ข่าว
โควิด : สหรัฐทุบสถิติ “ป่วยรายวัน” ทะลุ 120,000 คน-ติดเชื้อสะสมพุ่ง 10 ล้าน!

โควิด : สหรัฐทุบสถิติ - วันที่ 6 พ.ย. เอ็นบีซีนิวส์ รายงานสถานการณ์ โรคโควิด-19 ใน สหรัฐอเมริกา หลังเพิ่ง ทุบสถิติ มีผู้ป่วยรายวันมากถึง 107,800 คนเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ปรากฏว่าในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 5 พ.ย. สหรัฐมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นถึง 120,048 คน

ถือเป็นตัวเลขผู้ป่วยรายวันที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งของประเทศและโลก ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มของสหรัฐเพิ่มเป็น 9,919,522 คน เสียชีวิตอย่างน้อย 240,953 ราย และรักษาหายแล้ว 6,340,472 คน

ด้านศูนย์ข้อมูลมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ และเวิลด์โอมิเตอร์ส ระบุว่ารัฐที่มีจำนวนผู้ป่วยใหม่สูงสุดในช่วง 1 วัน คือ รัฐอิลลินอยส์ เพิ่มขึ้นถึง 9,935 คน รองลงมาเป็นรัฐเท็กซัสที่ 9,591 คน รัฐฟลอริดา 6,257 คน รัฐแคลิฟอร์เนีย 6,214 คน และรัฐวิสคอนซิน 5,922 คน

ส่วนรัฐที่มียอดผู้ติดเชื้อสะสมมากที่สุด 5 รัฐ ได้แก่ รัฐเท็กซัส 997,916 คน รัฐแคลิฟอร์เนีย 958,878 คน รัฐฟลอริดา 827,380 คน รัฐนิวยอร์ก 555,710 คน และรัฐอิลลินอยส์ 453,750 คน

เกมตลาดการเมือง ศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ “ไบเดน” วิ่งสู้ฟัด เป็นต่อเหนือ “ทรัมป์”

การเลือกตั้งสหรัฐฯ 2020 เป็นที่สนใจของคนทั่วโลก ไม่ว่าใครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีผลทางตรงและทางอ้อมต่อประชาคมโลก และกว่าจะได้ผู้ชนะ ทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ได้ลงพื้นที่หาเสียงอย่างหนัก จนมาถึงวันชี้ชะตา 3 พ.ย. 2563 และดูเหมือนว่าไบเดน จะเป็นผู้กุมชัยชนะเหนือทรัมป์ หากไม่มีอุปสรรคอะไร ทำให้สะดุด

ชัยชนะจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้ หนีไม่พ้นการตลาดทางการเมือง หรือ Political Marketing เพราะในยุคนี้ “การเมือง” กับ “การตลาด” เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก ซึ่งทางพรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต ต้องทำการบ้านมาอย่างดี ผ่านการนำเสนอนโยบาย เพื่อให้ถูกใจ ตรงจุดกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด โดยเฉพาะการกวาดคะแนนในรัฐสวิงสเตท ถือเป็นตัวแปรสำคัญ

โดนัลด์ ทรัมป์ ยึดหลัก “America First” หรืออเมริกาต้องมาก่อน เน้นการกอบกู้เศรษฐกิจ เพิ่มจ้างงาน 10 ล้านตำแหน่ง, ลดหย่อนภาษีให้กับบริษัท, ปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของชาติ ยุติการพึ่งพาจีน และทุ่มงบมหาศาล พัฒนาการรักษา และวัคซีนป้องกันโควิด

ในส่วน โจ ไบเดน ชูนโยบาย “Buy American” ซื้อสินค้าจากอเมริกาเป็นหลัก เก็บภาษีจากคนรวย นำมาสร้างงานให้ชนชั้นกลาง-เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ, ลดดีกรีสงครามการค้ากับจีน หันมาเล่นตามกติกา และตั้งศูนย์ตรวจหาเชื้อโรคทุกรัฐ บริการตรวจโควิดฟรี

“ดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล” อาจารย์ประจำคณะบริหาร มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ระบุชัดเจนว่า การตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้ ผ่านนโยบายหาเสียง ซึ่งเป็นโปรดักส์ในการนำเสนอสินค้าของแต่ละฝ่ายที่มีความแตกต่างกัน และที่เห็นได้ชัดเจน โดยโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ชูนโยบายลดภาษีคนรวย ตรงข้ามกับโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต นำเสนอนโยบายขึ้นภาษีคนรวย และสิ่งที่นำเสนอ ถามว่าใครจะเลือกทรัมป์หรือไบเดน เมื่อต่างฝ่ายมีสินค้าที่ต่างกัน โดยคนเลือกสินค้าก็ต้องเลือกตามความต้องการของตัวเอง

ในกรณีของทรัมป์ ยังคงนโยบายเอื้อคนรวย คงอัตราภาษีนิติบุคคล 21% ส่วนไบเดน จะเก็บภาษีคนรวย มีนโยบายขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็นอัตรา 28% โดยคนที่ทำธุรกิจในสหรัฐฯ ก็เลือกทรัมป์ ส่วนคนไม่ทำธุรกิจ เลือกไบเดน อีกทั้งมีนโยบายในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง จากเดิม 7.25 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ซึ่งต่างกับทรัมป์ เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก

หรือในเรื่องนโยบายสุขภาพ ทางไบเดน ยังคงสนับสนุนระบบประกันสุขภาพ “โอบามาแคร์” ตรงข้ามกับทรัมป์ จะยกเลิกในส่วนนี้ รวมถึงไบเดนให้ความสำคัญกับภาวะโลกร้อน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนทรัมป์ ไม่สนใจ ซึ่งจะเห็นว่าทั้งสองมีการขายสินค้าคนละแบบ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคนละกลุ่ม

“การเจาะกลุ่มหลากหลายทางเพศ หรือ LGBT ของไบเดน เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกันกับทรัมป์ ก็ทำให้ได้คะแนนเสียงที่ต่างกัน อย่างขณะนี้มีการระบาดของโควิด ทางทรัมป์ ต้องการเปิดประเทศ มุ่งเน้นไปที่เศรษฐกิจ ส่วนไบเดน ต้องการปิดประเทศ เพื่อสู้กับการระบาดของโควิด หากใครชอบความปลอดภัย ก็เลือกไบเดน”

จากความแตกต่างของนโยบายระหว่างทรัมป์และไบเดน ผู้ชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่างรู้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายของพวกเขาในแต่ละรัฐ หรือใครเป็นรีพับลิกัน หรือเดโมแครต แต่ต้องยอมรับว่ายังมีคนประเภทเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ขึ้นอยู่กับกระแส ทำให้ทั้งคู่ต่างโฟกัส และพยายามทำตลาดไปที่รัฐสวิงสเตท ทั้งรัฐวิสคอนซิน และรัฐมิชิแกน ที่มีคะแนนเสียงก้ำกึ่ง มีความไม่แน่นอนสูง และสุดท้ายแล้วต้องขึ้นอยู่กับว่านโยบายใครดีกว่ากัน และเมื่อใครได้ 270 เสียงก็รอด

“ไม่เหมือนนโยบายหาเสียงในเมืองไทย ไม่มีความชัดเจน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และในยุคปัจจุบันพรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ มีการทำตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ทั้งข้อความสื่อสารที่เป็นเรื่องเบาๆ ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ ผ่านสื่อโซเชียล แตกต่างจากสมัยก่อนที่สื่อสารผ่านบิลบอร์ด และโบรชัวร์”

สุดท้ายแล้วไม่ว่าผู้สมัครชิงชัยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้ง 2 คน จะทำการตลาดอย่างไร ? เพื่อจะได้เป็นผู้ชนะ หรือแม้ไบเดน กำลังใกล้ความจริง มีแนวโน้มสูงในการเข้าสู่บัลลังก์ทำเนียบขาว คาดเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด จนทำให้ทรัมป์เสียคะแนนพ่ายแพ้ไปในที่สุด เพราะหวังแต่เรื่องเศรษฐกิจมากกว่าสุขภาพของประชากรชาวอเมริกัน จากที่ทรัมป์คิดว่าคนอเมริกันจะเห็นด้วยกับวิธีของเขา

ในมุมมองส่วนตัวเห็นว่า นโยบายของทั้งทรัมป์และไบเดน ไม่มีถูก ไม่มีผิด เพราะสุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับคนอเมริกันที่ต่างมีความคิดแตกต่างกัน และการเลือกตั้งครั้งนี้จะเห็นว่าต่างฝ่ายต่างมีการใช้ข้อมูลดาต้าต่างๆ มากขึ้นในการทำตลาด อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ไบเดนเหนือกว่าทรัมป์ จากการวิเคราะห์จุดอ่อน เพื่อช่วงชิงคะแนนเสียงในรัฐสวิงสเตท บวกกับการใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น จนเป็นผู้กำชัยชนะในที่สุด


หุ้นสหรัฐฯ พุ่งต่อ ดาวโจนส์บวก 542 จุด น้ำมันลด-ทองกระฉูด $50

6 พ.ย. 2563 : หุ้นสหรัฐฯ พุ่งทะยานเป็นวันที่ 2 หลังผลไม่เป็นทางการชี้ว่า โจ ไบเดน ใกล้คว้าชัยเลือกตั้งประธานาธิบดี ขณะที่ราคาน้ำมันลดลงจากความกังวลโควิด ส่วนราคาทองเพิ่มขึ้นถึง 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวันที่ 5 พ.ย. 2560 ในแดนบวก โดยดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 542.52 จุด หรือ1.95% ปิดที่ 28,390.18 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 67.01 จุด หรือ 1.95% ปิดที่ 3,510.45 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก บวกเพิ่ม 300.15 จุด หรือ 2.59% ปิดที่ 11,890.93 จุด

วอลล์สตรีทเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้นในทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม ต่างจากเมื่อวันพุธที่นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว ขณะที่กลุ่มธนาคารซึ่งลดลง 4% เมื่อวันพุธ ฟื้นตัวกลับมาได้เกือบทั้งหมด

ขณะที่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการนับคะแนนในรัฐสำคัญยังไม่ชัดเจน แต่นักลงทุนยังมองโลกในแง่บวก เนื่องจากมีโอกาสมากที่สภาล่างกับสภาสูงจะถูกแบ่งโดยเดโมแครตและรีพับลิกันอีกครั้ง ซึ่งอาจหมายถึงการคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไป และนโยบายที่เป็นมิตรกับธุรกิจอื่นๆ

ด้านราคาน้ำมันลดลงในวันพฤหัสบดี ยุติการบวกต่อเนื่อง 3 วัน เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหลายประเทศในยุโรปเริ่มบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น และแนวโน้มความต้องการพลังงานอ่อนแอลง นอกจากนี้ โอกาสที่ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ต้องไปจบลงที่ศาล กำลังเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้าออกไป สร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมันยิ่งขึ้นไปปอีก

สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า เวสต์เเท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 0.36 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 0.9% ไปอยู่ที่ 38.79 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ

บาเรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 0.40 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 0.9% ไปอยู่ที่ 40.83 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนราคาทองคำ ทะยานขึ้นสู่ค่าสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ หลังค่าเงินดอลลาร์ลดลง 0.8% จากความคาดหวังว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนโตในเร็วๆ นี้ และข่าวการขยายเวลาโครงการซื้อสินทรัพย์ของธนาคารกลางอังกฤษ โดยสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม พุ่งขึ้น 50.60 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.7% ปิดที่ 1,946.80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์


ไบเดน พลิกขึ้นนำเพนซิลเวเนีย-จอร์เจีย จ่อชนะเลือกตั้งประธานาธิบดี

6 พ.ย. 2563 : โจ ไบเดน มีคะแนนเลือกตั้งพลิกขึ้นนำนายทรัมป์ใน 2 รัฐสำคัญอย่างจอร์เจียและเพนซิลเวเนียแล้ว ทำให้เขาใกล้เส้นชัย 270 คะแนนแล้ว

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า โจ ไบเดน ตัวแทนพรรคเดโมแครตขยับเข้าใกล้ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าไปทุกทีแล้ว หลังจากเขามีคะแนนเสียงเลือกตั้งพลิกขึ้นนำในรัฐสวิงสเตทอย่าง จอร์เจีย และ เพนซิลเวเนีย ซึ่งนายทรัมป์มีคะแนนนำตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา

ตอนนี้นายไบเดน กับ นายทรัมป์ มีอัตราส่วนคะแนนที่รัฐจอร์เจียเท่ากันที่ 49.4% แต่คะแนนดิบนายไบเดนนำอยู่ประมาณ 1,600 คะแนน ในขณะที่เหลือบัตรเลือกตั้งที่ยังไม่ได้นับอีกราว 4,000 ใบเท่านั้น

ส่วนที่รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีคะแนน electoral vote ถึง 20 คะแนน และมักเป็นรัฐชี้ชะตาการเลือกตั้งสหรัฐฯ นายไบเดนเคยมีคะแนนตามนายทรัมป์กว่า 6 แสนคะแนน แต่ตอนนี้พลิกกลับขึ้นนำแล้วด้วยอัตราส่วน 49.4% ต่อ 49.3% โดยคะแนนดิบนำอยู่ราว 7,000 คะแนน ขณะที่การนับบัตรเลือกตั้งเสร็จสิ้นไปแล้ว 95% ยังต้องลุ้นต่อว่าจะมีการพลิกผันอีกหรือไม่

ในปัจจุบันนายไบเดนมีคะแนน electoral vote อยู่ 253 คะแนน ซึ่งเขาต้องการอีกเพียง 17 คะแนนเท่านั้นจะถึงเป้าหมายที่ 270 โดยหากไบเดนชนะที่รัฐจอร์เจีย เขาจะได้ electoral vote 16 คะแนน ขาดไปอีก 1 คะแนน แต่หากชนะที่เพนซิลเวเนีย เขาก็จะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ทันที

ทั้งนี้ นายไบเดน พลิกกลับมานำนายทรัมป์หลังจากเริ่มมีการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งที่ส่งทางไปรษณีย์ ซึ่งผู้ส่งส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนเดโมแครต เนื่องจากนายไบเดนรณรงค์ให้คนเลือกตั้งทางไปรษณีย์เพื่อป้องกันโควิด-19 สวนทางกับนายทรัมป์ที่กล่าวหาว่าการเลือกตั้งแบบนี้เสี่ยงต่อการโกง และเรียกร้องให้คนไปใช้สิทธิ์ด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งตอนนี้มีคะแนน electoral vote อยู่ 214 คะแนน ออกมากล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานว่า เขาโดนโกง และหากนับคะแนนอย่างถูกต้องเขาจะเป็นผู้ชนะอย่างง่ายดาย ขณะที่ทีมหาเสียงของเขายืนยันว่าการเลือกตั้งยังห่างไกลจากคำว่า จบ และบอกว่า การคาดการณ์ใดๆ ที่ระบุว่าไบเดนเป็นฝ่ายชนะนั้น ไม่ถูกต้อง

“การเลือกตั้งนี้ยังไม่จบลง การคาดการณ์ผิดๆ ที่บอกว่า โจ ไบเดน เป็นฝ่ายชนะ มาจากผลลัพธ์ใน 4 รัฐที่ยังห่างไกลจากคำว่าจบสิ้น” นาย แมตต์ มอร์แกน หัวหน้าที่ทนายความทีมหาเสียงของนายทรัมป์กล่าว “จอร์เจียกำลังเดินหน้าสู่การนับคะแนนใหม่ ซึ่งเรามั่นใจว่าจะพบบัตรเลือกตั้งถูกเอาออกไปอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์จะเป็นผู้ชนะในที่สุด”

“มีความผิดปกติมากมายในเพนซิลเวเนีย รวมทั้งการที่เจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้งห้ามผู้สังเกตการณ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขาจากการเข้าถึงสถานที่นับคะแนนโหวต เราชนะการฟ้องร้องในศาล แต่ถูกพรากเวลาอันมีค่าและถูกปฏิเสธความโปร่งใสภายใต้กฎหมายของรัฐ” นายมอร์แกนกล่าวต่อ

“ที่เนวาดา ดูเหมือนว่าคนหลายพันคนจะใช้สิทธิ์ผ่านทางไปรษณีย์อย่างไม่ถูกต้อง และสุดท้าย ประธานาธิบดีกำลังอยู่บนเส้นทางการคว้าชัยชนะที่แอริโซนาโดยสมบูรณ์ แม้ว่า ฟ็อกซ์ นิวส์ และ แอสโซซิเอต เพรส จะบอกว่าไบเดนชนะในรัฐนี้อย่างไร้ความรับผิดชอบและไม่ถูกต้องก็ตาม”

อนึ่ง ตอนนี้นายไบเดนมีคะแนนนำนายทรัมป์ที่รัฐแอริโซนาอยู่ 50.0% ต่อ 48.6% มีคะแนนดิบห่างกันที่ราว 44,000 คะแนน นับคะแนนเสร็จไปแล้วประมาณ 92%

'รัสเซีย' เตรียมออกกฎหมายใหม่ คุ้มครอง 'ปูติน' ไม่ต้องถูกดำเนินคดีตลอดชีวิต

วันศุกร์ ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563: สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน สภาดูมา ของรัสเซีย กำลังพิจารณาร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่เปิดทางให้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน มีเอกสิทธิ์คุ้มกันทางการเมืองตลอดชีวิต หมายความว่าความคุ้มครองยังมีผลแม้หมดวาระแล้ว

สำหรับอดีตประธานาธิบดีรัสเซียได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองทางการเมืองตลอดชีวิตอยู่แล้ว จากการกระทำผิดระหว่างดำรงตำแหน่ง ส่วนในร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้ขยายเอกสิทธิ์คุ้มครองไปจนถึงคดีที่ทำผิดหลังพ้นตำแหน่งไปจนถึงตลอดชีวิต แต่ยกเว้นคดีอาญาร้ายแรง อาทิ ข้อหากบฏ

เนื้อหาของร่างกฎหมายระบุการให้อำนาจสภาดูมาและสภาสหพันธรัฐ หรือวุฒิสภา สามารถยกเลิกเอกสิทธิ์ดังกล่าวของผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และอดีตประธานาธิบดีได้ โดยทั้งสองสภาต้องมีเสียงสนับสนุนเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3 และต้องดำเนินการภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่ประธานาธิบดีหรืออดีตประธานาธิบดีถูกกล่าวหาในข้อหากบฏ หรือคดีอาญาร้ายแรงอื่นซึ่งมีอัตราโทษสูง

ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวจะบังคับใช้หลังผ่านการลงมติจากสภา วุฒิสภา และลงนามโดยตัวปูตินเอง