ข่าว
บริษัทเสาเข็มขุดเจาะ ยินดีชดใช้ เบนซ์ 350

จากกรณีเสาเข็มขุดเจาะหนัก 4 ตัน หลุดออกจากรถเครนหล่นทับกระโปรงหน้ารถเบนซ์ รุ่นอี 350 สีขาว ทะเบียน 2 กพ 5566 กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้สาวนั่งข้างคนขับได้รับบาดเจ็บ 1 ราย บริเวณไซต์งานก่อสร้างกลางถนน โครงการขยายผิวจราจรของถนนสุทธาวาส และสะพานข้ามถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวง บางขุนนนท์ เขต บางกอกน้อน กรุงเทพมหานคร

โดยมีรายงานข่าวเพิ่มเติมจาก พ.ต.อ.สำเริง อำพรรทอง ผกก.สน.บางขุนนนท์ ซึ่งได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่า น.ส.ปนัดดา อัครดำรงเดช ผู้เสียหายเจ้าของรถเบนซ์ พร้อมกับตัวแทนจาก บจก.เอส อาร์ ที พลาย ได้เดินทางมาเจรจาตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย โดยได้ความว่า ทาง บจก.เอส อาร์ ที พลาย ยินยอมที่จะชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด ขึ้นอยู่กับทางผู้เสียหายเองว่าต้องการอย่างไร จะเป็นเงินสดหรือรถคันใหม่

ทั้งนี้ พ.ต.อ.สำเริง ผกก.สน.บางขุนนนท์ ได้กล่าวเพิ่มเติมในกรณีเรื่องสินไหมทดแทนหลัง บจก.เอส อาร์ ที พลาย ได้ทำให้ผู้เสียหาย น.ส.ปนัดดา ได้รับบาดเจ็บและเกิดความหวาดกลัว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวน สน.บางขุนนนท์ จะนัดทั้งสองฝ่ายเพื่อมาเจรจากันอีกครั้งในภายหลัง และจะแจ้งไปยังบริษัทก่อสร้างให้มารับทราบข้อกล่าวหา กระทำการโดยประมาท ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและมีทรัพย์สินผู้อื่นได้รับความเสียหายต่อไป

‘สุริยะ’ พ้อสายเลือดเป็นพิษ หลานชายโยนซุกเผด็จการ

10 ส.ค.61 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวให้สัมภาษณ์ทางสปริงนิวส์โยงถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หลานชาย หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ว่า นายธนาธร เกิดมา พ่อแม่ทำบุญไว้เยอะ ปกติตอนคนเราเป็นเด็กอายุวัยเรียน ทุกคนต้องการเห็นภาพโลกสมบูรณ์แบบ สมัยตนตอนเรียนอยู่ ม.มหิดล มีเพื่อนร่วมรุ่นคือหมอมิ้ง (นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรองนายกรัฐมนตรีรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร) อยากเห็นโลก ทิศทางประเทศยึดอุดมการณ์เป็นหลัก ตอนเรียนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา มีการประท้วงทำให้เศรษฐกิจแย่ในช่วงนั้น

“พ่อแม่พี่ชายผมก็บอกว่า ไปประท้วงแล้วเดี๋ยวธุรกิจไปไม่ได้ใครจะส่งผมเรียน เราก็ไม่สน เห็นว่าบ้านเมืองต้องเป็นประชาธิปไตยก็ไปประท้วง แต่พอหลังจากเราพ้นวัยนี้แล้ว มาอยู่ในวัยธุรกิจ เราเห็นประท้วงก็ใจตุ๊มต่อมไม่น่าจะดี คนทั่วไปก็จะเป็นแบบนี้ คุณธนาธรเกิดมาพอดีทางบ้านมีฐานะดีอยู่แล้ว ช่วงที่เขาเป็นนักศึกษายังไงเค้าก็เห็นแก่ประเทศชาติ มีความเป็นประชาธิปไตยเต็มที่ ตอนที่ผมอยู่กับท่านนายกฯ ทักษิณ คุณธนาธรไปที่ธรรมศาสตร์ขึ้นเวทีวิจารณ์ท่านนายกฯ ทักษิณ คุณแม่เขา คุณสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ไปขึ้นเวทีไทยรักไทย นี่เรื่องจริงเลยนะครับ แล้วก็ท่านทักษิณก็มาถามว่าทำไมคุณคุมหลานคุณไม่ได้ ผมบอกคุณแม่เขายังคุมไม่ได้เลยครับ” นายสุริยะ กล่าว

นายสุริยะ กล่าวว่า ตนสรุปว่า คนซึ่งเป็นวัยหนุ่มอยากจะเห็นบ้านเมืองดี แต่พออายุเยอะขึ้น ทางพ่อแม่ทำธุรกิจไว้ก็สบายเหมือนเดิมไม่ต้องต่อสู้ จึงยืนหยัดในหลักการได้ นายธนาธรตอนที่พ่อไม่สบายไปรักษาที่อเมริกาตนก็ไป นายธนาธรก็ไป นายธนาธรก็ต่อว่าตนเสียเละว่าไปทำโครงการวางท่อแก๊ส ปตท.ภาคใต้ ทำลายสิ่งแวดล้อม มันเป็นเหรียญสองด้าน เรื่องสิ่งแวดล้อมมันกระทบแน่นอน แต่ประโยชน์ที่ได้รับจากท่อแก๊สมันมหาศาล ถ้ามองมุมเดียวก็ลำบาก ตนรู้เลยว่าถ้าพ่อเขาไม่เสีย เขาจะไปเดินสายเอ็นจีโอ ซึ่งช่วงนั้นประเทศไหนมีต่อต้านที่ไหนนายธนาธรไปหมด อยากจะเห็นโลกสมบูรณ์แบบ สรุปว่านายธนาธรเป็นคนดี

ถามว่า คนดีอย่างธนาธรจะไปรวมกับพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งได้หรือไม่ นายสุริยะ ตอบว่า ตอนนี้นายธนาธร ชี้ให้เห็นว่าประชาชนต้องเลือกระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย ให้เลือกข้างเรา ตนขอชี้แจงว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ใช่การเลือกข้าง แต่เป็นพรรคพลังประชารัฐหาทางออกให้ประเทศ จะเลือกก้าวพ้นการเมืองสองขั้วที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจการเมืองมาตลอดสิบปีนี้ เป็นทางเลือกว่าจะก้าวข้ามรึเปล่า การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว ฉะนั้นไม่ใช่เป็นการเลือกระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ

“ผมปวดใจมากที่หลานผมเอง ไปโยงผมว่า เป็นนักการเมือง แต่ปรากฏว่า ไปสนับสนุนเผด็จการ ตัวผมจะไปสนับสนุนเผด็จการได้ยังไง ในเมื่อตัวผมเองต้องหลุดจากตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม ต่อเนื่องเป็นตำแหน่งรองนายกฯ ด้วย หลังจากหลุดตำแหน่งยังไม่พอ ทางด้านของคณะปฏิวัติตั้งคณะกรรมการตรวจสอบมาตรวจสอบในโครงการต่างๆ ที่ผมทำ” นายสุริยะ ระบุ


‘นคร’ขู่ลาก 3 บิ๊กคสช. ‘ตู่-ป้อม-ป๊อก’ขึ้นศาล

10 ส.ค.61 นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) โพสต์คลิปรายการ “ตอบโจทย์” ทางช่อง “ไทยพีบีเอส” ซึ่งออกอากาศเมื่อวันอังคารที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา เวลา 21.40 - 22.00 น.พร้อมระบุข้อความว่า “ดาบแรก ก็เลือดสาด นคร ปะทะ หัวหน้าทีมกฎหมาย ปชป. แบบเต็มๆ ในรายการตอบโจทย์ทางช่อง ไทยพีบีเอส สำหรับคนที่ไม่ได้ชม”

ทั้งนี้ รายการดังกล่าวได้เชิญนายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และนายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พรรค ปชป. ร่วมสนทนาประเด็นที่นายนคร โพสต์เฟซบุ๊คขอโทษนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยร่วมให้มีการล้มรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย โดยมีนายวราวิทย์ ฉิมมณี เป็นผู้ดำเนินรายการ

โดยฝ่ายนายวิรัตน์ ได้พยายามชี้ให้เห็นว่า คำว่า “พวกเรา” ที่นายนครกล่าวหาว่ามีการสมคบคิดกับตุลาการเพื่อยุบพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนของนายทักษิณนั้น หมายถึงพรรคปชป.ใช่หรือไม่ เนื่องจากการที่ผ่านมามีเพียงพรรคปชป.พรรคเดียวที่ยื่นยุบพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน ขณะเดียวกันในช่วงนั้นนายนครเองยังเป็นสส.ในสังกัดพรรคปชป.มาถึง 4 สมัย

นายวิรัตน์ ยังชี้ว่า การยุบพรรคไทยรักไทยที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากการสมคบคิดตามที่นายนครกล่าวหา แต่สาเหตุเป็นเพราะนายทักษิณทำผิดกฎหมาย มีการจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อหนีเกณฑ์ 20 เปอร์เซ็นต์ และเอาสัมปทานดาวเทียมไปขายให้ต่างชาติ

“ที่นายนครบอกว่า พวกเรานั้นขอถามว่าหมายถึงใคร สมคบกับตุลาการระดับสูงนั้นชื่ออะไร เป็นใคร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกติ หรือศาลปกครอง นายนครบอกมา เพราะพูดแบบนี้ตุลาการเสียหายกระจุยกระจายหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคปชป.ยอมรับไม่ได้” นายวิรัตน์ กล่าว

ขณะที่นายนคร ไม่ได้ตอบคำถามว่า พวกเราหมายถึงพรรคปชป.หรือไม่ และตุลาการที่ว่านั้นคือใคร แต่นายนครก็ยืนยันว่ามีฝ่ายทหาร ฝ่ายข้าราชการบางคน และฝ่ายตุลาการบางคน มีองค์กรอิสระบางองค์กรบางคน และรวมไปถึงบริษัทห้างร้านที่เป็นทุนอนุรักษ์นิยม มีอยู่จริง และยืนยันที่จะต่อสู้เรื่องนี้ ให้ถึงที่สุด

“ผมขอถามพี่วิรัตน์ว่า พรรคปชป.บอยคอตการเลือกตั้ง 2 ครั้ง แล้วทหารก็ยึดอำนาจทั้ง 2 ครั้งเลยใช่หรือไม่” ทำให้นายวิรัตน์ไม่พอใจสวนกลับไปว่า นายนครอย่าถามนำ พร้อมยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน พร้อมกับตำหนินายนครไปพูดที่ไหน ไม่มีใครไปว่า แต่รอบนี้มาเผาพรรคปชป. พวกตนรับไม่ได้ ยืนยันว่าจะฟ้องแน่นอนเพราะอยากรู้ว่าตุลาการ และทหารที่บอกว่าสมคบคิดนั้นคือใคร ประชุมกันที่ไหน

ด้านนายนคร ตอบโต้กลับทันทีว่า ตนไม่อยากตอบโต้ในประเด็นปลีกย่อย เพราะธงของตนคือการขับไล่เผด็จการที่ปล้นอำนาจของประชาชนเข้าสู่ปีที่ 5 แล้วให้ออกไป กลับกรมกองไปได้แล้ว และถึงเวลาที่จะต้องช่วยกันนำประชาธิปไตยกลับคืนมา นำประเทศก้าวพ้นยุคมืดของเผด็จการ

นายนคร กล่าวว่า ตนขอยืนยันข้อเท็จจริงที่โพสต์ทุกตัวอักษรเพราะเขียนขึ้นจากประสบการณ์ทางการเมืองเกือบ 20 ปีว่า ขบวนการทั้งหมดมีอยู่จริง ต่อให้จะเป็นจะตาย หรือฟ้องตนกี่ร้อยกี่พันคดี ตนก็จะสู้ในความจริงนี้ พวกคุณยังไม่ต้องตอบบนเวทีนี้ เพราะจะถูกเปิดโปงในศาลแน่ ขออย่างเดียวว่าขอให้ผู้พิพากษาพิจารณาคดีโดยเปิดเผยด้วย

“ถ้าผมขอมีหมายเรียกจากศาลไปถึงอดีตนายกฯทั้งฝ่ายเผด็จการทหาร ฝ่ายประชาธิปไตย รวมกันประมาณ 8 คน และ คสช.ด้วย จะมีทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พวกคุณทุกคนจะต้องมาเบิกความในศาล และเบิกความต่อสาธารณะ และขอให้พูดความจริงด้วย เพื่อจะได้ปรากฏเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมือง”นายนคร กล่าว

ระหว่างการสนทนาทั้งสองฝ่ายต่างโต้เถียงกันอย่างดุเดือด มีการชิงไหวชิงพริบกันอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งชิงจังหวะการตั้งคำถามชี้นำเพื่อสร้างความได้เปรียบรุกไล่ฝ่ายตรงข้าม แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีใครยอมเพลี่ยงพล้ำตอบคำถามให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทางข้อกฎหมาย ทำให้หลายครั้งทางผู้ดำเนินรายการต้องเข้าไปตัดบทการโต้เถียงเพื่อสรุปประเด็นคำถามเข้าสู่หัวข้อการสนทนา


“บิ๊กตู่” ฮึ่ม ปธ.อาเซียนปีหน้า ต้องไม่มีการล้มประชุมอีก

(10 ส.ค.) ที่กระทรวงการต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ไทยประจำประเทศเพื่อนบ้าน 5 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (พม่า) เวียดนาม และมาเลเซีย พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดน 32 จังหวัด เพื่อมอบนโยบายการพัฒนาจังหวัดชายแดนในมิติด้านการต่างประเทศ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาจังหวัดชายแดนของไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี รวมถึงรับฟังข้อเสนอของเอกอัครราชทูตไทย และผู้ว่าราชการจังหวัด

ทั้งนี้ มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล รมช.ต่างประเทศ และ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมด้วย โดยก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีถ่ายภาพหมู่ร่วมกับคณะเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ไทยประจำประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดน ที่บริเวณลานน้ำพุ

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวมอบนโยบายในการประชุมว่า การมาในวันนี้ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะถือว่าสอดคล้องนโยบายของรัฐบาลที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะการไว้เนื้อเชื่อใจ การมีผลประโยชน์ร่วมกัน ลดความหวาดระแวง เมื่อมีพื้นที่เชื่อมต่อกับเพื่อนบ้าน เราต้องรู้เขารู้เรา ตามหลักการสงครามของซุนวู แต่วันนี้ไม่ใช่เรื่องของสงครามการสู้รบด้วยกำลังทหาร แต่เป็นสงครามทางการค้า เมื่อรู้เขารู้เราก็ต้องหาความต้องการที่ตรงกันให้ได้ระหว่างเรากับเพื่อนบ้านและทุกประเทศทั่วโลก วันนี้ความสัมพันธ์ของเรากับต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม การค้าการลงทุนมีการพัฒนาที่เติบโตไปด้วยกัน การบริหารราชการเองก็จะต้องปฏิรูป พร้อมเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ แต่เหล่านี้ยังมีอุปสรรคอยู่เพราะติดกฎระเบียบต่างๆ จึงต้องมีการปรับปรุงโดยทุกหน่วยงานทราบดีว่ามีข้อติดขัดอย่างไรต่อการปฏิรูป ดังนั้น ทุกหน่วยงานจึงควรเสนอข้อติดขัดต่างๆ มาให้รัฐบาลได้แก้ไขกฎหมาย

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า หลายประเทศมีผู้นำรุ่นใหม่ คณะรัฐมนตรีใหม่ จึงอยากให้ทุกคนได้ติดตามศึกษาแนวคิดใหม่ๆ ของแต่ละประเทศซึ่งส่วนใหญ่มาจากแนวคิดประชาธิปไตยตะวันตก รวมถึงประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม โดยขอให้ศึกษารายละเอียดให้ดี เหล่านี้เป็นเรื่องที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่ยังอยู่ในกรอบไม่ต่างจากของเดิมมากนัก เพราะผู้นำต่างก็สืบสานต่อกันมา ทั้งนี้ ในส่วนของการทำงานร่วมกับผู้นำรุ่นใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะบางอย่างได้ทำไปแล้ว บางอย่างกำลังทำอยู่ บางครั้งของเดิมก็ดีอยู่แล้วแต่เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล ต่างประเทศก็จำเป็นต้องเปลี่ยนท่าทีบ้างเล็กน้อย เราจะต้องสร้างความเข้าใจว่าสิ่งที่ทำมาแล้วถ้าเปลี่ยนแปลงทั้งหมดด้วยการเมืองก็จะอันตรายเพราะมีตัวอย่างอยู่

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ในการเจรจาข้อตกลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว และจะมีขึ้นในอนาคตต้องได้รับการติดตามทบทวนปรับปรุงให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ในการทำงานเราจะต้องคำนึงถึงอัตลักษณ์อาเซียน ไม่เช่นนั้นเราคงอยู่ไม่ได้จนถึงวันนี้ โดยเฉพาะประเทศไทยคงไม่อยู่รอดปากเหยี่ยวปากกาได้จนถึงวันนี้ นั่นคือเทคนิคและแนวคิดพื้นฐาน อยากให้ทุกคนไปทบทวนด้วย ทูตต่างประเทศจะต้องรู้ปัญหาและอุปสรรคของประเทศไทย เพื่อที่จะได้นำเสนอแก่ฝ่ายการเมืองของต่างประเทศ พร้อมหาแนวทางแก้ไข และทุกกระทรวงต้องมี Big deta เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการทำงาน โดยต้องมีการแยกประเภทฐานข้อมูลให้มีความชัดเจน ตรงต่อความต้องการของประชาชน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ความเป็นอาเซียนรู้อยู่แล้วว่าต้องระมัดระวัง เพราะอย่างไรก็คืออาเซียน อาเซียนนั้นพัฒนาแตกต่างจากตะวันตก เพราะทำได้ค่อนข้างช้า ค่อนข้างตกลงกันไม่ได้ เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลนโยบายต่างๆ ก็เปลี่ยน ต่างจากตะวันตกที่ไม่ค่อยเปลี่ยนมากนัก มีเพียงนโยบายไม่กี่เรื่องที่จะเปลี่ยน จะเห็นว่าในทางตะวันตกไม่ค่อยมีปัญหารายละเอียดในเวทีต่างประเทศ อาเซียนเป็นประเทศที่มีรายได้น้อย มีปัญหามาก ทำให้เรื่องหลักๆ เดินหน้าไม่สำเร็จเสียที เรายังไปไม่ถึงจุดที่ชาติตะวันตกเป็น จะทำอย่างไรที่จะไปถึงจุดนั้นได้ แม้หลายแนวคิดจะดีแต่เรายังไปไม่ถึง

“มีหลายฝ่ายอยากให้เราไปถึงตรงโน้น เอาเรื่องราวนั้นมาใส่เข้าไป แล้วปัญหาเราที่มันมีมากอยู่แล้วก็มากขึ้นไปเรื่อยๆ กระทั่งหาทางออกไม่ได้ นั่นก็ทำให้ทำงานไม่ได้ ทุกคนรู้หมด นักวิชาการ สื่อมวลชน แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร และไม่รู้ในสิ่งที่เราทำไปแล้ววันนี้ เขาต่างพูดไปด้วยหลักการ ผมจะไปทะเลาะกับเขาไม่ได้ ทุกคนจะต้องช่วยกัน เพราะนี่คือรายละเอียดที่จะทำให้งานสำเร็จ สิ่งสำคัญที่สุดในนโยบายต่างประเทศ คือ ทำอย่างไรที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่อาเซียนทางพฤตินัย ไม่ใช่การกล่าวอ้างว่าเราจะเป็นผู้นำอาเซียน เราจะต้องเป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลงในอาเซียนให้ได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การประชุมอาเซียนในครั้งหน้าในเวลาอันไกลนี้ อะไรที่เป็นปัญหาและอุปสรรคจะต้องหรือร่วมกันภายใต้หลักการ โดยต้องทำวันนี้ เพราะประเทศไทยกำลังจะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า ตอนนั้นใครจะเป็นรัฐบาลก็ไม่รู้ แต่ไทยก็จะเป็นเจ้าภาพอยู่ดี ขออย่าให้เกิดปัญหาเหมือนกับการประชุมอาเซียนที่ประเทศไทยครั้งที่ผ่านมาที่ประชุมไม่ได้ ไปทบทวนกันดูว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า ในการทำงานวันนี้ต้องใช้กลไก กฎหมาย วิธีการใหม่ เพื่อให้ไทยมีที่ยืนในเวทีโลก การทำงานจะต้องยึดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไทยนิยมยั่งยืน ประชารัฐ ไม่ใช่ประชานิยม ไม่ใช่นโยบายที่จะสืบทอดอำนาจ


คุมตัวดาราหนุ่ม “บูม” โกง 700 ล้าน ฝากขัง

(10 ส.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.35 น. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. สั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป.ควบคุมตัว นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือบูม อายุ 27 ปี ดารานักแสดงหนุ่ม อยู่บ้านเลขที่ 46/22 ม.8 ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1694/2561 ลง 26 ก.ค. 2561 ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน นำส่งศาลอาญาเพื่อฝากขังผัดแรก หลังจับกุมตัวได้ที่บริเวณชั้น 2 ห้างเมเจอร์รัชโยธิน ถ.พหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ขณะที่กำลังถ่ายทำละครเรื่องใหม่

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กองปราบปรามได้รับแจ้งจากนายอาร์นี ออตตาวา ซาอ์ริมาอ์ ชาวฟินแลนด์ ให้ร่วมลงทุนเหรียญบิตคอยน์ในประเทศไทย โดยอ้างว่าจะนำเหรียญดังกล่าวไปเปลี่ยนเป็นอีกสกุลหนึ่งเพื่อลงทุนต่อยังตลาดหลักทรัพย์และนำไปใช้ในบ่อนการพนันที่มาเก๊า แต่กลุ่มผู้ต้องหากลับนำเงินดังกล่าวไปหมุนเวียนใช้จ่ายภายในครอบครัว และใช้ซื้อที่ดิน ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้ 3 ราย ประกอบด้วย นายจิรัชพิสิษฐ์, นายปริญญา จารวิจิต พี่ชาย และ น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต พี่สาว ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน กระทั่งตามจับกุมนายจิรัชพิสิษฐ์ได้ดังกล่าว ส่วน นายปริญญา และ น.ส.สุพิชฌาย์ ยังอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมตัว นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบบัญชีที่เกี่ยวข้องกว่า 40 บัญชี และได้อายัดเงินที่หลอกลวงได้แล้วกว่า 200 ล้านบาท

รายงานแจ้งว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวดาราหนุ่มไปฝากขังที่ศาลนั้นได้มีกลุ่มเพื่อนๆ และแฟนคลับเดินทางเข้าเยี่ยมให้กำลังใจและพูดคุยที่บริเวณหน้าห้องควบคุม ขณะที่เจ้าตัวมีสีหน้าที่วิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม นายจิรัชพิสิษฐ์ยังคงให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวน โดยยืนยันตามคำให้การเดิมคือไม่มีส่วนรู้เห็น และอ้างว่าบัญชีดังกล่าวถูกพี่ชายนำไปใช้ ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้ยื่นคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากมีมูลค่าความเสียหายสูง เกรงผู้ต้องหาจะหลบหนี

พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป.กล่าวว่า สำหรับตัว น.ส.สุพิชย์ฌา เบื้องต้นได้มีการประสานผ่านคนกลางมาเพื่อขอเข้ามอบตัว หลังจากทราบข่าวว่าน้องชายถูกจับกุม แต่ยังไม่ได้มีการระบุวันเวลาสถานที่ในการเข้ามอบตัว อย่างไรก็ตาม ทราบว่าขณะนี้เจ้าตัวยังอยู่ในประเทศไทย นอกจากนี้ จากการสืบสวนมีข้อมูลพอที่จะสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีกประมาณ 5-6 คน ซึ่งจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องแต่ไม่ใช่คนในวงการตลาดหลักทรัพย์ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์

ด้าน พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป.กล่าวว่า ในส่วนของตัวนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ บุคคลที่มีชื่อเสียงในตลาดหลักทรัพย์ ที่มาขอเข้าพบเพื่อเข้าชี้แจงว่าตนเองตกเป็นเหยื่อของขบวนการนี้เช่นเดียวกัน แต่จากการสืบสวนรวบรวมหลักฐาน เจ้าหน้าที่ตำรวจพบข้อมูลที่เชื่อได้ว่านายประสิทธิ์อาจจะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน นอกจากนี้ จากการตรวจสอบ 3 บริษัทที่มีการเปิดทั้งในประเทศไทยและฮ่องกงยังพบว่า นายปริญญาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว

พ.ต.อ.ชาคริตกล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบทะเบียนการค้าทั้งสามบริษัท พบว่ามีคนในตระกูลจารวิจิตร เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย และบางบริษัทที่มีการแอบอ้างกับผู้เสียหายนั้นไม่มีตัวตนจริง นอกจากนี้ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายดังกล่าวอีกหลายบริษัท ซึ่งตำรวจกองปราบปรามอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่า นายปริญญาเคยมีประวัติถูกออกหมายจับในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ในพื้นที่ สน.วัดพระยาไกร อีกด้วย

'เณรคำ' จากพระนักรัก มีเมีย 8 คนสู่คุก 114 ปี

นายวีรพล สุขผล อายุ 39 ปี หรืออดีตพระวิรพล ฉัตตโก หรือที่รู้จักกันในนาม "หลวงปู่เณรคำ" ซึ่งเป็นอดีตพระนักรักผู้อื้อฉาวที่มีเมียถึง 8 คนและลูกอีก 2 คน มีรถยนต์หรูหลายคัน พร้อมเครื่องบินส่วนตัว สร้างบ้านราคาหลายสิบล้านให้พ่อแม่ เมีย และลูก วันนี้ศาลอาญา ถ.รัชดาพิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาสั่งจำคุก รวมทั้งสิ้น 114 ปี จนหลายคนที่เริ่มจะลืมชื่อ "เณรคำ" นี้ไปแล้วกลับต้องมาทบทวนความจำกันอีกครั้ง

สำหรับอดีตพระวิรพล ฉัตตโก หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ นามเดิมว่า "วิรพล สุขผล" เกิดที่บ้านทรายมูล ตำบลทรายมูล อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2522 เป็นบุตรคนที่ 4 จากพี่น้องทั้ง 5 คนของนายรัตน์ สุขผล และนางสุดใจ สุขผล

ด.ช.วีระพล สุขผล บวชเป็นสามเณรเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2537 ขณะนั้นอายุได้ 15 ปี ที่วัดภูเขาแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีหลวงปู่โชติ อาภัคโค เป็นพระอุปัชฌาย์ และเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2542 ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า "ฉัตติโก" หลังจากอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ต่อมาหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ได้ออกเดินทางมายังจังหวัดศรีสะเกษ มีตำแหน่งเป็นประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ตำบลยาง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนที่จะเกิดเรื่องฉาวมีภรรยาถึง 8 คน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และฐานฟอกเงิน

หลังเกิดเรื่องราวฉาวโฉ่ขึ้นมานายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความชื่อดัง ได้นำข้อมูลเข้าร้องทุกข์ต่อกองปราบปรามให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้สืบหาข้อมูลจนทราบว่ามีการทำผิดวินัยสงฆ์อย่างร้ายแรง ถึงขั้นต้องอาบัติปาราชิก จึงอายัดบัญชีเงินฝากกว่า 21 บัญชี วงเงินกว่า 200 ล้านบาท พร้อมทั้งถูกดีเอสไอ ออกหมายจับ 5 ข้อหา คือ 1.พรากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี 2.กระทำชำเราเด็กหญิง 3.ฉ้อโกงประชาชน 4.ความผิดฐานฟอกเงิน และ 5.ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฐานอวดอุตริมนุสธรรมผ่านเว็บไซต์

ขณะที่อดีตเณรคำ ได้หลบหนีไปกบดานอยู่ที่สหรัฐอเมริกา พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น "พระวิมุติญาณ" แห่งวัดป่าขันติบารมี ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง มีเนื้อที่ประมาณ 2 เอเคอร์ เมืองซานติเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีสถานภาพเป็นผู้ลี้ภัย ซึ่งก็ยังมีภาพทำกิจนิมนต์อย่างพระสงฆ์ ถูกเผยแพร่ออกมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งวันที่ 22 กรกฎาคม 2559 ทางเจ้าหน้าที่สหรัฐฯจับกุมตัวได้ที่ย่านริเวอร์ไซด์ อิส ลอสแอนเจลิส จนวันที่ 15 กรกฎาคม 2560 ศาลชั้นต้นแคลิฟอร์เนีย มีคำสั่งให้ส่งตัวนายวิรพล สุขผล เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ตาม พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 เพื่อขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ให้กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย

ต่อมานายวีรพล สุขผล ได้ถูกส่งตัวมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 ด้วยสายการบินไทย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ก่อนที่จะสรุปสำนวนส่งตัวให้อัยการส่งฟ้องศาล แต่นายวีรพล กลับให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาพร้อมขอไปให้สู้คดีในชั้นศาล

จนล่าสุดวันนี้ 9 สิงหาคม 2561 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาสั่งจำคุกนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระวิรพล ฉัตตโก หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ อายุ 39 ปี จำเลยในความผิดฐานตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ปี 2552, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และฐานฟอกเงิน รวมจำคุกทั้งสิ้น 114 ปี

โดยอัยการโจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552-27 มิถุนายน 2556 ต่อเนื่องกัน จำเลยอาศัยความเป็นพระภิกษุในฐานะประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จังหวัดศรีสะเกษ และความศรัทธาของประชาชน โดยจำเลยได้บังอาจหลอกลวงว่า จำเลยนิมิต (ฝัน) พบองค์อินทร์ ขอให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และสร้างมหาวิหารครอบองค์พระโดยใช้หยกเขียวแท้จากประเทศอิตาลี และสร้างเครื่องทรงพระแก้ว 3 ฤดูด้วยทองคำแท้ ก่อสร้างเสาวิหารแก้ว 199 ต้นๆละ 3 แสนบาท รูปหล่อพระทองคำ (รูปเหมือนจำเลย) ก่อสร้างวิหารสำหรับประชาชนที่วัดป่าขันติธรรม สาขา 1 จังหวัดอุบลราชธานี สร้างวัดที่จังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งการจัดซื้อเรือจากสหรัฐฯ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมปี 2554 โดยจำเลยประกาศชักชวนให้ประชาชน นำเงิน ทองคำ และทรัพย์สินมาบริจาคกับจำเลย ที่วัดป่าขันติธรรม โดยจัดตู้บริจาค 8 ตู้

นอกจากนี้ จำเลยยังได้ใช้เว็บไซต์ เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการจัดสร้างสิ่งต่างๆ จนมีผู้เสียหาย 29 ราย (เฉพาะที่มาร้องทุกข์) หลงเชื่อว่าจำเลยเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เข้าร่วมบริจาคทองคำ เงินสด และทรัพย์สินอื่นๆ รวมมูลค่า ทั้งสิ้น 28,649,553 บาท แล้วจำเลยโอนเงิน ที่ได้จากการฉ้อโกงไปซื้อรถยนต์หรู 3 คัน รถยนต์โตโยต้าแคมรี หลายสิบคัน รถยนต์ตู้โตโยต้า 2 คันโดยทุจริตทั้งที่ความจริงแล้วจำเลยมิได้ก่อสร้างศาสนสถานใดๆ เลยตามที่กล่าวอ้าง และมิได้เป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแต่อย่างใด เพราะจำเลยต้องปาราชิก พ้นจากความเป็นพระภิกษุ เนื่องจากมีเพศสัมพันธ์ กับหญิงอื่นจนตั้งครรภ์ เหตุเกิดที่จังหวัดศรีสะเกษ, อุบลราชธานี เชียงใหม่ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และ 343 ด้วย

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ไม่มีเหตุปรักปรักปรำใส่ร้ายจำเลยให้ต้องรับโทษ ทั้งศาลแพ่งได้พิพากษาให้ริบเงิน และทรัพย์สินจำนวน 43 ล้านบาทเศษของจำเลย ที่ได้จากการกระทำผิดตกเป็นของแผ่นดิน นอกจากนี้ ฟังได้ว่าจำเลยมีการใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยเกินกิจของสงฆ์ นั่งเครื่องบินเช่าเหมาลำ นำเงินไปซื้อรถยนต์หลายสิบคันที่ได้จากการฉ้อโกง โดยจำเลยไม่มีพยานหลักฐานมาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อต่อสู้จำเลยฟังไม่ขึ้น เชื่อว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 114 ปี แต่ตามกฎหมายเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุกสูงสุดตาม ม.91(2) ได้ 20 ปี และให้ชดใช้เงินกับผู้เสียหายกับ 29 ราย ตามจำนวนที่ได้ฉ้อโกงไปด้วย