เมื่อวันที่ 22 ต.ค. นายสมพงษ์ สระกวี สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) แกนนำ นปช. กล่าวถึงแนวทางปฏิรูปการเมืองของ สปท. ว่า ในการประชุมกลุ่มย่อยของ สปท. ด้านการเมือง เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา มีการพูดภารกิจเร่งด่วนที่ต้องปฏิรูปทางการเมือง คือการสร้างบรรยากาศความปรองดอง ที่มีการหยิบยกเรื่องการนิรโทษกรรมมาหารือกัน โดยเห็นตรงกันในหลักการว่า ควรนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดทุกสีเสื้อ ทั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) และ กปปส. ที่มีความผิดคดีเล็กน้อย มีมูลเหตุการกระทำผิดมาจากแรงจูงใจทางการเมือง แต่ยังไม่มีการกำหนดประเภทคดีเล็กน้อยที่จะได้รับนิรโทษกรรม ส่วนแกนนำการชุมนุม ตลอดจนความผิดคดีทุจริต คดีมาตรา 112 และผู้ที่หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศจะไม่อยู่ในข่ายที่ได้รับการนิรโทษกรรม เรื่องดังกล่าวจะเป็นหัวข้อแรก ๆ ที่จะผลักดันให้ สปท.ดำเนินการ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมก่อนมีการเลือกตั้งครั้งใหม่
นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า ส่วนจะมีการตั้งคณะกรรมการปรองดองขึ้นมาเพื่อผลักดันเรื่องการนิรโทษกรรมหรือไม่นั้น ที่ประชุมยังไม่ได้พูดถึง แต่จะนำแนวทางคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)ที่มีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตสมาชิก สปช. เป็นประธาน ได้ศึกษาไว้ เพื่อนำมาสานต่อ นอกจากนี้ที่ประชุมกลุ่มย่อยด้านการเมืองยังหารือกันถึงเรื่องทุนพรรคการเมือง ที่มีการวางหลักการว่าอยากให้ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของพรรคการเมือง จะต้องวางแนวทางให้ประชาชนเป็นเจ้าของพรรคการเมืองตัวจริง เพื่อไม่ให้พรรคการเมืองอยู่ใต้อิทธิพลของนายทุนเหมือนในปัจจุบัน
ความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางไปทำบุญสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จ.หนองคาย ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางไปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ครั้งนี้ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบมาสังเกตการณ์ติดตามการเคลื่อนไหวจำนวนมาก ทั้งที่วัดโพธิ์ชัยและตลาดริมโขง โดยขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ กำลังจะเดินทางออกจากวัดเพื่อไป จ.อุดรธานี เนื่องจากวันที่ 21 ต.ค. มีกำหนดไปทอดผ้าป่าที่วัดป่าภูก้อน และวัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี ปรากฏว่า ได้มีเจ้าหน้าที่จากฝ่ายความมั่นคงประสานขอความร่วมมือไม่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปทำกิจกรรมที่ จ.อุดรธานี ขณะเดียวกันอดีต ส.ส.อุดรธานี ผู้ประสานงานแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ทหารขอให้ยกเลิกทอดผ้าป่าวัดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางไป น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงตัดสินใจเปลี่ยนพักค้างคืนที่ จ.หนองคาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากต้องยกเลิกกำหนดการที่ จ.อุดรธานี วันที่ 21 ต.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงอยู่ทำกิจกรรมที่ จ.หนองคายต่อ โดยออกจากที่พักไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมืองหนองคาย ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจติดตามการเคลื่อนไหวทั้งที่หน้าร้าน และที่เรือลาดตระเวนในลำน้ำโขง ทั้งนี้ จังหวะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ถ่ายภาพขณะกำลังเดินเข้าห้องน้ำ ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่พอใจอย่างมาก พูดกับคนใกล้ชิดว่า “ไม่ได้คิดจะหลบหนี แค่เดินเข้าห้องน้ำเท่านั้นเอง ถ้าคิดจะหนีคงไม่ใช้วิธีแบบนี้”
ต่อมาเวลา 15.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์พร้อมคณะเดินทางมาที่ตลาดผ้าบ้านนาข่า ต.นาข่า อ.เมืองอุดรธานี เพื่อเลือกซื้อผ้าไหมและสักการะพระพุทธศรีรัตนมหามงคลนาคาเทวี หรือหลวงพ่อใหญ่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดนาคาเทวีเพื่อเป็นสิริมงคล โดยมีนายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร และนายสวาท ธีระรัตนนุกูลชัย ประธานหอการค้าจังหวัดอุดรธานี นำสมาชิกชมรมคนรักอุดร และผู้ประกอบการค้าผ้าไหมตลาดผ้าบ้านนาข่า และประชาชนราว 300 คนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น จากนั้นจึงขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับ กทม.
นายเกรียงศักดิ์ ฝ้ายสีงาม อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีการประสานมาจากฝ่ายทหารขอความร่วมมือไม่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีต นายกรัฐมนตรี เดินทางมาที่ จ.อุดรธานี ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จะเสด็จฯมาเปิดโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ทางจังหวัดต้องเตรียมการรับเสด็จ เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทราบข่าว จึงให้ความร่วมมือ ยกเลิกการเดินทางมาทำบุญที่ จ.อุดรธานี ในวันที่ 20 และ 21 ต.ค. เพื่อให้ความร่วมมือกับ คสช.
เมื่อวันที่ 22 ต.ค. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) จะตัดสิทธิผู้ทุจริตเลือกตั้งตลอดชีวิตว่า กรธ.คงเห็นว่าการกระทำความผิดไม่สมควรเข้ามาเป็นฝ่ายบริหาร จึงเป็นการส่งเสริมคนดีเข้าสู่ระบบการเมือง แต่กระบวนการตัดสินต้องเป็นธรรมกับคนเหล่านั้น ถ้าการตัดสิทธิดังกล่าวไม่สามารถตรวจสอบได้ ก็อาจไม่เป็นธรรม ซึ่งมองว่าไม่ได้เชื่อมโยงกับใบแดงของ กกต. เพราะใบแดงของ กกต. จะตัดสิทธิเป็นครั้งคราว หรือตัดสิทธิคราวละ 1 ปี การตัดสิทธินี้ควรให้ศาลเป็นผู้พิจารณาชี้ขาด และการตัดสิทธิควรพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ส่วนตัวยังเห็นว่าถ้ามีกฎหมายนี้ออกมา ควรนับจากที่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ ไม่ควรนำไปใช้ย้อนหลัง เพราะคนที่เคยทำผิดไม่คิดว่าจะต้องโดนแบบนี้ ส่วนจะสามารถปราบการทุจริตเลือกตั้งได้หรือไม่นั้น อาจมีส่วนช่วยทำให้นักการเมืองที่ตั้งใจจะซื้อเสียง ยั้งคิดมากขึ้น เป็นการปราบปรามเบื้องต้น แต่คงไม่ได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะยังมีบางส่วนคิดว่าเมื่อเข้าสู่การเมืองได้ ก็สามารถฟอกผิดเป็นถูกได้
เมื่อถามถึงกระแสข่าวหาก กรธ.อาจจะให้ กกต.แจกใบแดง และใบเหลืองได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยไม่ต้องส่งศาลพิจารณา อาจถูกครหาตัดสินไม่เป็นธรรมหรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า ยังไม่รู้ว่าจะได้อำนาจอย่างนั้นหรือไม่ แต่ กกต.ต้องมีการปรับปรุงองค์กรกลไกสืบสวนสอบสวนให้มีความโปร่งใส ประชาชนเกิดความเชื่อถือ และหาคนผิดมาดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการครหา กกต. จังหวัดใกล้ชิดนักการเมืองท้องถิ่น กกต. กลางพร้อมที่จะดำเนินการให้โปร่งใส เพื่อให้เกิดความเชื่อถือ
นายวรพงษ์ สุธานนท์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC Consulting (ประเทศ ไทย) จำกัด หรือไพรส์วอเตอร์ เปิดเผยว่า การทุจริตในองค์กรยังคงเป็นปัญหาหลักในการประกอบธุรกิจของบริษัทไทย โดยจากการสำรวจอาชญากรรมทางเศรษฐกิจประเทศไทยประจำปี 57 (Thailand Economic Crime Survey) ที่ผ่านมาพบว่าร้อยละ 89 ของการทุจริต เกิดขึ้นจากการกระทำของคนในองค์กรซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับระดับเอเชียแปซิฟิกที่ร้อยละ 61 และระดับโลกที่ร้อยละ 56 โดยเฉลี่ย
นอกจากการทุจริตจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคเศรษฐกิจและการเงินแล้ว ปัญหาดังกล่าว ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง ภาพลักษณ์ คุณภาพของสินค้าและบริการ รวมถึงขวัญและกำลังใจในการทำงานของพนักงานในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง ต่อการทำทุจริตค่อนข้างสูง เช่น อุตสาหกรรมการผลิตที่ส่งผลกระทบไปทั้งระบบซัพพลายเชน ยิ่งถ้ามีผู้จัดการแผนกจัดซื้อ หรือฝ่ายควบคุมคุณภาพเข้ามามีส่วนร่วมกับการฉ้อโกงด้วย ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมามีตั้งแต่ความปลอดภัย การเรียกคืนสินค้า หรือความเสี่ยงอื่นๆ ที่ไม่สามารถคาดเดาได้
“ปัญหาการทุจริตในองค์กร ถือเป็นปัญหาร้ายแรงของภาคธุรกิจ ซึ่งหากไม่มีมาตรการรับมือ ที่จริงจัง จะลดประสิทธิภาพในการแข่งขันของประเทศในเวทีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะมาถึง เพราะการทุจริต เปรียบเสมือนโรคระบาดที่ติดต่อกันง่าย สามารถเกิดขึ้นได้ แม้กระทั่งในองค์กรที่มีการป้องกันอย่างรัดกุม เนื่องจากอาชญากรและผู้กระทำความผิดนำเทคนิคการทุจริตใหม่ๆ มาใช้อยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องใช้กระบวนการหลายๆ มิติมาทำงาน ซึ่งทาง PwC Consulting เองได้นำกรอบแนวทาง วิธีการ และประสบการณ์ทำงาน รวมถึงแบบจำลองในการปฏิบัติงาน ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศมาพัฒนาและปรับใช้ให้สอดคล้องกับกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทย”
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ว่า นักวิจากสถาบันศึกษาโรคติดสุราแห่งชาติสหรัฐ เผยผลการศึกษาในวารสารสมาคมการแพทย์อเมริกัน (JAMA) สำรวจพฤติกรรมการใช้กัญชาของชาวอเมริกัน ระบุว่า ราวร้อยละ 9.5 ของผู้ใหญ่ในสหรัฐ ยอมรับว่าใช้กัญชา เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากข้อมูลของปี 2544-2545 ที่อยู่ที่ร้อยละ 4.1 การเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้หญิง คนผิวดำ ชาวฮิสปานิก ผู้ที่อยู่อาศัยทางตอนใต้ของประเทศ รวมถึงกลุ่มวัยกลางคนและที่มีอายุมากกว่านั้น
การศึกษาจัดทำโดยการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย 79,000 คน เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ยาเสพติดและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยสัมพันธ์กับสภาพทางจิต เป็นระยะเวลากว่า 1 ปี ในช่วงเวลาระหว่างปี 2544-2545 และ ปี 2555-2556 โดย 23 รัฐในสหรัฐอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อจุดประสงค์ด้านการแพทย์ ขณะที่อีก 4 รัฐอนุมัติกฎหมายว่าด้วยการใช้เพื่อการผ่อนคลาย
รายงานยังระบุว่า ชาวอเมริกันราว 6.8 ล้านคน หรือราวร้อยละ 3 ของผู้ใช้กัญชา ได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการเสพติด ซึ่งครอบคลุมถึงพฤติกรรมการใช้ในปริมาณมากกว่าที่ควร มีความต้องการเลิกหรือควบคุมการใช้อย่างต่อเนื่องแต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ ละเลยเพิกเฉยต่อระเบียบกฎเกณฑ์ในที่ทำงานหรือโรงเรียนซึ่งเป็นผลมาจากการใช้กัญชา รวมไปถึงการแสดงอาการขาดยาด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการป้องกัน ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะว่า ควรมุ่งเน้นไปที่มาตรการเฝ้าระวัง และให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับอันตรายที่เกิดจากการใช้กัญชา รวมถึงความเสี่ยงต่อการเสพติดด้วย
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ว่า สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานเมื่อวันพุธว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้กำหนดระเบียบปฏิบัติข้อห้ามเพิ่มเติมสำหรับข้าราชการ ซึ่งรวมถึงการเล่นกอล์ฟ การกินดื่มอย่างหรูหรา รวมถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะบังคับใช้กับสมาชิกพรรคทั่วประเทศราว 88 ล้านคน
ข้อกำหนดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิรูปของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ต้องการให้ข้าราชการเป็นผู้ที่มีวิถีชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สมกับการเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชน เนื่องจากที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของข้าราชการถูกทำลายจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย ซึ่งส่วนใหญ่มักพัวพันไปถึงการทุจริตคอร์รัปชัน
นอกจากนี้ ระเบียบใหม่ยังห้ามไม่ให้มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ซึ่งอาจกลายเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่การแตกแยกภายในพรรค ห้ามไม่ให้สมาชิกพรรคปกปิดข้อมูลส่วนตัวที่จำเป็นต้องเปิดเผยหรือรายงาน รวมถึงห้ามไม่ให้มีการใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง
เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. และสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาในที่ประชุม สปท. ได้พิจารณาว่าจะทำการปฏิรูปเรื่องใดเร่งด่วน และเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ ซึ่งเรื่องที่ตรงกันทุกกลุ่มก็คือการป้องกันการทุจริต เพราะเกี่ยวกับการปฏิรูปทุกด้าน และเป็นเรื่องที่สำคัญ และคิดว่า สปท. จะให้ความสำคัญและหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณากันต่อไป โดยหลังจากนี้อาจจะมีการยกเรื่องการต่อต้านการทุจริตเป็นเรื่องเฉพาะขึ้นมา แล้วนำไปแทรกในการปฏิรูปด้านต่างๆ และความเห็นส่วนตัวคิดว่าอาจจะต้องยกเรื่องทุจริตขึ้นมาเป็นการปฏิรูปอีกด้านหนึ่งเลย และในเดือน พ.ย.นี้จะมีการตั้งกรรมาธิการขึ้นมาดูเรื่องการปฏิรูปด้านต่างๆ และอาจจะมีการตั้งกรรมาธิการดูเรื่องทุจริต ซึ่งก็ต้องแล้วแต่ที่ประชุม สปท. จะพิจารณา
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า การปฏิรูปมีหลายเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ที่จะต้องทำให้คนที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง เข้ามาอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม เรื่องการทุจริตในภาคการเมือง เรื่องการทุจริตในภาครัฐ ทั้งส่วนกลาง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน และต่อต้านการทุจริต ทั้งนี้เนื่องจากกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้แจ้งมายัง สปท. ว่าภายในเดือน พ.ย.นี้ หาก สปท. มีเรื่องปฏิรูปอะไรที่ต้องบัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญก็ให้ส่งไปให้ กรธ. พิจารณา โดยความเห็นส่วนตัวมองว่าหนึ่งในนั้นควรจะเป็นเรื่องการเลือกตั้ง และการเข้าสู่ตำแหน่งของนักการเมือง ซึ่งก็คือการปฏิรูปในด้านการเมือง
"ปัญหาการทุจริตขณะนี้ดีขึ้น รวมทั้งเรื่องภาพลักษณ์ประเทศ หากมีการทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง หลังจากนี้เราก็จะประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาการทุจริต แต่ถ้าการปฏิรูปด้านต่างๆ แต่ยังคงมีการทุจริตแทรกอยู่ก็จะทำให้การปฏิรูปในแต่ละด้านไม่ได้ผลเต็มที่ เพราะพื้นฐานจะต้องไม่มีเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น"นายปานเทพ กล่าว
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012