาลรัฐธรรมนูญ ช่วยไม่ได้ กฎหมายเป็นอย่างนั้น

เมื่อถามว่า กังวลต่อบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากมีการยื่นให้ตีความสถานะรัฐบาล นายชัยเกษม กล่าวว่า กังวลต่อกระบวนการยุติธรรมทั้งปวง เพราะสิ่งที่ออกมาประชาชนจะต้องตัดสินว่า สิ่งนั้นขัดต่อความรู้สึก ขัดต่อกฎหมาย ขัดต่ออะไรหลายอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองหรือไม่ เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องช่วยกันระมัดระวัง หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ความขัดแย้งจะมากขึ้น เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับกระบวนการยุติธรรม