นายกฯ เผยสหรัฐฯ ชื่นชมไทยแก้ปัญหาค้ามนุษย์ ประมงผิดกฎหมาย ปัญหาผู้ลี้ภัย ได้ดีตามลำดับ พร้อมย้ำจุดยืนไม่ว่าใครอยู่แผ่นดินไทยต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ยึดหลักสิทธิมนุษยชน ปัจจุบันให้ที่พักพิงหนีภัยสงครามอยู่ที่ 1 แสนคน ผลักดันร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย
เมื่อวันที่ 23 ก.ย.59 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ที่ได้บันทึกเทประหว่างปฏิบัติภารกิจในการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงบทบาทไทยในการแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยว่า เราได้ทำทุกอย่างตามพันธะสัญญาโลก คนกว่า 65 ล้านคน ต้องพลัดถิ่น ในจำนวนนี้ กว่า 21 ล้านคน เป็นการโยกย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ ไม่สมัครใจ เช่น ภัยสงคราม ความยากจน อะไรต่างๆ เป็นภาระหนักของประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศแรกรับหรือประเทศกลางทาง ไทยอยู่ในฐานะประเทศกลางทาง อพยพผ่านเราไปที่อื่น เราตกอยู่ในสภาวะนั้นมากว่า 40 ปีมาแล้ว คนไร้สัญชาติกว่าล้านคนวันนี้กลายเป็นคนไทยไปบ้างแล้ว ปัจจุบันได้ให้ที่พักพิงแก่ผู้หนีภัยการสู้รบจากชายแดนนอกบ้านเราแล้วประมาณ 1 แสนคน ลดลงจากเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่มีอยู่เกือบ 5 ล้านคน ไม่นับรวมผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติอีกกว่า 3 ล้านคน รวมถึงแรงงานต่างด้าว ทั้งนี้ถือเป็นภาระถ้าหากว่าต้องดูแลนานๆ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า วันนี้เราต้องจัดงบประมาณของประเทศประมาณ 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ที่สำคัญเรื่องของกฎหมายต้องปรับปรุงบังคับใช้กฎหมาย อย่างการออกสูติบัตรรับรองเด็กเกิดใหม่ในพื้นที่พักพิง ขจัดปัญหาบุคคลไร้รัฐ ไร้สัญชาติ และกำลังพิจารณา พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ในเวทีโลกเขาให้ความสำคัญอยู่ เพื่อไม่ส่งบุคคลกลับไปสู่อันตราย ส่วนพวกที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย จะส่งกลับเราดูต้นทาง มีการพิสูจน์สัญชาติ เพื่อไม่ให้มีปัญหาขัดแย้ง จัดทำระบบคัดกรองให้เป็นมาตรฐานสากล สำคัญอย่าแยกครอบครัวเขา เพื่อลดความเสี่ยงของการตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ เดิมถ้าเป็นของประเทศไหน ต้องส่งกลับไปเลย แต่คดีมันยังไม่จบก็ยุติไม่ได้ ก็อนุญาตให้เขาอยู่ แล้วก็สามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมายจนกว่าคดีจะสิ้นสุด โดยให้มีการขยายเวลาไปเป็น 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี เพื่อให้ยุติคดีโดยเร็ว
"จุดยืนของเรา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามอยู่ในแผ่นดินไทย เราต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ต้องดูแลเขาด้วยหลักสิทธิมนุษยชน ต้องแก้ปัญหาที่ต้นทาง ก็คือประเทศที่มีความยากลำบาก มีสงคราม ประชาชนเขาเดือดร้อน เขาต้องอพยพไงนั่นล่ะคือประเทศต้นทาง เราจะแก้เขาอย่างไร ต้องแก้ด้วยการพัฒนายุติความขัดแย้ง สร้างพื้นที่ปลอดภัย สร้างพื้นที่การพัฒนาให้เขาอยู่ให้เขาดูแลกันเองให้ได้ โดยประเทศภายนอกก็ส่งเงินทุนกองทุนไปให้เขา ให้เขาดูแลตัวเองให้ได้แล้วกัน และไทยฐานะประเทศปานกลางต้องดูว่าเป็นภาระมากเกินไปหรือเปล่า ต้องมีระบบคัดกรอง ป้องกันค้ามนุษย์ และใช้ไทยเป็นที่สะสมพักคอย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้สหรัฐฯ โดย นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ขอบคุณประเทศไทยใน 3 เรื่อง คือ 1.มาตรการดูแลผู้ลี้ภัยไม่ปกติและการเข้าร่วมสุดยอดระดับผู้นำด้านผู้ลี้ภัยของประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2.การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และประมง และ 3.ประเทศไทยได้ลงสัตยาบันในสัญญาปารีสในการลดโลกร้อน ซึ่ง นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขอบคุณผ่าน นายแดเนียน รัสเซล ให้ส่งข่าวถึงตนขอชื่นชมในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ของไทย รวมไปถึงเรื่องการค้ามนุษย์ด้วย ที่เราแก้ไขได้ดี และในเรื่องของ IUU มีการพัฒนาตามลำดับ.
ปูโอดนั่งเฉยๆโดน 15 คดีแล้ว ซัด ม.44 ให้อำนาจกรมบังคับคดี หวั่น ทำชี้นำคดี-ไม่เป็นธรรม ข้องใจโดน ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการสอบคนเดียว ทำไมต้องออกคำสั่งคุ้มครอง แนะ หันไปแก้ปัญหาความเดือดร้อนประชาชนก่อน
วันที่ 22 กันยายน ที่ตลาดเก่านางเลิ้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคดีการบริหารจัดการน้ำว่า เป็นข้อกล่าวหาที่แจ้งโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามกันทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการส่งสำนวนมา แต่ตนไม่เข้าใจเพราะการบริหารจัดการน้ำตอนตนที่เข้ามา น้ำได้ท่วมอยู่แล้ว ซึ่งมาตั้งแต่รัฐบาลอื่นจึงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงโดนอยู่คนเดียว จากกรณีนี้ตนไม่ทราบว่า เกิดอะไรขึ้น ก็หวังว่า ป.ป.ช. จะให้ความเป็นธรรม ทุกวันนี้คดีที่เจออยู่นั่งอยู่ดีๆ ก็ต้องมารับเรื่องหมด ตอนนี้มีถึง 15 คดีแล้ว จึงเป็นเหตุผลให้ตนส่งทนายคัดค้านต่อ ป.ป.ช. แต่ก็ได้รับการปฏิเสธร้องขอทุกครั้ง จึงจากร้องผ่านทางสื่อมวลชนและสาธารณชนด้วย อยากให้ปฏิบัติเท่าเทียมกับคน อื่นๆ เพราะจะเห็นได้ว่า มาตรฐานที่ทำกับคดีตนคดีมาเร็วมาก รับทุกเรื่อง พิจารณาทุกเรื่อง แต่ในขณะเดียวกัน คดีของผู้อื่นไม่คืบหน้าเลย ทั้งนี้ ตนพร้อมจะชี้แจงทุกคดี แต่ต้องอยู่ด้วยเหตุและผล ถ้าการที่ตั้งข้อกล่าวหาโดยที่ไม่คำนึงถึงเหตุผล ใครอยากจะใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองก็เอามาใช้มันก็ไม่มีวันจบทำให้สังคมเกิดข้อสงสัย จริงๆ แล้วหน่วยงานทุกขององค์กรที่ทำในเรื่องของกระบวนการเหล่านี้ควรจะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน เชื่อว่า ทุกคนยอมรับ แต่อย่างที่เรียนข้างต้น ตนได้ร้องมาหลายครั้งแล้วก็ไม่ได้ความเป็นธรรมตั้งแต่ต้น ไม่รู้ว่า คดีที่เหลือจะเป็นเช่นเดียวกับคดีที่ตนได้รับมาหรือไม่ ก็หวังว่าจะไม่เป็นแบบนั้น
คุยกับ"เจ๊ยุ" นักข่าวอาวุโสประจำทำเนียบฯ คนคุ้นเคย ที่ร้านกาแฟ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ส่วนในเรื่องของมาตรา 44 คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 56/2559 ให้กรมบังคับคดีมีอำนาจหน้าที่ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ในการเรียกเก็บค่าเสียหายนั้น เท่าที่ตนทราบกรมบังคับคดี ต้องได้รับคำสั่งจากศาลปกครองก่อน ซึ่งการใช้มาตรา 44 สิ่งแรกที่มอง คือ ผลของคดีไม่ว่าจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้ ฉะนั้นการออกคำสั่งมาตรา 44 มอบอำนาจให้กรมบังคับคดีก็เหมือนเป็นการชี้นำคดี ซึ่งต้องขอร้องเพราะมันมีผลกับคดีอื่นๆ ที่ดำเนินการอยู่ในชั้นศาล ถือเป็นความไม่ยุติธรรมที่ได้รับ
“ถ้ามั่นใจว่ากระบวนการทั้งหมดมีความโปร่งใสและเป็นธรรม ทำไมต้องใช้มาตรา 44 ด้วย แต่กระบวนสอบสวนขั้นต้นในการปกป้องข้าราชการ ถ้ามั่นใจว่า ข้าราชการทำถูกก็ไม่ต้องกลัวการถูกฟ้องร้อง แต่วันนี้ใช้ มาตรา 44 กันถูกฟ้องร้องใครจะทำอะไรก็ได้ แล้วอย่างนี้ ขนาดอดีตนายกฯ ยังปกป้องและหาความยุติธรรมให้กับตัวเองไม่ได้ แล้วประชาชนธรรมดาปกติจะเรียกหาความยุติธรรมได้อย่างไร” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
อดีตนายกฯ กล่าวว่า ถึงวันนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องตอบว่าทำไมถึงไม่ใช้อำนาจตามปกติ ซึ่งเราก็ได้ท้วงไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าการพิจารณาในเรื่องของความเสียหายตามหลักสากลก็ต้องไปร้องที่ศาลแพ่งและรัฐบาลก็ถือว่าเป็นคู่กรณีกับเรา ซึ่งก็ต้องร้องศาลให้เป็นผู้ตัดสินว่า ฝ่ายตนหรือรัฐบาลถูกหรือผิดกันแน่ ที่จะมาเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลกลับไม่เลือกใช้วิธีการฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรม เพียงเพราะไม่ต้องการเสียค่าธรรมเนียมศาล และเพียงเพราะเพื่อที่การร่นเวลาให้ง่ายขึ้น ก็ใช้คำสั่งทางการปกครองกับตน อย่างนี้เท่ากับรัฐบาลเป็นคู่กรณีกับตนโดยตรง และบวกกับการใช้มาตรา 44 ในการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ไปตั้งแต่การสอบสวน จนถึงการไปมอบอำนาจให้กับกรมบังคับคดี ถือเป็นการชี้แจงหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องตั้งคำถามกลับ
“เวลานี้อยากให้รัฐบาลมองภาพรวมของประเทศ ความเดือดร้อนของประเทศเพราะวันนี้จริงๆ แล้วประชาชนรอในการที่จะให้เศรษฐกิจ ต่างๆ กลับคืนมา ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อยากให้มาใส่เรื่องของตนเป็นหลักจนลืมเรื่องอื่นๆ เพราะเรื่องจริงๆ แล้วมีกระบวนการขั้นตอนอยู่แล้ว ไม่อยากให้เร่งรัดโดยใช้วิธีแบบนี้ สุดท้ายจะเป็นคำถามที่ประชาชนตั้งข้อสังเกต” อดีตนายกฯ กล่าว...
“บุญทรง” ลั่น จะเอา "พล.อ.ประยุทธ์" มาขึ้นศาลให้ได้ ชี้พิรุธ รัฐใช้มาตรา 44 เร่งคดีจำนำข้าว หวังป้องคนลงนามหนังสือบังคับทางปกครอง เผย “ยิ่งลักษณ์” ให้กำลังใจต่อสู้ แสดงความบริสุทธิ์ให้ถึงที่สุด บอกมั่นใจศาลไทยไม่ร้ององค์กรระหว่างประเทศ
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี รมว.พาณิชย์ และปลัดกระทรวงพาณิชย์ ลงนามในหนังสือบังคับทางปกครอง เรียกร้องค่าเสียหายจากการขายข้าวแบบจีทูจี ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการ หากได้รับแล้วจะให้ฝ่ายทนายศึกษารายละเอียด และดูเงื่อนไขต่างๆ ว่าเป็นอย่างไร โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการอ่าน 2-3 วัน
"สิ่งที่เตรียมการไว้คือต้องปกป้องสิทธิของเรา เพราะตามกฎหมายสามารถยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อคัดค้าน อุทธรณ์คำสั่งได้ หลังจากนั้นจะเตรียมการไปยื่นศาลปกครอง และหากในเอกสารคำสั่งระบุว่าให้อุทธรณ์คำสั่งไปที่กระทรวงพาณิชย์ ก็คงจะอุทธรณ์คำสั่งไปที่กระทรวงพาณิชย์อีกทางหนึ่ง" นายบุญทรง กล่าว
เมื่อถามถึงการต่อสู้ทางคดีนอกจากเรื่องที่รัฐใช้มาตรา 44 เร่งรัดขั้นตอน และประเด็นที่นายกรัฐมนตรี ไม่ลงนามคำสั่งทางปกครองเอง จะมีประเด็นใดต่อสู้อีกหรือไม่ นายบุญทรง กล่าวว่า เรามีประเด็นในการต่อสู้อีก แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นหนังสืออย่างเป็นทางการ จึงยังไม่อยากจะสรุปไปก่อน แต่ในภาพใหญ่ที่มองคือ เหตุที่ใช้มาตรา 44 และอ้างว่า ไม่ใช่การรวบรัด แต่เป็นการเตรียมการเอาไว้ก่อนนั้น ตนคิดว่าการเตรียมการไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 ด้วยซ้ำ เพราะกรณีที่ศาลฎีกากำลังพิจารณา เมื่อพิพากษาให้เราเป็นฝ่ายผิดจริง กระบวนการก็จะไปสู่กรมบังคับคดีอยู่ดี ไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องใช้มาตรา 44 ในขณะนี้
“ผมเข้าใจไปเองหรือเปล่าไม่รู้ ว่าการใช้มาตรา 44 ครั้งนี้ เพื่อจะมาปกป้องคนที่ลงนามมากกว่าหรือไม่ ผมเดาว่าหลายท่านคงคิดละเอียดแล้วว่า สิ่งที่จะดำเนินการต่างๆ จะทำได้หรือไม่ มันมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายมากอยู่แล้ว ถ้าไม่เช่นนั้นเอกสารในการคำนวณเรียกความเสียหายจากกระทรวงการคลัง เท่าที่ทราบก็ดำเนินการเรียบร้อยมานานพอสมควร แต่ไม่มีการออกคำสั่งใดๆ อาจเป็นเพราะยังไม่มีมาตรา 44 หรือไม่ พอมีก็ทำเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งถือเป็นข้อพิรุธ และข้อสังเกตที่คิดว่าน่าจะมีมูลว่า การออกมาตรา 44 เพื่อเอามานิรโทษกรรมไว้ก่อน ซึ่งการใช้มาตรา 44 ตามการอธิบายของท่าน มันเป็นจิตวิทยาหนึ่ง คือคนที่เซ็นชื่อก็สบายใจมากขึ้น ผมเข้าใจอย่างนั้น ถึงจะอธิบายอ้อมไปอ้อมมาอย่างไรก็แล้วแต่ ผมคิดว่าคนที่เขาดูอยู่ เขาคงเห็นภาพ ถ้าไม่มีมาตรา 44 ออกมาก็คงไม่มีใครกล้าเซ็น” นายบุญทรง กล่าว
เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บ้างหรือไม่ นายบุญทรง กล่าวว่า อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โทรมาให้กำลังใจ และได้แนะนำให้ตนต่อสู้ อย่าท้อถอย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ มีความมั่นใจว่าสิ่งที่ทำไปไม่มีอะไรเสียหาย ส่วนฝ่ายผู้ออกคำสั่ง ทางปกครองจะมองเป็นอย่างอื่นไปก็คงต้องไปพิสูจน์กัน
"ตอนนี้ผมก็นอนหลับสบายตลอด คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ส่วนข้าราชการที่โดนคดีด้วยกันทุกคนก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ทุกคนมั่นใจในความบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรต้องเกรงกลัว เอาข้อเท็จจริงมาว่ากัน ยืนยันจะสู้ให้ถึงที่สุด ต้องเอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาขึ้นในชั้นศาลให้ได้" นายบุญทรง กล่าว เมื่อถามว่าจะมีการยื่นร้องขอความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศบ้างหรือไม่ นายบุญทรง กล่าวว่า ยังไม่ได้มองไปขนาดนั้น ในเบื้องต้นกระบวนการศาลไทยน่าจะเพียงพอ.
พายุฝนยังถล่มหนักหลายภาค ที่ จ.กระบี่ ฝนตกต่อเนื่องชาวบ้าน ต.นาเหนือ อ.อ่าวลึก พากันจมน้ำอีก 2 หมู่บ้าน เดือดร้อนกว่า 30 ครัวเรือน ขณะที่ทุ่งบางระกำ จ.พิษณุโลก น้ำเหนือทะลักท่วมนาข้าวจมอยู่ใต้บาดาลนับหมื่นไร่ ส่วน มวลน้ำแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ทะลักท่วมในตลาด อ.ลาดยาว สถานที่ราชการ บ้านเรือน ร้านค้าจมน้ำ หนัก จ.อ่างทอง น้ำในคลองโผงเผง ไหลเข้าท่วมพื้นที่ อ.ป่าโมก ชาวบ้านขนข้าวของหนีน้ำกันให้วุ่น ขณะที่ปลากระชัง ที่ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา พากันตายเกลื่อนนับแสนตัวเนื่องจากน้ำขุ่นแดงทำให้ปลาขาดออกซิเจน ส่วนเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรเตรียมพร้อมรับมือน้ำทะลักท่วมโบราณสถานมรดกโลกเมืองกรุงเก่าเต็มพิกัดหลังแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ส่วนที่ จ.สมุทรปราการ ฝนถล่มเช้ามืดส่งผลน้ำท่วมขังบนถนนศรีนครินทร์ ทำเอารถราติดขัดยาวเหยียด
สถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ยังน่าเป็นห่วง โดยผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 23 ก.ย.ว่า ที่ จ.กระบี่ ฝนที่ตกลงมาต่อเนื่อง ทำให้น้ำป่าทะลักท่วมหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ ต.นาเหนือ อ.อ่าวลึก ถูกน้ำท่วมหนัก 2 หมู่บ้าน ชาวบ้านเดือดร้อนกว่า 30 ครอบครัว จ.พังงา หลังฝนหยุดตกทำให้น้ำที่ท่วมขังในพื้นที่ อ.ตะกั่วป่า ลดลงเหลือพื้นที่ราบลุ่มและสวนปาล์ม กับสวนยางพาราบางแห่ง ที่ยังถูกน้ำท่วมขังสูงชาวบ้านต่างพากันเฝ้าระวังสถานการณ์ฝนตกอย่างใกล้ชิด เพราะเกรงอาจจะมีพายุเข้ามาอีก
ที่ จ.กำแพงเพชร น้ำป่าใน อ.ปางศิลาทอง และ อ.คลองลาน ไหลเข้าท่วมพื้นที่ ต.วังไทร อ.คลองขลุง บ้านเรือนเรือกสวนไร่นาจมอยู่ใต้บาดาลเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะนาข้าวถูกน้ำท่วมเสียหายยับ ถนนสายวังไทร-บ้านไร่ บางช่วงถูกน้ำท่วมสูง 50 ซม. รถยนต์สัญจรไม่ได้ ชาวบ้านถูกตัดขาดจากโลกภายนอก จ.พิษณุโลก แม่น้ำยมล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่บ้านชุมแสงสงคราม หมู่ 2 ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ บ้านเรือนประชาชนกว่า 100 หลังคาเรือนและพื้นที่ทางการเกษตรกว่า 10,000 ไร่ จมอยู่ใต้น้ำ ส่วนที่บ้านแม่ระหัน หมู่ 10 ต.บ้านกร่าง อ.เมืองพิษณุโลก ก็ยังมีน้ำท่วมขัง ชาวบ้านร่วม 30 หลังคาเรือน ต้องสัญจรทางเรือเท่านั้น ส่วนพื้นที่ทางการเกษตรถูกน้ำท่วมกว่า 10,000 ไร่ นาข้าวเสียหายกว่า 3,000 ไร่
ขณะที่ จ.นครสวรรค์ มวลน้ำจากแม่วงก์ อ.แม่วงก์ จ.นครสวรรค์ บางส่วนหลากล้นคลองสาธารณะ ทะลักเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนย่านเศรษฐกิจ อ.ลาดยาว ช่วงเช้ามืดวันเดียวกัน สถานที่ราชการ ตลาด ร้านค้า บ้านเรือน ถูกน้ำท่วมหนัก ระดับน้ำบางจุดสูง 10-15 ซม.และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ อ.ลาดยาว น้ำทะลักเข้าท่วมในเขตเทศบาลตำบลลาดยาว ชาวบ้านพากันขนข้าวของหนีน้ำกันให้วุ่น ถนนทุกสายในตลาดถูกน้ำท่วมรถเล็กสัญจรไปมาลำบาก พากันเดือดร้อนทั่วหน้า
จ.อ่างทอง น้ำในคลองโผงเผง อ.ป่าโมก เอ่อล้นเข้าท่วมในพื้นที่ ต.โผงเผง 3 หมู่บ้าน ประกอบด้วย หมู่ 4 หมู่ 5 และหมู่ 6 ชาวบ้าน 20 ครัวเรือนขนข้าวของหนีน้ำกันโกลาหล เช่นเดียวกับ ต.บางเสด็จ มีน้ำท่วมเป็นวงกว้างเช่นกัน ขณะที่ผู้บริหารเทศบาลเมืองอ่างทอง เร่งติดตั้งท่อสูบน้ำขนาดใหญ่ที่บริเวณพนังเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อสูบน้ำฝนที่ตกลงมาในช่วงนี้ พร้อมอุดท่อระบายน้ำทิ้งบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ป้องกันน้ำซึมเข้าท่วมร้านค้าย่านธุรกิจ ส่วน จ.สิงห์บุรี ฝนที่ตกลงมาต่อเนื่อง ส่งผลให้น้ำท่วมนาข้าวของเกษตรกรในพื้นที่บ้านบางโฉมศรี ต.ชีน้ำร้าย อ.อินทร์บุรี เป็นวงกว้าง ส่วนพื้นที่ ต.ท่างาม ต.ทับยา ต.อินทร์บุรี อ.อินทร์บุรี เกิดดินริมตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาทรุดตัวหลายจุด ทำเอาชาวบ้านผวาอย่างหนัก
ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำน้อยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าวัดไชยวัฒนาราม ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดโบราณสถานสำคัญและเป็นมรดกโลก ระดับน้ำเหลืออีก 1.10 เมตร จะล้นตลิ่งเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรเตรียมการป้องกันน้ำท่วมโบราณสถานเต็มพิกัด ส่วนปลากระชังในแม่น้ำน้อย หมู่ 3 ต.ทางช้าง อ.บางบาล พากันตายเกลื่อนนับแสนตัวเนื่องจากน้ำขุ่นเป็นสีแดง ทำให้ปลาขาดออกซิเจนช็อกตาย จังหวัดแจ้งเตือนประชาชนให้เก็บของขึ้นที่สูงที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งพื้นที่เกษตรและประมง ให้เร่งเก็บเกี่ยวผลผลิต เพราะระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง
ขณะที่นายฎรงค์กร สมตน ผอ.สำนักงานชลประทานที่ 12 ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการ 7 จังหวัด ประกอบด้วย อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา เนื่องจากปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ ที่สถานีวัดน้ำ C.2 เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับมีปริมาณฝนตกกระจายตัวในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น
จ.ระยอง ฝนตกตลอดคืนถึงเช้าวันนี้ทำให้น้ำป่าจากเขางวงช้างไหลเข้าท่วมพื้นที่ ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย บ้านเรือนเรือกสวนไร่นาจมอยู่ใต้บาดาล 4 หมู่บ้าน ชาวบ้านพากันเดือดร้อนทั่วหน้า จ.ชลบุรี ฝนตกหนักทั้งคืนเช่นกันทำให้น้ำท่วมสูงเกือบถึงหัวเข่า บนถนนศุขประยูร สายชลบุรี-พนัสนิคม ตั้งแต่หน้าวิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อีเทค) ต.หนองตำลึง อ.พานทอง ถึงใต้ทางต่างระดับรถไฟ ต.ดอนหัวฬ่อ กับทางแยกเลี้ยวขวาขึ้นถนนมอเตอร์เวย์ และทางมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองชลบุรี เป็นถนนสายเศรษฐกิจ มีรถบรรทุกสินค้าเข้าออกนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ทำให้การจราจรติดขัดอย่างมาก ระยะทางยาวกว่า 3 กม.
ส่วน จ.สมุทรปราการ ฝนที่ถล่มหนักตั้งแต่เช้ามืด จนมีน้ำท่วมขังบนถนนสายหลักหลายเส้นทาง โดยเฉพาะถนนศรีนครินทร์ ถูกน้ำท่วมตั้งแต่แยกเทพารักษ์ไปถึงหน้าห้างแม็คโคร ระดับน้ำสูงกว่า 20 ซม. รถเล็กสัญจรลำบาก ส่วนบริเวณช่วงเชิงสะพานข้ามแยกลาซาล เขตติดต่อกรุงเทพฯ มีน้ำท่วมขังสูงกว่า 30 ซม. ถนนสุขุมวิท ช่วงแนวก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวและซอยแบริ่ง ต.สำโรงเหนือ น้ำท่วมผิวถนน 20 ซม. ทำให้รถติดขัดอย่างหนักต่อเนื่องกันหลายกิโลเมตร จนถึงถนนเทพารักษ์ และบนด่วนกาญจนาภิเษก ตำรวจจราจรต้องนำป้ายติดตั้งให้หลีกเลี่ยง ถนนศรีนครินทร์ กระทั่งสายการจราจรจึงคลี่คลาย
กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งเตือนช่วงนี้ร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่นกับมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ส่วนวันที่ 25-29 ก.ย. ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออก เฉียงเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้มีปริมาณฝนลดลง สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ยังคงมีกำลังปานกลางทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกตลอด
แฟนเพจเฟซบุ๊กชื่อดังหลายๆ เพจแห่แชร์กระหน่ำทั่วโลกออนไลน์ ภาพหญิงสาวหน้าตาดี หุ่นเซ็กซี่ สวมเสื้อกล้ามสีเทา ยืนขายพวงมาลัยอยู่ข้างถนนใจกลางเมืองกรุง พร้อมระบุข้อความว่า "ช่วงนี้ เศรษฐกิจไม่ดี ต้องหารายได้พิเศษ ช่วยหนูซื้อหน่อยนะคะ หนูอยากกลับบ้าน” ซึ่งหลังจากที่ภาพนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตหลายคนแห่กดไลค์ จนหลายคนเริ่มตามหาว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใคร อยากจะไปช่วยอุดหนุน ขณะที่บางคนก็ตั้งข้อสงสัยว่าใช่แม่ค้าขายพวงมาลัยจริงหรือไม่?
ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ก.ย. หญิงสาวในภาพที่ยืนขายพวงมาลัยก็ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงข้อเท็จจริงว่า เธอไม่ใช่แม่ค้าขายพวงมาลัย แต่แค่ช่วยเด็กเหมาซื้อพวงมาลัย และพวงมาลัยเยอะเกินไปจึงนำมาขายต่อ ระบุข้อความว่า
"สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้จะมาชี้แจงนะคะ เรื่องไปขายพวงมาลัย บางคนด่า บางคนชม คือจะบอกว่า ไม่ได้สร้างภาพให้ดูดีหรือกะจะขายครีมอะไร เพราะทุกคนจะเห็นได้ว่า เราไม่ได้ขายสินค้าอะไรเป็นกิจลักษณะขนาดนั้น เรื่องของเรื่องคือ มีเด็กน้อยมาใช้ช่วยซื้อพวงมาลัย บอกว่าอยากกลับบ้าน เราเป็นคนชอบสงสารคน เราเลยเหมาพวงมาลัยทั้งหมด พอรู้ตัวอีกทีคือ ไม่รู้จะเอาพวงมาลัยไปไว้ที่ไหน มันเยอะมาก แค่เอาไปขายต่อผิดด้วยเหรอ? เสพข่าวอย่างมีสตินะคะทุกคน”
วันที่ 22 กันยายน กรุงเทพมหานคร แซงหน้าลอนดอน ประเทศอังกฤษ ขึ้นเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมมากที่สุดในโลก ในปีนี้ จากการจัดอันดับของบริษัทมาสเตอร์การ์ด เปิดเผยในวันเดียวกัน
กรุงเทพมหานคร ที่รู้จักกันในนาม “ซิตี้ออฟแองเจิล” ติดอันดับ 1 ในการจัดอันดับ 132 ประเทศทั่วโลก สามารถเอาชนะกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเยือนมากที่สุดในโลกประจำปี 2559 ในดัชนีเมืองจุดหมายปลายทางโลก ของบริษัทมาสเตอร์การ์ด บริษัทผู้ให้บริการด้านการเงินชื่อดังของสหรัฐ
ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า การท่องเที่ยวไทยนั้นเป็นหนึ่งความสำเร็จที่หาได้ยากสำหรับประเทศไทย ประเทศซึ่งตลาดใหญ่อันดับสองของภูมิภาคอาเซียน ต้องพบกับปัญหาความอ่อนแอในความมั่นใจของผู้บริโภคและปัญหาการส่งออกหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 แม้แต่เหตุระเบิดหลายจุดในตอนใต้ของไทยเมื่อเดือนที่ผ่านมา เหตุการณ์ซึ่งตำรวจอ้างว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนอยู่เบื้องหลัง ก็ส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวของไทยเพียงเล็กน้อย
ยู่หวา เฮดริก-หว่อง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทมาสเตอร์การ์ด ระบุว่า การก้าวขึ้นมาอยู่ในหัวตารางของกรุงเทพฯนั้นไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่กรุงเทพฯอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่จะเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆของโลกมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยเฉพาะเรื่องความคุ้มค่ากับเงิน โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศรายได้สูง
ทั้งนี้ไทยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเยือนไทยในปีนี้เป็นสถิติที่ 33 ล้านคน ผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่กรุงเทพฯ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเยือนในปีนี้จำนวน 21.47 ล้านคน นำหน้ากรุงลอนดอน ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเยือนจำนวน 19.88 ล้านคน
เจมส์ ดอนเนลลี นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษวัย 31 ปี ที่กำลังเดินทางจากไทยไปยังเวียดนามระบุว่า “ประชากรที่นี่ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่ยอดเยี่ยมที่จะอยู่ในระยะยาว อาหารก็ไม่เป็นสองรองใคร”
มาสเตอร์การ์ด ระบุด้วยว่า เมืองโอซาก้า ของญี่ปุ่นเป็นเมืองที่ขยับอันดันจำนวนนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและเกาหลีใต้ได้เป็นจำนวนมาก ขณะที่กรุงลอนดอน อยู่ในอันดับที่ 1 ของการจัดอันดับเมื่อปี 2558 อย่างไรก็ตามมาสเตอร์การ์ดไม่ได้ระบุสาเหตุของการตกมาอยู่ในอันดับสองในปีนี้ ขณะที่กรุงเทพฯและลอนดอนนั้น ติดอยู่ในอันดับ 1 และ 2 มาโดยตลอดนับตั้งแต่มีการจัดอับดับมา