วงการเพลงลูกกรุง และวงการบันเทิงไทยสุดเศร้าอีกครั้ง หลังจากมีการแจ้งข่าวว่า “ชรินทร์ นันทนาคร” ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล - ขับร้อง) ประจำปี พ.ศ. 2541 เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 เวลา 02.23 น. ด้วยโรคชรา หลังเข้ารับการรักษามานานหลายเดือน ที่ โรงพยาบาลตำรวจ สิริอายุ 91 ปี
ชรินทร์ นันทนาคร เป็นศิลปินนักร้อง นักแสดง ผู้กำกับภาพยนตร์ และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชาวไทย ได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล - ขับร้อง) ประจำปี พ.ศ. 2541 เป็นสามีของอดีตนางเอกภาพยนตร์ เพชรา เชาวราษฎร์
ประวัติ ชรินทร์ นันทนาคร ชื่อเดิม อาฉึ่ง เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรของ นายบุญเกิด และนางจันทร์ดี งามเมือง เมื่อครั้งเป็นวัยเยาว์เป็นเด็กป่วยบ่อย ครอบครัวจึงเปลี่ยนชื่อให้เป็น ชรินทร์ ด้านการศึกษา ชรินทร์ นันทนาคร เรียนจบระดับประถมที่โรงเรียนดาราวิทยาลัย จากนั้นเรียนต่อระดับมัธยมการศึกษาจากโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ และโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการ กรุงเทพมหานคร
@จุดเริ่มต้นของการเป็นนักร้อง ชรินทร์ นันทนาคร เริ่มฝึกหัดร้องเพลงกับ ครูไสล ไกรเลิศ และเริ่มร้องเพลงสลับละครเวทีเรื่อง นางไพร เมื่อ พ.ศ. 2492 ด้วยเพลงดวงใจในฝัน และเริ่มบันทึกแผ่นเสียงจำหน่ายเป็นครั้งแรก และตามด้วยเพลงอิเหนารำพัน เมื่อ พ.ศ. 2494 จากนั้นย้ายกลับไปเชียงใหม่ ทำงานที่บริษัทกมล-สุโกศล สาขาเชียงใหม่ แล้วสำนักงานใหญ่เรียกมาทำงานที่กรุงเทพฯ ทำตำแหน่งแผนกบัญชี แผนกต่างประเทศ ไปจนถึงแผนกแผ่นเสียง จากนั้นทำงานเป็นเลขานุกรมที่องค์การยูซ่อม
ชรินทร์ นันทนาคร เป็นผู้ร่วมสร้างสรรค์เพลง สดุดีมหาราชา ซึ่งส่งผลให้ได้รับรางวัลกิตติคุณสัมพันธ์ สังข์เงิน สาขาใช้ศิลป์สร้างสรรค์ให้เกิดความรักชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ และชื่อของเขายังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ขับร้องเพลงไทยสากลผสมผสานกับเพลงไทยเดิม มีท่วงทำนองสูงต่ำเอื้อนด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์ชวนฟัง ออกเสียงอักขระได้ชัดเจน มีผลงานบันทึกแผ่นเสียงประมาณ 1,500 เพลง
ผลงานเพลงของ ชรินทร์ นันทนาคร ที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่นิยมสูงสุด ได้แก่ เพลงเรือนแพ, มนต์รักดอกคำใต้, หยาดเพชร, อาลัยรัก, ทาษเทวี, เด็ดดอกรัก, ผู้ชนะสิบทิศ, ที่รัก, นกเขาคู่รัก, แสนแสบ, ท่าฉลอม, สักขีแม่ปิง, ทุยจ๋าทุย, เพราะขอบฟ้ากั้น ฯลฯ ได้รับรางวัลพระราชทานแผ่นเสียงทองคำจากเพลง อาลัยรัก ก่อนจะผันไปเป็นผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ เมื่อ พ.ศ. 2508 มีผลงานในฐานะผู้ผลิตภาพยนตร์ทั้งหมดกว่า 19 เรื่อง โดยมีภาพยนตร์เรื่อง รักข้ามคลอง ที่ทำรายได้สูงที่สุด และภาพยนตร์ แผ่นดินแม่ ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของประเทศไทยที่สร้างในระบบ 70 มม. แต่หลังจากนั้นก็เลิกทำหนังไปเหตุเพราะวงการหนังที่เปลี่ยนไปจึงเกิดความเบื่อ
ชรินทร์ นันทนาคร ได้รับพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ว่า นันทนาคร" ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้ให้ความรื่นรมย์แก่ชาวเมือง" ชรินทร์ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล - ขับร้อง) ประจำปี พ.ศ. 2541ด้านชีวิตส่วนตัว
ชรินทร์ นันทนาคร สมรสครั้งแรกกับ สปัน เธียรประสิทธิ์ มีบุตรสาวสองคนคือ ปัญญ์ชลี (สมรสกับ เศรณี เพ็ญชาติ เป็นมารดาของ แหวน ปวริศา เพ็ญชาติ) และ ปัญชนิตย์ เธียรประสิทธิ์ (สมรสกับชาวต่างชาติ เป็นมารดาของ ปัญญริสา เธียรประสิทธิ์) ต่อมา ชรินทร์ นันทนาคร ได้จดทะเบียนหย่าและได้สมรสใหม่กับ เพชรา เชาวราษฎร์ อดีตนางเอกภาพยนตร์ชื่อดัง
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 เวลา 13.15 น. ณ ศาลา 9 และ 11 วัดธาตุทอง เขตวัฒนา กทม. นางปัญญ์ชลี เพ็ญชาติ บุตรสาว และ น.ส.ปัญญริสา เธียรประสิทธิ์ หลานสาวของนายชรินทร์ นันทนาคร และบุคคลใกล้ชิดครอบครัวได้เคลื่อนร่าง นายชรินทร์ นันทนาคร ศิลปินแห่งชาติ จากโรงพยาบาลตำรวจถึงวัดธาตุทอง มาบำเพ็ญกุศลที่ศาลา 9 วัดธาตุทอง ท่ามกลางความโศกเศร้าอาลัยของคนในครอบครัว คนสนิท และบุคลในแวดวงบันเทิงที่เคยร่วมงานอย่างเนืองแน่นโดยมีภริยา เพชรา เชาวราษฎร์ อดีตนางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง ร่ำไห้ด้วยความอาลัยซบหน้าลงกับมือ ชรินทร์ นันทนาคร คู่ชีวิตที่จากไป แทบขาดใจ สร้างความเศร้าสลดอาลัยแก่ผู้มาร่วมพิธีทุกคน ทั้งนี้ได้มีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ในวันพุธที่ 21 สิงหาคม 2567 เวลา 17.00 น. และ สวดพระอภิธรรม เวลา 18.00 น.ในการนี้ผู้แทนพระองค์ได้เชิญพวงมาลาพระราชทานของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พชรสุธาพิมลลัษณ พระบรมราชินี และ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ครอบครัวอย่างหาที่สุดมิได้
ในช่วงรดน้ำศพมีเพื่อนพี่น้องในวงการบันเทิงและวงการเพลงไทยมาร่วมแสดงความอาลัย อย่างคับคั่ง ทั้งนี้ทางครอบครัวได้จัดให้มีการฉายวิดีโอเทปคอนเสิร์ตและผลงานเพลงของนายชรินทร์ขับกล่อมแขกที่มาร่วมไว้อาลัยด้วย
ทางด้านการบำเพ็ญกุศลศพ สวดพระอธิธรรม นายชรินทร์ นันทนาคร จะมีไปจนถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2567 ในเวลา 18.30น. ณ ศาลา 9 และ 11 วัดธาตุทอง ทั้งนี้ กลุ่มเพื่อนศิลปินนักร้องและลูกศิษย์ของนายชรินทร์จะจัดร้องเพลงขับกล่อมร่างนายชรินทร์ และแขกที่มาร่วมไว้อาลัยทุกวันระหว่างเวลา 14.00น.-18.00น. จนกว่าเสร็จสิ้นกำหนดการบำเพ็ญกุศลศพ ส่วนพิธีพระราชทานเพลิงศพ ทางครอบครัวจะประกาศแจ้งให้ทราบต่อไป
เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ที่ศาลจังหวัดนราธิวาส ศาลนัดฟังคำสั่งชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีดำ อ578/2567 ที่น.ส.ฟาตีฮะห์ ปะจูกูเล็ง ผู้แทนนายอาแวเลาะ ปะจูกูเล็ง ผู้ตายที่ 1 กับพวกรวม 48คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตเเม่ทัพภาค 4 กับพวก รวม 9 คน เป็นจำเลยในความผิดฐาน ฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยทารุณโหดร้าย, พยายามฆ่า, หน่วงเหนี่ยวหรือกักชัง, ข่มขืนใจ โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย,เสรีภาพ จากกรณีเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 ที่ สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส หรือคดีตากใบซึ่งเกิดขึ้น จนทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 78 คน และบาดเจ็บ
โดยภายหลังโจทก์นำพยานขึ้นไต่สวนมูลฟ้องเเล้วศาลพิจารณาเเล้วเห็นว่า คดีมีมูล จึงมีคำสั่งประทับฟ้องคดีไว้พิจารณา เฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 1,3-6 และ 8,9ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงเเก่ความตาย หน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นเหตุให้ถึงเเก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80,83 มาตรา 310 วรรคสอง ประกอบมาตรา 290, 83 ยกฟ้อง ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขื่นใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นรับอันตรายสาหัสโดยกระทำทารุณโหดร้าย ส่วนจำเลยที่ 2 เเละ 7 ยกฟ้อง
ศาลนัดสอบคำให้การจำเลยเเละตรวจพยานหลักฐานเพื่อกำหนดวันนัดสืบพยาน ในวันที่ 12 กันยายน นี้ ซึ่งเป็นคดีจะหมดอายุความ20ปีวันที่ 25 ตุลาคมนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับจำเลยที่ถูกยื่นฟ้องทั้ง 9 คน ประกอบด้วย
พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ปัจจุบันเป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 1
พล.ท.สินชัย นุตสถิตย์ อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 (ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง) จำเลยที่ 2
พล.อ.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ยศในขณะนั้น อดีตผู้บัญชาการกองพล.5 รอ. จำเลยที่ 3
พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ อดีตผอ.ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้าและเป็นอดีต สว.จำเลยที่ 4
พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ยศขณะนั้นในฐานะอดีตผู้ผบช.ภ.9 อดีต สว.จำเลยที่ 5
พล.ต.ต.ศักดิ์สมหมาย พุทธกุล อดีตผกก.สภ.อ.ตากใบ(ในขณะนั้น) จำเลยที่ 6
พ.ต.อ.ภักดี ปรีชาชน อดีตรองผกก สภ.อ.ตากใบ ปัจจุบันเป็น รอง ผบก.ภ.จว.ปัตตานี (ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง)จำเลยที่ 7
นายศิวะ แสงมณี ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองผอ.กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้และเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ 8
และนาย วิชม ทองสงค์ ผวจ.นราธิวาส (ขณะนั้น) จำเลยที่ 9
23 ส.ค.67 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยหลังร่วมประชุมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วันนี้ถึงการหารือมาตการในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ว่าจะมีการแบ่งออกเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ซึ่งได้มีการเสนอว่าจะมีการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน โดยมีกลุ่มเปราะบาง ที่จะต้องเป็นการมอบเงินให้ทันที โดยใช้ช่องทางของรัฐบาลที่มีอยู่ ในขณะที่กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่พอมีกำลังซื้อ โครงการคูณ 2 ก็เสนอโครงการแบบคูณ 2 เช่นว่าถ้าคนกลุ่มนี้ใช้เงิน 100 บาท ก็จะได้เงินเพิ่มอีก 100 บาทจากรัฐบาลที่สนับสนุน สำหรับกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ก็จะดึงเงินจากในกระเป๋าของกลุ่มที่ 3 และสามารถลดหย่อนภาษีได้จากการซื้อ เพิ่งจะทำให้เงินเข้าสู่ระบบได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับในส่วนประเด็นการลดค่าใช้จ่าย เรื่องค่าไฟฟ้าทั้งเรื่องค่าไฟฟ้า หรือสินค้าประเภทที่มีความจำเป็นมาก และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ก็จะดูว่าส่วนไหนที่จะสามารถตรึงราคาได้ ส่วนเรื่องหนี้สินพบว่าขณะนี้ประชาชนมีหนี้สินค่อนข้างมาก โดยจะต้องมีการช่วยประชาชนลดปัญหาหนี้ลง รวมถึงการลดดอกเบี้ยต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ
สำหรับในส่วนของสินค้าราคาถูกที่เข้ามาตีตลาดในประเทศไทย ทำให้ SME เดือดร้อน จะต้องมีมาตรการในการศึกษาว่าสินค้าประเภทไหน ที่จะต้องดำเนินตอบโต้การทุ่มตลาด แต่ยืนยันว่าไม่ได้กีดกันแต่เพื่อสร้างความเป็นธรรมในเรื่องของการค้าการขาย นอกจากนี้ยังได้มีการหารือกับ นายกรัฐมนตรี เรื่องของกลยุทธ์ในการวางแผนระยะยาว ที่มองว่าประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรมไฮเทคให้เร็วที่สุด
ทั้งนี้เรื่องต่างๆ ที่ได้มีการหารือวันนี้นายกรัฐมนตรีก็ได้ตอบรับในทุกเรื่อง และแสดงถึงความตั้งใจที่จะเข้ามาทำงานและจับมือกับภาคเอกชนเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และอีกประการคือการวางแผนที่จะวางกลยุทธ์ให้เศรษฐกิจเติบโตไปได้ ขณะที่ในส่วนของนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ขอให้รอฟังแถลงการณ์จากทางรัฐบาลว่าจะมีมาตรดารอย่างไร แต่ในส่วนของหอการค้าเห็นด้วยกับการแจกเป็นเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบางเป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท ก่อนในเบื้องต้นดังที่หารือกันในวันนี้
ขณะที่ นายญนน์ โภคทรัพย์ รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า การหารือครั้งนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะรัฐบาลและเอกชนแบ่งแยกกันไม่ได้ สร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ถือว่าทั้งรัฐบาลและเอกชนมีเป้าหมายเดียวกัน ขณะที่มาตรการต่างๆ ทั้งการรองรับนักท่องเที่ยว ภาษี และการจัดการสิ่งแวดล้อม ก็มีความชัดเจนมากขึ้น
ด้าน นายกฤษณะ วจีไกรลาส กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวเสริมว่า นายกฯมีความสนใจอยากทำงานกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งทางหอการค้ามีกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่กว่า 7,000 คนทั่วประเทศจะมาช่วยขับเคลื่อนเรื่องซอฟต์ เพาเวอร์ และขยายผลไปยังต่างประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวพร้อมยกระดับ เมืองท่องเที่ยวต่างๆให้มีความเข้มแข็งสร้างรายได้ให้กับประเทศต่อไป
23 ส.ค.67 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ได้เสนอ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME 8 เรื่อง ผ่านมาตรการเร่งด่วน 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.เร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกนำเข้าจากจีน ทั้งมีมาตรฐาน มอก. และไม่มีมาตรฐาน หลังจากครึ่งปีแรก 2567 SME ปิดกิจการไปแล้ว 667 แห่ง จึงขอให้เข้มงวดการตรวจปล่อยสินค้านำเข้า เพื่อหาทางช่วยเหลือเอสเอ็มอี 2.ช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการ SME ทั้งค่าไฟฟ้า-ค่าพลังงาน โดยเร็วที่สุด รวมถึงการลดต้นทุนแรงงานตามที่ภาครัฐปรับเพิ่มค่าแรงโดยยึดกรอบไตรภาคีให้เหมาะสม รวมถึงเสนอตั้ง กรอ.ด้านพลังงาน เพื่อให้เอกชนเสนอแนะและกำหนดค่าไฟฟ้าอย่างมีเสถียรภาพ ไม่ต้องลุ้นปรับทุก 4 เดือน
3.ส่งเสริมการค้าชายแดนอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ เปิดด่านการค้าชายแดนถาวรหลายด่าน ปรับระบบการวิ่งรถบรรทุกเพื่อให้ทันต่อการส่งออก รวมถึงตัดถนนเส้นใหม่เชื่อมถนนหลักลดปัญหาการจราจร 4.ช่วยเหลือ SME ยกระดับไฟสู่ดิจิทัลรวมถึงการใช้ AI ในการประกอบกิจการด้วยการส่งเสริมดิจิทัลวันของสภาอุตสาหกรรม ให้เดินหน้าต่อจากเดิมที่กระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ทุ่มเงินให้ 1,000 ล้านบาท และสภาอุตสาหกรรม 1,000 ล้านบาท ผ่านกองทุนโกอินโนเวชั่น จึงอยากให้รัฐบาลผลักดันกองทุนนี้ต่อ รวมไปถึงการส่งเสริมให้SME ยกระดับคุณภาพสินค้าสู่ตลาดโลก ตลอดจนมุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจสีเขียวรองรับมาตรฐานใหม่ของโลก ด้วยการส่งเสริมให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจาก ธปท. 1 แสนล้านบาท และ 5.เสนอรัฐส่งเสริมมาตรการเม็กอินไทยแลนด์ หลังจากที่ที่ผ่านมาในปี 2566 สร้างส่วนแบ่งตลาดในประเทศได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15 มีเงินหมุนเวียนกว่า 100,000 ล้านบาท โดยอยากให้ขยับเพิ่มเป็นร้อยละ 50 และร้อยละ 80 ในอนาคต เพื่อทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ 550,000 ล้านบาท โดยนำยอดจากการซื้อสินค้าเม็กอินไทยแลนด์มาหักภาษีได้ 2 เท่า
ส่วนมาตรการระยะยาว สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เสนอให้ช่วยเหลืออุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากรถยนต์ไฟฟ้า เปลี่ยนแผนการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ เช่น เครื่องมือแพทย์ อาวุธยุทโธปกรณ์ และเครื่องบิน ที่มีมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนการส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เพื่อรองรับนโยบายซอฟพาวเวอร์ของรัฐบาลใหม่ การผลักดันศูนย์กลางจิวเวลรี่ในภูมิภาคแทนฮ่องกง รวมไปถึงเร่งแก้ไขกฎหมายที่มีความซ้ำซ้อนต้องแก้ไขเร่งด่วนนับ 100,000 ฉบับ เพื่อลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการได้ถึง 1.3 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ นายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอสนับสนุนแนวคิดรัฐบาลใหม่แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับกลุ่มเปราะบาง 1.45 แสนล้านบาท จำนวน 14.5 ล้านคน โดยเป็นการแจกเงินสด ใช้โมเดลเหมือนประเทศสิงคโปร์ เพื่อให้กลุ่มเปราะบาง คนพิการ และผู้สูงอายุ ใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ได้อย่างรวดเร็ว
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คนงานเหมืองในประเทศบอตสวานา ขุดพบโคตรเพชร น้ำหนัก 2,492 กะรัต (เพชรดิบ) ที่เหมืองเพชรในเมืองคาโรเว ของบริษัท “ลูคารา ไดมอนด์” (Lucara Diamond) ตั้งอยู่ห่างจากกรุง กาโบโรเน ไปทางเหนือราว 500 กม.
บอตสวานาเป็นประเทศผู้ผลิตเพชรอันดับ 1 ของโลก โดยผลิตมากถึง 20% ของเพชรทั้งหมด โดยเพชรก้อนนี้ถือเป็นเพชรใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ที่เคยถูกขุดพบ รองจากเพชรคัลลินัน (Cullinan diamond) น้ำหนัก 3,106 กะรัต ซึ่งพบที่ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อปี 2448 และถูกตัดแบ่งเป็น 9 ส่วน และหลายเม็ดถูกประดับอยู่บนมงกุฎของกษัตริย์อังกฤษ
เพชรก้อนนี้ยังเป็นเพรชขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยขุดพบในบอตสวานาด้วย โดยสถิติเดิมอยู่ที่ 1,758 กะรัต ขุดพบจากเหมืองแห่งเดียวกันนี้เมื่อปี 2562
วิลเลียม แลมบ์ ประธานบริษัท ลูคารา ไดเมนด์ กล่าวว่า นี่เป็นหนึ่งในเพชรขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยถูกขุดพบ โดยเพรชก้อนนี้ถูกตรวจพบด้วยเทคโนโลยี เมก้า ไดมอนด์ รีคัฟเวอรี เอ็กซ์เรย์ ซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2560 เพื่อจำแนกเพชรมูลค่าสูง ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายระหว่างการบดแร่
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการให้รายละเอียดเกี่ยวกับคุณภาพ หรือมูลค่าของเพชรก้อนนี้
แต่ หนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียล ไทม์ส ของสหราชอาณาจักร อ้างคำพูดของแหล่งข่าวใกล้ชิดกับ บริษัท ลูคารา ว่า เพชรก้อนนี้มีมูลค่าโดยประเมินอยู่ที่ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,381 ล้านบาท)