10 ส.ค.65 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐได้ลงนามในเอกสารการให้สัตยาบันรับรองในวันอังคาร (9 ส.ค.) ซึ่งทำให้ฟินแลนด์และสวีเดนคืบหน้าไปอีกขั้นในการเข้าเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)
ปธน.ไบเดนกล่าวที่ทำเนียบขาวว่า "ปธน.ปูตินคิดว่าจะสามารถทำลายความเป็นปึกแผ่นของเราได้" และระบุเสริมว่า "ความเป็นพันธมิตรของเรานั้นแน่นแฟ้นยิ่งกว่าที่เคย และจะยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นไปอีกเมื่อฟินแลนด์และสวีเดนมาเข้าร่วมกับเรา ซึ่งจะทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม"
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วุฒิสภาสหรัฐมีมติ 95 ต่อ 1 ให้ลงสัตยาบันรับรองฟินแลนด์และสวีเดนเข้าร่วมเป็นสมาชิกของนาโตซึ่งเป็นพันธมิตรทางทหารที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก
ทั้งนี้ ฟินแลนด์และสวีเดนมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดในการเป็นสมาชิกนาโตหลายประการ โดยข้อกำหนดบางประการครอบคลุมถึงการมีระบบการเมืองระบอบประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพ, ความเต็มใจที่จะแสดงความโปร่งใสทางเศรษฐกิจ และมีความสามารถในการสนับสนุนทางทหารแก่ภารกิจต่าง ๆ ของนาโต
ปธน.ไบเดนกล่าวก่อนการลงนามสัตยาบันว่า "ทั้งฟินแลนด์และสวีเดนจะผ่านข้อกำหนดของนาโตทุกประการ เราเชื่อมั่นเช่นนั้น"
อย่างไรก็ตาม หลังจากการลงนามของปธน.ไบเดน รัฐบาลของสาธารณรัฐเช็ก กรีซ ฮังการี โปรตุเกส สโลวาเกีย สเปน และตุรกี ก็ยังคงต้องลงนามในเอกสารสัตยาบันรับรอง "ผมขอเรียกร้องให้พันธมิตรที่เหลือดำเนินการลงนามสัตยาบันให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" ปธน.ไบเดนกล่าว โดยเน้นย้ำว่าต้องมีความคืบหน้าภายในสิ้นเดือนก.ย.นี้ และระบุเสริมว่า "สหรัฐมุ่งมั่นเต็มที่ต่อการเป็นพันธมิตรข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และเราจะเขียนอนาคตที่เราอยากเห็น"
บริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มิว สเปซ) ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีอวกาศในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนการบินและอวกาศ และผู้ให้บริการการสื่อสารผ่านดาวเทียม เดินหน้าพัฒนาดาวเทียมเพื่อการสื่อสารฝีมือคนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงวันที่ 9 - 11 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา มิว สเปซ ได้นำชิ้นส่วนดาวเทียมเข้าทดสอบประสิทธิภาพกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้บริการเพื่อการทดสอบวัตถุที่เตรียมนำส่งขึ้นชั้นบรรยากาศโดยได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล ถือได้ว่าการทดสอบครั้งนี้ คือการทดสอบชิ้นส่วนดาวเทียมสื่อสารดวงแรกที่พัฒนาและผลิตขึ้นโดยคนไทย และทำการทดสอบโดยองค์กรภาครัฐของไทย
มิว สเปซ ได้ก่อตั้งโรงงาน Factory 1 ขึ้นเพื่อดำเนินการสำหรับการออกแบบ พัฒนา และผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ตลอดจนการประกอบดาวเทียมขนาดเล็กทั้งดวงจนสมบูรณ์พร้อมใช้งาน โดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญภายในบริษัทฯ และชิ้นส่วนดาวเทียมที่ มิว สเปซ ได้นำมาทำการทดสอบกับ GISTDA คือ “Reaction Wheel” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ภายในดาวเทียมมีหน้าที่ช่วยในเรื่องการทรงตัวและการเคลื่อนที่ของดาวเทียมบนชั้นบรรยากาศซึ่งอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักทำให้ยากต่อการทรงตัว เข้าทำการทดสอบประสิทธิภาพ “Vibration Testing” หรือ “การทดสอบในสภาวะการสั่นสะเทือน” ขั้นตอนการทดสอบนี้ถือได้ว่าเป็นการทดสอบขั้นพื้นฐานที่สำคัญ เนื่องจากชิ้นส่วนอาจแตกและสร้างผลกระทบความเสียหายต่อเนื่องไปยังส่วนอื่น ๆ ภายในดาวเทียมได้ หากชิ้นส่วนนั้นไม่สามารถทนต่อสภาวะการสั่นสะเทือนที่ไม่อาจเลี่ยงได้จากการนำวัตถุขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ โดยผลการทดสอบครั้งนี้ได้ผ่านมาตรฐานและได้รับการรับรองจาก SSTL/Airbus และมาตรฐาน AS9100 D จาก GISTDA
ปัจจุบัน GISTDA พร้อมด้วยสถานที่ เครื่องมือ และผู้เชี่ยวชาญในการทดสอบที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องตรงความเป็นจริงตามหลักเกณฑ์มาตรฐานสากล ซึ่งการทดสอบนี้ ช่วยให้ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนดาวเทียมที่จะนำขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศของ มิว สเปซ มีคุณภาพและได้รับความน่าเชื่อถือจากลูกค้า อีกทั้งการเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการช่วยสร้างรากฐานความพร้อมให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ตลาดธุรกิจด้านเทคโนโลยีอวกาศระดับโลกได้
ทั้งนี้ บริษัท มิว สเปซ ผู้ผลิตและพัฒนาดาวเทียมสื่อสารโดยฝีมือคนไทย ได้พยายามผลักดันวงการเทคโนโลยีอวกาศอย่างเต็มกำลัง เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยในด้านต่าง ๆ รวมทั้งสร้างโอกาสและรายได้ให้กับคนในประเทศไทย และนอกจากนี้ มิว สเปซ ยังพร้อมด้วยกำลังการสนับสนุนจากเหล่านักลงทุนทั้งภายในประเทศและต่างชาติ อาทิ นักลงทุนชั้นนำอย่างบริษัท บี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ - อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าเอกชนของไทย รวมถึงบริษัท Majuven Fund พร้อมกลุ่มนักธุรกิจเอกชนต่าง ๆ เช่น ผู้บริหารจากมูลนิธิมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) รวมทั้งนักลงทุนรายอื่น ๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม โครงการต่าง ๆ ของมิว สเปซ กำลังเป็นที่น่าจับตามองของกลุ่มนักลงทุนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นการสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอวกาศในภูมิภาคนี้ได้อย่างยั่งยืน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ของจีน สิงคโปร์ และออสเตรเลีย เผยแพร่ผลสืบสวนโรคขั้นต้นที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (The New England Journal of Medicine) เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า มีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเลย์วีครั้งแรกในพื้นที่หลายจังหวัดของมณฑลซานตงและเหอหนาน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 แต่คณะนักวิทยาศาสตร์เพิ่งพบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เชื้อไวรัสเลย์วีมีแนวโน้มแพร่ระบาดจากสัตว์สู่คน คณะนักวิทยาศาสตร์ได้นำสัตว์ป่ามาตรวจหาเชื้อไวรัสเลย์วี และพบการติดเชื้อในหนูผีร้อยละ 25 จากทั้งหมด 262 ตัว ผลวิจัยในครั้งนี้ชี้ว่า หนูผี (shrew) อาจเป็นพาหะในการแพร่เชื้อตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังพบแพะร้อยละ 2 และสุนัขร้อยละ 5 ติดเชื้อไวรัสเลย์วีอีกด้วย
ผลวิจัยดังกล่าวยังพบว่า ไวรัสเลย์วีทำให้ผู้ป่วยมีอาการไข้สูง อ่อนเพลีย ไอ เบื่ออาหาร และปวดกล้ามเนื้อ โดยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเลย์วีในจีน 26 คนจากทั้งหมด 35 คน แต่ยังไม่พบผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสเลย์วี เพราะเชื้อไวรัสชนิดนี้ไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตหรือมีอาการรุนแรง และไม่ควรตื่นตระหนกต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ คณะนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า เชื้อไวรัสเลย์วีสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้หรือไม่ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและพนักงานโรงงาน จากการตรวจสอบประวัติผู้ป่วยติดเชื้อ 9 คนที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดสมาชิกครอบครัว 15 คนไม่พบว่าไม่มีใครติดเชื้อไวรัสเลย์วี แต่กลุ่มตัวอย่างดังกล่าวมีเป็นกลุ่มเล็กเกินกว่าที่จะสรุปว่าเชื้อไวรัสนี้ไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้.-สำนักข่าวไทย
10 ส.ค.65 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ของเวลส์ในสหราชอาณาจักร รู้สึกตกใจอย่างมากเมื่อพบคางคกอยู่ในกระเป๋าเดินทางหลังจากที่เธอเดินทางกลับมาจากประเทศไทย ซึ่งใช้เวลาเดินทางนานถึง 36 ชั่วโมงและเป็นระยะทางไกลกว่า 9,600 กิโลเมตร
ทั้งนี้ ฮันนาห์ ทูเรียน นักศึกษามหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ของเวลส์ กล่าวกับเว็บไซต์ข่าวเวลส์ออนไลน์ว่า เธอได้เดินทางไปเป็นอาสาสมัครที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในประเทศไทย และเพิ่งเดินทางกลับถึงบ้านในเวลส์ เธอหยิบข้าวของเครื่องใช้จำเป็นบางส่วนออกมาจากกระเป๋าเดินทาง แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติ เช้าวันต่อมา ในระหว่างที่เธอกำลังคุยโทรศัพท์กับแม่ ก็ได้ยินเสียงและเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวในกระเป๋าเดินทาง เธอจึงรีบปิดกระเป๋า วิ่งออกจากห้องนอน พร้อมกรีดร้องเสียงดัง
อย่างไรก็ตาม เพื่อนร่วมบ้านของเธอตกใจตื่นขึ้นมาและช่วยยกกระเป๋าเดินทางไปไว้ในห้องน้ำ เมื่อทั้งสองเปิดกระเป๋าก็พบว่ามีคางคกตัวหนึ่งกระโดดออกมา เธอรู้สึกกลัวมาก เพราะรู้มาว่าสัตว์บางชนิดในประเทศไทยเป็นสัตว์อันตราย และไม่แน่ใจว่าคางคกตัวนี้มีพิษหรือไม่
อย่างไรก็ดี ฮันนาห์ได้ตั้งชื่อคางคกตัวนี้ว่า ร็อบเบิร์ต (Robbert) ทั้งยังระบุว่า คางคกตัวนี้อยู่ในกระเป๋าเดินทางบนเที่ยวบิน 13 ชั่วโมง และติดอยู่ในนั้นเป็นเวลารวมทั้งหมด 35 ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่เธอเดินทางออกจากประเทศไทยมาถึงบ้านในนครคาร์ดิฟฟ์ของเวลส์
อย่างไรก็ดี หญิงสาวชื่อ ‘แจ็คกี้’ ซึ่งมีรสนิยมเลี้ยงและอุปการะสัตว์แปลก ๆ เช่น กิ้งก้าเบียร์ดดรากอน (bearded dragon) ตุ๊กแกลายเสือดาว และอิกัวนาแดง ได้อาสาเข้ามาช่วยเหลือฮันนาห์และนำคางคกตัวนี้ไปเลี้ยงต่อ โดยตั้งชื่อใหม่ให้มันว่า ‘ออซซี’ (Ozzy) แจ็คกี้ระบุว่า ออซซีเป็นคางคกสายพันธุ์เอเชียทั่วไป ตอนนี้มันมีสุขภาพแข็งแรงและกินอาหารได้เยอะมาก
วันที่ 10 สิงหาคม 2565 เพจเฟซบุ๊ก @Health online by หมอเฉพาะทางโรคทางเดินอาหารและตับ ได้โพสต์เตือนอันตรายจากการรับประทานเมนูไอติมไข่แข็งซึ่งระบุข้อความว่า คนไข้คนหนึ่งมาโรงพยาบาลด้วย ไข้สูง ปวดเกร็งท้องมาก คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลวหลายสิบครั้ง ฉีดยาแก้ปวดท้อง อาการไม่ทุเลา ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์พบลำไส้อักเสบและบวมมาก ต้องได้ยาฆ่าเชื้อทางหลอดเลือด สรุปตรวจเจอเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Salmonella ลองถามประวัติคนไข้ย้อนหลังว่ามีไปทานอะไรมาบ้างในช่วงนี้ คนไข้บอกว่าทานไอติมไข่แข็ง (ไข่แดงดิบๆ) คนที่ไปทานด้วยกันก็มีอาการคล้ายกัน และต้องนอนที่โรงพยาบาลเหมือนกัน
ไอติมไข่แข็ง หลายคนอาจจะเคยทาน เป็นเมนูฮิตอย่างหนึ่ง มีมานานแล้ว ใช้ไข่แดงตอกลงไปในไอติม ทิ้งไว้จนไข่แดงแข็งอยู่ในเนื้อไอติม มีรสชาติมันๆ นัวๆ เข้มข้น บ้างร้านเมนูนี้ถือเป็นเมนู signature ของร้านเลยด้วยซ้ำ
การทานไข่ดิบ มีความเสี่ยงทำให้ติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella ได้ บางคนอาจจะสงสัยว่าที่ญี่ปุ่น คนเค้าก็นิยมทานไข่ดิบกัน แต่ทำไมไม่ค่อยติดเชื้อมากนัก กระบวนการทำฟาร์มไข่ไก่ของเค้า มีการควบคุมมาตรฐานความสะอาดอย่างดี ในบ้านเราการทานไข่ที่ไม่ได้มาจากฟาร์มไข่ไก่ที่ควบคุมคุณภาพ และทานดิบๆ โดยไม่ผ่านความร้อน อาจเป็นสาเหตุทำให้ติดเชื้อได้ ถ้าบางคนทานยาลดกรดอยู่ด้วย ทำให้กระเพาะไม่มีกรดมาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่กินลงไป ยิ่งทำให้ติดเชื้อได้ง่ายมากขึ้น
หลังทานเชื้อตัวนี้เข้าไป ส่วนใหญ่จะมีอาการภายใน 6 ชม. ถึง 3 วัน และมักจะมีอาการนาน 4-7 วัน บางคนมีอาการรุนแรง เชื้อจะเจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อน และในอาหารที่ไม่ได้แช่ตู้เย็น เชื้อตัวนี้ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า มีการคาดการณ์ว่าในหนึ่งปีมีผู้ติดเชื้อ Salmonella ประมาณ 94 ล้านคนทั่วโลก ถือเป็นเชื้อที่พบบ่อยอันดับต้นๆ ที่ทำให้ท้องเสียถ่ายเหลว
เราป้องกันยังไงได้บ้าง ?
- หลีกเลี่ยงทานไข่ดิบ แต่ถ้าชอบทานจริงๆ พยายามเลือกทานไข่ที่มาจากแหล่งที่ได้มาตรฐานและร้านที่สะอาด
- ล้างมือบ่อยๆ
- อย่าเผลอเอามือจับปากเป็นนิสัย เชื้ออาจปนเปื้อนเข้าปากได้ง่าย
- อย่าทิ้งอาหารไว้นอกตู้เย็นเป็นเวลานาน
- แยกอาหารดิบและอาหารสุกไว้คนละที่ ป้องกันการปนเปื้อน
- ล้างมือหลังเล่นกับสัตว์เลี้ยง
- หลีกเลี่ยงการทานยาลดกรดโดยไม่จำเป็น ยาลดกรดมีผลให้กรดในกระเพาะลดน้อยลง ทำให้กระเพาะไม่มีกรดในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012