ข่าว
นักวิจัยพัฒนา'แบตเตอรี่น้ำเกลือ'ฝังในร่างกาย ช่วยฆ่าเซลล์เนื้องอกในสองสัปดาห์

4 เมษายน 2566 สำนักข่าวซินหัวไทยรายงานว่า การศึกษาฉบับดังกล่าวเผยแพร่ในวารสารไซแอนซ์ แอดวานซ์ (Science Advances) เมื่อไม่นานมานี้ โดยอธิบายว่าแบตเตอรีชนิดนี้จะลดปริมาณเนื้องอกเฉลี่ยร้อยละ 90 ในช่วงสองสัปดาห์ และกำจัดเนื้องอกในหนู 4 ตัวจาก 5 ตัว หากใช้ร่วมกับสารประกอบผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรมที่เรียกว่าทิราปาซามีน (tirapazamine)

ทีมงานจากมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นได้แรงบันดาลใจจากปฏิกิริยารีดอกซ์ของขั้วไฟฟ้าในแบตเตอรี่ โดยพวกเขาออกแบบอุปกรณ์แบบฝัง ซึ่งประกอบด้วยโพลีอิไมด์ที่มีส่วนประกอบเป็นคาร์บอนิลและโลหะสังกะสีที่เข้ากันได้ทางชีวภาพ

แบตเตอรี่ดังกล่าวสามารถสร้างวงจรการคายประจุและการชาร์จตัวเองเพื่อใช้งานออกซิเจนในเนื้องอกของหนู ซึ่งจะควบคุมปริมาณออกซิเจนและระดับความเป็นกรด-ด่างหรือค่าพีเอช (pH) ของเนื้องอก

การศึกษาเผยว่าแบตเตอรี่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการฆ่าเนื้องอกของทิราปาซามีนในการฆ่าเซลล์เนื้องอกในหนู โดยทิราปาซามีนจะใช้ประโยชน์จากสภาวะการลดลงของออกซิเจน (oxygen-depleted) ของเนื้องอกเพื่อเลือกฆ่าเซลล์ที่ขาดออกซิเจน พร้อมเสริมว่าแบตเตอรี่น้ำเกลือมีความสามารถการปรับเปลี่ยนรูปดี จึงสามารถฝังเข้าชั้นใต้ผิวหนังบนผิวเนื้องอกและครอบคลุมพื้นผิวเนื้องอกอย่างเหมาะสม

จางฝาน ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยฯ และหนึ่งในผู้เขียนการศึกษาข้างต้น ระบุว่าแบตเตอรี่น้ำเกลือสามารถถูกนำมาใช้เป็นตัวควบคุมสิ่งแวดล้อมระดับจุลภาคของเนื้องอกที่มีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาเนื้องอก ทั้งไม่มีรายงานการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของน้ำหนักตัว ผิวหนัง และอวัยวะปกติของหนูระหว่างการรักษา ซึ่งบ่งชี้ว่าแบตเตอรี่ทำงานภายในร่างกายได้อย่างปลอดภัย

เซี่ยหย่งเหยา ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งร่วมเขียนการศึกษาฉบับนี้ ชี้ว่าการดำเนินงานครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบข้ามกลุ่มระหว่างเทคโนโลยีแบตเตอรี่และชีวบำบัด ซึ่งไม่เพียงมอบวิธีการรักษาเนื้องอกแบบใหม่ แต่ยังสร้างต้นแบบแบตเตอรี่สำหรับการประยุกต์ใช้ด้านชีวการแพทย์ด้วย

ฮึ่ม!‘ชัชชาติ’เตือนทุกเขตเอาจริงสางทุจริต แง้มจ่อฟันเพิ่มอีกหลายเรื่อง

เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 5 เมษายน 2566 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) ให้สัมภาษณ์ที่อาคารไอราวัตพัฒนา กทม.2 ดินแดง ถึงกรณีการทุจริตของหัวหน้าฝ่ายรายได้ เขตราชเทวี เรียกรับผลประโยชน์ 3.2 ล้านบาทว่า ขอบคุณเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานสำหรับการจัดการในกรณีดังกล่าว ที่ผ่านมาให้ความสำคัญ และยอมรับก่อนหน้านี้ได้รับการประสานร้องเรียนจากบริษัทนี้เข้ามาเมื่อ 2 เดือนที่แล้วว่ามีการเรียกรับเงิน จากเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตราชเทวี ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายรายได้ของเขต

ทั้งนี้ หลังรับเรื่องร้องเรียน ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ดำเนินการทันที เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่มีพยานหลักฐานที่จะดำเนินการกับบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ อีกทั้งหากจะแก้ปัญหาโดยการย้ายไปอยู่อีกสำนักงานเขต จะถือเป็นไปสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ดีอีกที่หนึ่ง เพราะคงกลับไปทำเรื่องดังกล่าวอีก ประกอบกับ กทม. ไม่มีอำนาจดำเนินการทางคดีอาญา จึงจำเป็นต้องประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ อาทิ ป.ป.ป. ,ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบและ ทำการสืบสวนในเรื่องดังกล่าว จนกระทั่ง เมื่อวานนี้ (4 เม.ย.66) มีการดำเนินการเกิดขึ้นซึ่งถือเป็นความลับไม่ได้มีการแจ้ง กทม. ล่วงหน้าแต่อย่างใด กทม.จึงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ดังนั้นในกรณีนี้จะมีบุคคลอื่นในสำนักงานฯหรือในกทม. ตลอดจนผู้บังคับบัญชาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ตนให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ

นายชัชชาติ กล่าวว่า การดำเนินการทางวินัย ของ กทม. มีขั้นตอน คือ ปลัดกรุงเทพมหานครได้ตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงแล้ว และจะมีการโยกย้ายเข้ามายังสำนักปลัดกรุงเทพมหานคร โดยให้มาอยู่ในส่วนของตำแหน่งที่มีการสงวนตำแหน่งว่างเพื่อย้ายข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ 20 ตำแหน่ง ในระหว่างที่รอการตรวจสอบ โดยไม่ได้รับเงินเดือน

“เรื่องการทุจริตการจัดเก็บรายได้พบเป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้พบแต่การทุจริตในฝ่ายโยธามากกว่า สำหรับเคสนี้ทำให้รู้ถึงช่องโหว่ในการจัดเก็บรายได้ของ กทม. เป็นการประเมินด้วยวิจารณญาณบุคคลในการประเมินภาษี จึงได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการสูง (ระดับ10) ร่วมกับฝ่ายตรวจสอบภายใน ลงไปตรวจการประเมินภาษีให้ถูกต้องเป็นไปตามเกณฑ์” ผู้ว่าฯ กทม. กล่าว

ผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า ตั้งแต่ตนรับเลือกเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มีการกำชับเรื่องนี้ โดยเฉพาะสำนักงานเขตราชเทวี เป็นหนึ่งในสำนักงานที่มีการตักเตือน เรื่องการทุจริตภายในองค์กร เนื่องจากว่าไม่ได้มีผลกระทบเพียงผู้กระทำเพียงคนเดียว แต่ยังกระทบต่อองค์กร และ เดือดร้อนถึงบุคคลในครอบครัว ซึ่งเรื่องแบบนี้ตนส่งสารคนในครอบครัวมากกว่าผู้กระทำผิด

ส่วนเรื่องดังกล่าว เป็นเหตุให้เขตราชเทวีจัดเก็บภาษีได้น้อยไม่ติดอันดับ 1 ใน 4 หรือไม่นั้น นายชัชชาติ กล่าวว่า ต้องกลับไปตรวจสอบ อีกครั้ง เนื่องจากเป็นพื้นที่ในเมือง พื้นที่เต็มหมดแล้วไม่มีการก่อสร้างอาคารใหม่เกิดขึ้น ดังนั้นการจัดเก็บภาษีจึงเป็นเรทของอาคารเก่า แต่เพื่อความชัดเจนคงต้องเข้าไปดำเนินการตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย

“ฝากเตือนไปยังสำนักงานเขตพื้นที่อื่นๆว่า กทม.เอาจริงเอาจังในการปราบปรามทุจริต เคสนี้จึงเป็นเคสตัวอย่าง ไม่ถึงกับการเชือดไก่ให้ลิงดู แต่อยากให้ข้าราชการทุกคน ตระหนักว่าต้องมือสะอาด ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังรอเวลาดำเนินการเอาผิดด้วย” นายชัชชาติ กล่าว


ผงะ! พบเงินสด 6.9 ล้าน ซุกฟอร์จูนเนอร์ หัวหน้าเขตราชเทวี ทุจริตเรียกรับสินบน

วันที่ 5 เมษายน 2566 เวลา 14.00 น. พ.ต.อ.ธนวัฒน์ หิ้นยกฮิ่น ผกก.1 บก.ปปป. พร้อมด้วย นาย สุภาพ ศิริ ผู้อำนวยการกองอำนวยการต่อต้านการทุจริต สำนักงาน ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และเจ้าหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน นำกำลังเข้าตรวจค้น บ้านแห่งหนึ่ง ต.บางรักใหญ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านพักส่วนตัวของนาย ประมวล เจ้าหนาที่สำนักงานเขตราชเทวี ผู้ต้องหาในคดีเรียกรับสินบนเพื่อเลี่ยงจ่ายภาษี ที่เพิ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. จับกุมตัวเมื่อวานนี้ (4 เม.ย.) เพื่อค้นหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม

จากการตรวจค้น พบบ้านหลังดังกล่าวมีลักษณะ เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น มีรถยนต์ยี่ห้อ ฟอร์จูนเนอร์ จอดอยู่ภายในโรงรถของตัวบ้าน ซึ่งจากการตรวจค้นภายในบ้านพบพระเครื่องและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในการทุจริต จำนวนมาก นอกจากนี้จากการตรวจค้นภายในรถ Toyota Fortuner สีขาว ยังพบว่ามีการซุกซ่อนเงินสดจำนวน 6 ล้าน 9 แสนบาท อยู่ภายในรถ จึงตรวจยึดไว้ตรวจสอบ


หัวหน้าฝ่ายรายได้ เขตราชเทวี ปฏิเสธทุกข้อหา วาง 4 แสนประกันตัว พบหลักฐานโยงหลายคน

วันที่ 5 เมษายน 2566 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนหัวหน้าฝ่ายรายได้ สำนักงานเขตราชเทวี ที่มีพฤติการณ์เรียกรับผลประโยชน์ 3.2 ล้านบาท จากผู้เสียหาย แลกกับการเลี่ยงจ่ายภาษี 40 ล้านบาท โดยระบุว่าจากการสอบปากคำหัวหน้าฝ่ายรายได้ยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และได้วางหลักทรัพย์เงินสด 4 แสนบาท เพื่อยื่นขอประกันตัวไป พนักงานสอบสวนจึงอนุญาตให้ประกันตัว

จากพยานหลักฐานที่ตรวจยึดได้ ทั้งสมุดบันทึกและเอกสารที่เกี่ยวข้อง พบความเชื่อมโยงไปอีกหลายบุคคล และดูเหมือนมีผู้ที่ถูกเรียกรับผลประโยชน์แลกกับการไม่จ่ายภาษีจำนวนสูงเช่นนี้อีกหลายคน ซึ่งตำรวจจะต้องขยายผลเส้นทางการเงิน และเรียกบุคคลเหล่านี้มาให้ปากคำว่าจะให้การอย่างไรบ้าง

นอกจากนี้ แนวทางการสืบสวนยังเชื่อว่าหัวหน้าฝ่ายรายได้คนดังกล่าวไม่ได้ก่อเหตุเพียงคนเดียว น่าจะมีผู้อื่นร่วมด้วย ซึ่งตำรวจก็กำลังขยายผลติดตาม หากพบพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใด ก็จะต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด จากนั้นก็จะสรุปสำนวนส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ดำเนินการต่อไป


'Forbes'จัดอันดับมหาเศรษฐีโลกปี 2023 'เจ้าสัวธนินท์'ผงาดรวยสุดในประเทศไทย

5 เมษายน 2566 นิตยสาร Forbes (ฟอร์บส์) ประกาศการจัดอันดับมหาเศรษฐีทรัพย์สินเกินพันล้านดอลลาร์ทั่วโลกประจำปี 2023 โดยในการจัดอันดับครั้งนี้ ผู้ที่ครองความร่ำรวยที่สุดในโลก ตกเป็นของ เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ชายผู้เป็นมหาเศรษฐี ผู้เป็น Chairman และ CEO กลุ่มบริษัท แอลวีเอ็มเอช โมเอต์ เฮนเนสซี่ หลุยส์ วิตตอง (LVMH) มีทรัพย์สินราว 2.28 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7.7 ล้านล้านบาท

อันดับที่สองเป็นของ อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งบริษัท 6 แห่ง ได้แก่ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla, ผู้ผลิตจรวด SpaceX และ Boring Company บริษัทแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.5 ล้านล้านบาท

ส่วนอันดับที่สามเป็นของ เจฟฟ์ เบโซส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ในปี 1994 จากโรงรถในซีแอตเทิล และก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอเพื่อเป็นประธานบริหารในเดือนกรกฎาคม 2564 มีทรัพย์สินรวม 1.27 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 4.3 ล้านล้านบาท

ด้านมหาเศรษฐีไทยเข้าไปจับจองพื้นที่ถึง 28 คน ซึ่งผู้ที่ครองอับดับรวยสุดในไทย ยังคงเป็น ธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งอาณาจักรซีพี โดย ธนินท์ เจียรวนนท์ วัย 83 ปี ถือครองทรัพย์สินสูงเกือบ 1.49 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ จึงนับว่าเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในประเทศไทย แต่อยู่ในอันดับที่ 116 จากการจัดอันดับเศรษฐีพันล้านของ Forbes และมูลค่าทรัพย์สินในปีนี้ยังเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วด้วย

ส่วนมหาเศรษฐีอันดับสองของไทย คือ เจริญ สิริวัฒนภักดี วัย 78 ปี ซึ่งดำเนินธุรกิจแอลกอฮอล์ อสังหาริมทรัพย์ อาหาร และเครื่องดื่ม มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.48 หมื่นล้านเหรีญสหรัฐฯ อยู่ในอันดับที่ 118 ของนิตยสาร Forbes

ขณะที่อันดับสามของไทยคือ สารัชถ์ รัตนาวะดี เจ้าพ่อธุรกิจพลังงาน วัย 57 ปี มีทรัพย์สินเกินหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ติดอยู่ในอันดับที่ 141 ท่ามกลางเศรษฐีพันล้านทั่วโลก ด้วยมั่งคั่งที่ 1.23 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 4-5 ของไทย มาจากตระกูลเจียรวนนท์ คือ สุเมธ เจียรวนนท์ อายุ 88 ปี และจรัญ เจียรวนนท์ วัย 93 ปี ติดอยู่ในอันดับที่ 425 และ 437 ของฟอร์บสตามลำดับ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ ในชาร์ตผู้ที่มีทรัพย์สินเกินพันล้านดอลลาร์ ยังมีคนของตระกูลเจียรวนนท์ ติดเข้าไปอีกสามคน คือ พงษ์เทพ มนัส และประทีป เจียรวนนท์ รวยสุดเป็นอันดับที่ 13 ,15 และ 16 ของไทย

ส่วน นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ วัย 90 ปี เจ้าของธุรกิจโรงพยาบาล และการดูแลสุขภาพ รวยสุดอันดับ 8 ของไทย แต่อยู่ในอันดับที่ 818 ของนิตยสารฟอร์บสมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น

นายประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าพ่อเนสกาแฟ วัย 77 ปี รวยเป็นอันดับ 10 ของไทย อยู่ในอันดับที่ 1,217 ของฟอร์บส ส่วน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย วัย 73 ปี ที่คร่ำหวอดในธุรกิจการเงิน และการลงทุน รวยเป็นอันดับที่ 12 ของไทย โดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,100 ล้านดอลลาร์ อยู่ในอันดับที่ 1,434 ของฟอร์บส์

ส่วนทักษิณ ชินวัตร รวยสุดเป็นอันดับที่ 12 ของไทย

มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง'ฟ็อกซ์คอนน์'ซัพพลายเออร์ใหญ่ของ'แอปเปิล' ลงชิงประธานาธิบดีไต้หวัน

5 เมษายน 2566 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เทอร์รี กัว มหาเศรษฐีพันล้านและผู้ก่อตั้งบริษัท ฟ็อกซ์คอนน์ ที่เป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของบริษัท แอปเปิล ประกาศเข้าร่วมชิงชัยเป็นตัวแทนพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของไต้หวัน เพื่อลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้าเป็นครั้งที่สอง

เทอร์รี กัว ซึ่งลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัทฟ็อกซ์คอนน์เมื่อปี 2562 ให้สัมภาษณ์ที่โรงแรมใกล้สนามบินในเมืองเถาหยวนในวันพุธ หลังกลับจากเยือนสหรัฐฯ นานหนึ่งสัปดาห์ว่า หนทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดสงครามกับจีน คือ ลดความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ และทำให้พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ของประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน พ้นจากอำนาจ

เขาบอกด้วยว่า จำเป็นต้องบอกประชาชนคนรุ่นใหม่ว่า เป็นเรื่องอันตรายที่จะลงคะแนนเสียงให้พรรค DPP ที่สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน เกลียดชังและต่อต้านจีน พร้อมทั้งบอกว่า สันติภาพเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้าม และประชาชนต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง

เทอร์รี กัว เคยประกาศตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2562 หลังก้าวลงจากตำแหน่งประธานฟ็อกซ์คอนน์ แต่ถอนตัวหลังจากไม่ได้รับเสียงสนับสนุนให้เป็นตัวแทนพรรคก๊กมินตั๋ง

เทอร์รี กัว กล่าวด้วยว่า เขาต้องการลุกขึ้นมาแก้ไขวิกฤตที่นักการเมืองไม่สามารถทำได้ และเขาเสียใจที่หันหลังให้พรรคก๊กมินตั๋งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พร้อมทั้ง ประกาศว่า หากเขาได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคก๊กมินตั๋ง เขาจะพยายามอย่างดี่ที่สุดเพื่อผนึกกำลังของพรรคการเมืองทั้งหลายที่ไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับ DPP เพื่อให้สามารถชนะการเลือกตั้งในปีหน้า แต่หากผลโพลล์บ่งชี้ว่า นายโหวมีคะแนนนิยมนำหน้าเขา และได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรค เขาก็พร้อมสนับสนุนนายโหว