ข่าว
“ติ่ง”ปรี๊ดแตก “คลิปหลุดไม่ใช่กู...จบนะ!” ชี้ เป็นฝีมือนายทหารรุ่นเดียวกับ"ทักษิณ"

จากกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปหญิงสาวหน้าคล้าย "ติ่ง-มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข" รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กำลังมีเพศสัมพันธ์กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับเจ้าตัวเป็นอย่างมาก

ทำให้เจ้าตัวออกมาชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าหญิงสาวในคลิปนั้นไม่ใช่เธออย่างแน่นอนเนื่องจากผู้หญิงในคลิปนั้นมี"รอยสัก"บริเวณหัวไหล่ ซึ่งเธอนั้นไม่มีรอยสักแต่อย่างใด

นี่คือหลักสูตรความ....ของเสื้อแดง ที่ไซเบอร์เสื้อแดงเรียนจบด้วยวิชาสร้างข้อมูลเท็จ ใส่ร้ายผู้อื่น ดิ้นพล่านเพราะจะไร้แผ่นดินซุกหัวนอน

เสื้อแดงแก่ระดับพลอากาศเอกเพื่อนเตรียม10 รุ่นทักษิณ ก็ร่วมขบวนส่งข้อมูลเท็จทางไลน์กลุ่มหลักสูตรวปอ. กำลังจะโดนหมายเรียก และเสื้อแดงตัวเล็กๆส่งข้อมูลเท็จทางไลน์กลุ่มได้ข่าวว่าเจอยำตีนอยู่ยังไม่ฟื้น

บาปกรรมจะไปตกยังลูกหลาน แต่เวรที่กระทำไม่ต้องรอตายด้วยมอเตอร์ไซค์แหกโค้งแล้วผีบังไม่มีใครช่วยทันจนเลือดไหลหมดตัว..แต่จุดจบคือทั้งหมดจะถูกทลายไม่เหลือซากของขบวนการ

ทำไม! ถูกบล็อคเว็บเยอะ ถูกจับเยอะเหรอ..อ่อ..ลืมบอกไปเมื่อวานเขาจับตัว ล็อคได้คาคอมพิวเตอร์ได้ที่โคราช ญาติใครก็ไปดูเองอย่ามัวมาวุ่นวายป้ายสีตัดต่อภาพเท็จใส่ร้ายเพื่อสกัดมัลลิกา บอกเลย..ทำอะไรกูไม่ได้หรอก

เพราะแผ่นดินนี้คือที่ยืนของกู..มาเมื่อไรก็เจอกันที่แผ่นดินนี้

กูอยู่นี่ จำไว้!!!

ตร.ฝรั่งเศสเด็ดหัว 3คนร้าย เหตุยิงนิตยสาร จี้ตัวประกัน

เสียงปืน-ระเบิดดังขึ้นในพื้นที่ 2 จุดที่กลุ่มคนร้าย โยงเหตุยิงโจมตีนิตยสารชาร์ลี เอบโด เข้าบุกจี้ตัวประกัน มีรายงานถูกตร.ยิงเสียชีวิตแล้ว เป็นสองพี่น้องชาวแอลจีเรีย และชายผิวสี อีกหนึ่งที่ยิงตำรวจหญิงเสียชีวิตเมื่อวานนี้...

ความคืบหน้าเหตุบุกจับตัวประกัน 2 แห่งในฝรั่งเศส โดยจุดแรก ในร้านโกเช่ร์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งเป็นร้านของชาวยิว ย่านปอรต์ เดอ แวงซองน์ ทางตะวันออกชานเมืองกรุงปารีส ซึ่งชายผิวสี คาดว่าเป็นนายอเมดี คูลลิบาลีย์ และน่าจะเกี่ยวข้องกับเครือข่ายที่บุกโจมตีนิตยสารชาร์ลี เอบโด ได้บุกจี้ตัวประกัน 5 คนภายในร้าน

ล่าสุดมีรายงานว่า ได้มีเสียงปืนและระเบิดดังขึ้น 4-5 ครั้ง พร้อมกลุ่มควัน โดยสื่อท้องถิ่นของฝรั่งเศสรายงานว่า ผู้ก่อเหตุจับตัวประกันรายนี้ได้เสียชีวิตแล้ว และมีรายงานว่า เป็นคนๆเดียวกันที่ก่อเหตุยิงตำรวจหญิงเสียชีวิตเมื่อวันก่อน นอกจากนี้ มีรายงานล่าสุดว่า เบื้องต้นตัวประกันอย่างน้อย 3-4 คนในร้านชำเสียชีวิตด้วยเช่นกัน ส่วนหญิงสาว ซึ่งร่วมจับตัวประกันในร้านดังกล่าวได้หลบหนีไปได้

ขณะที่อีกจุดหนึ่ง ซึ่ง 2 คนร้ายสองพี่น้องครอบครัวชาวแอลจีเรียในกรุงปารีส คือนายซาอิด คูอาชี่ วัย 34 ปี และนายเชอรีฟ คูอาชี่ วัย 32 ปี ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุโจมตีนิตยสารชาร์ลี เอบโด ได้บุกจับตัวประกันหญิงในอาคาร “ซีทีดี ปริ้นติ้ง” เมืองแดมมาร์แตง ออ โกเอล ชานกรุงปารีสของฝรั่งเศส มีรายงานจากสำนักข่าวเอเอฟพีล่าสุดว่า ได้เสียชีวิตแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ออกมายืนยันแล้ว ขณะที่ตัวประกันหญิงมีรายงานว่าปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม ภายหลังเหตุวิกฤติยุติลง ทีมสำนักโฆษกของนายเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล ระบุการสนทนาระหว่างนายเบนจามิน เนทันยาฮู และนายฟรองซัวส์ ออลลองด์ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งมีการยืนยันตัวประกันในร้านชำเสียชีวิตจำนวน 4 คน และมีตัวประกัน 15 คนที่รอดชีวิต.


“ยิ่งลักษณ์” โต้ข้อกล่าวหา พ้นตำแหน่งมาแล้ว 3 ครั้ง

อดีตนายกฯ “ปู” ตื่นเต้นระดมพลแจงคดีถอดถอนตั้งแต่ไก่โห่ “วิชา” ร่ายยาวชำแหละจำนำข้าว ซัดทำเจ๊งยับกว่า 3.32 แสนล้าน ถลุงจนถังแตกหมดเงินทำโครงการต่อ ชี้จุดตายไม่จ่ายเงินชาวนาตอกย้ำความผิดเตือนแล้วไม่ฟัง ยก “บิ๊กตู่” ผู้นำในฝันป้องทุจริต สำทับอย่าเพิ่งมโนว่าจะรอด “ยิ่งลักษณ์” โต้แหลก ป.ป.ช.อคติเพราะมีวาระแฝง ไม่คิดฟังความรอบด้าน อ้อน สนช.ขอความเป็นธรรม อย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองใคร ทำทุกขั้นตอนโปร่งใสไม่มีเกียร์ว่าง เฉ่งอนุ กก.ปิดบัญชีฯมั่วตัวเลข โยน กปปส.ตัวการขวางจ่ายเงิน เตือนถ้าถูกถอดถอนก็เท่ากับดับฝันชาวนา ไร้นิติธรรมปรองดองจะเกิดได้ไง

ต่อมาเวลา 09.09 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงเดินทางถึงอาคารรัฐสภา โดยรถโฟล์กสวาเกน เลขทะเบียน ฮน 333 กรุงเทพมหานคร ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มในชุดเสื้อสูทสีดำทับเสื้อสีชมพู ทันทีที่มาถึงมีเจ้าหน้าที่รัฐสภา 2 คนมอบดอกกุหลาบสีแดง 5 ดอก และพวงมาลัย 2 พวงเพื่อให้กำลังใจ โดยมีทีมทนายความและคนใกล้ชิดมาให้กำลังใจจำนวนมาก อาทิ นายนิวัฒน์ธำรงค์ บุญทรงไพศาล อดีตรองนายก-รัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯและ รมว.คลัง นายวราเทพ รัตนากร อดีต รมต.ประจำนายกรัฐมนตรีและ รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีต รมช.ศึกษาธิการ นายยรรยง พวงราช อดีต รมช.พาณิชย์ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง อดีตรองเลขาธิการนายกฯ นายพิชิต ชื่นบาน นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง นายวิม รุ่งวัฒนะจินดา ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสั้นๆว่า “พร้อมจะชี้แจงรายละเอียดและขอให้สื่อติดตามด้วย” จากนั้นทั้งหมดตรงขึ้นไปยังห้องรับรองชั้น 2 อาคาร 1 รัฐสภา ท่ามกลางการอารักขาของทีม รปภ.ส่วนตัวอย่างเข้มงวด

กระทั่งเวลา 10.00 น. จึงเริ่มประชุม สนช. มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยนายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะเจ้าของสำนวนคดี แถลงเปิดคดีว่า ป.ป.ช.ศึกษาโครงการรับจำนำข้าวมาก่อนที่จะมีผู้มาร้องเรียนนานแล้ว จึงไม่ใช่การเร่งรีบรวบรัดดำเนินการแบบสองมาตรฐาน ซึ่งการกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้าข่ายส่อไปในทางทุจริต การทุจริตสมัยใหม่มิใช่เพียงการรับสินบน ฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่รวมถึงความประพฤติที่ขัดต่อหลักคุณธรรมจริยธรรมด้วย ยืนยันว่า ป.ป.ช.อำนวยความยุติธรรมให้เต็มที่ ให้โอกาสอย่างถึงที่สุด ถึงขั้นให้ทีมทนายความมาตรวจสอบพยานหลักฐานของ ป.ป.ช.แทนผู้ถูกกล่าวหาได้ ซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์มาก่อน

จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงโต้แย้งข้อกล่าวหาว่า ขอความเป็นธรรมและโอกาสต่อ สนช. เพราะมีประเด็นสำคัญที่จะกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง 2 ประเด็น คือ 1.ตนพ้นจากตำแหน่งนายกฯและถูกถอดถอนมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรกจากการยุบสภาฯ ครั้งที่สองจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ครั้งที่สามจากประกาศ คสช. ทุกวันนี้ไม่เหลือตำแหน่งให้ถูกถอดถอนแล้ว หากดำเนินการต่อไปจะเป็นการถอดถอนซ้ำซ้อน สร้างบรรทัดฐานการเมืองและกฎหมายที่ไม่ถูกต้อง 2.การพิจารณาของ สนช.จะกระทบถึงชาวนาที่มีฐานะยากจน มีความหวังอยู่กับนโยบายรัฐบาล การพิจารณาถอดถอนจึงมีผลต่อการจัดทำนโยบายช่วยเหลือชาวนาในอนาคตด้วย อาจเป็นการตัดความหวังและอนาคตชาวนาไทย

ยืนกรานปฏิบัติหน้าที่โปร่งใส

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ยืนยันว่าบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์ ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบราชการ ข้อสรุปของ ป.ป.ช.ยอมรับว่าพยานหลักฐานยังไม่ปรากฏชัดเจนว่าตนมีส่วนร่วมหรือสมยอมให้เกิดการทุจริต โครงการรับจำนำข้าวเป็นสัญญาประชาคมที่รัฐบาลต้องทำตามที่หาเสียงไว้ และไม่ใช่โครงการใหม่เกิดมาแล้ว 33 ปี ตั้งแต่ปี 2524 สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่การดำเนินการมีปัญหาทำให้โครงการไม่บรรลุเป้าหมาย รัฐบาลตนจึงนำปัญหามาปรับปรุงพัฒนา ดังนี้ 1.กำหนดราคาจำนำ 15,000 บาทต่อตัน เพื่อให้ชาวนามีรายได้ที่เป็นธรรม 2.จำนำข้าวทุกเมล็ด เพื่อให้ราคาข้าวสูงขึ้นทั้งระบบ 3.ปรับปรุงกลไกข้าวให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น 4.วางมาตรการเสริมประสิทธิภาพป้องกันการทุจริต ซึ่งนโยบายช่วยเหลือชาวนาเป็นการลงทุนของประเทศที่ไม่คิดกำไรหรือขาดทุน แต่มีบางคนบอกว่าอย่าไปอุดหนุนชาวนา จะทำให้ประเทศเสียหาย เป็นเรื่องน่าเสียใจ ขอให้ทุกคนมองประโยชน์โครงการเชิงเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่มิติค่าใช้จ่าย การช่วยชาวนาไม่ใช่เรื่องผิด

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวอีกว่า มีข้อโต้แย้ง ป.ป.ช. 4 ประเด็น คือ 1.เรื่องข้าวหาย ซึ่ง อตก.และ อคส. ที่ทำหน้าที่ดูแลข้าวยืนยันการมีอยู่จริงของข้าว การตรวจนับล่าสุดของรัฐบาลชุดนี้ พบว่ามีข้าวหายเพียง 2 แสนตัน ไม่ใช่ 2.59 หรือ 2.89 ล้านตัน ดังนั้นข้อมูลของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีจึงไม่ถูกต้อง 2.มูลค่าสินค้าคงเหลือมีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องอนาคตที่ไม่มีความแน่นอน ขึ้นอยู่กับราคาขายจริงเท่านั้น 3.การคิดค่าเสื่อมราคาของแต่ละหน่วยงานไม่ตรงกัน เพราะมีวิธีคิดต่างกันทำให้มูลค่าคลาดเคลื่อน 4.การไม่ได้บันทึกมูลค่าข้าวที่ขายให้องค์กรรัฐ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โต้แย้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชีไม่ได้บันทึกมูลค่าข้าวที่แจกให้ประชาชนกรณีภัยธรรมชาติ จำนวน 6 แสนตัน มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท หากนำข้อโต้แย้ง 4 ประเด็น มาปรับปรุงข้อมูลทางบัญชีให้ถูกต้อง ตัวเลขการขาดทุนจาก 332,372 ล้านบาท จะเหลือเพียง 257,148 ล้านบาท

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาพยายามโต้แย้งทั้ง 4 ประเด็น แต่ ป.ป.ช.เลือกรับฟังตามรายงานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ และข้อกล่าวหาว่าทำให้เสียวินัยการเงินการคลังนั้น ยืนยันว่าไม่ได้ทำให้เสียวินัยการเงินการคลัง โดยสิ้นปี 56 รัฐบาลสามารถรักษาระดับตัวเลขหนี้สาธารณะอยู่ที่ 44.71% ไม่เกิน 60% ของจีดีพีตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ขณะที่ปัญหาการจ่ายเงินให้ชาวนาในปี 56-57 ไม่ได้เกิดจากนโยบายจำนำข้าว แต่หลังการยุบสภา กลุ่ม กปปส.ขัดขวางการจ่ายเงินชาวนา ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายข้าวนำเงินมาจ่ายชาวนา 7 หมื่นล้านบาท และขออนุมัติงบฯกลางจาก 2 หมื่นล้านบาท รวม 9 หมื่นล้านบาทมาจ่ายให้ชาวนา ส่วนข้อหาทำให้เสียแชมป์ส่งออกข้าวก็ไม่ถูกต้อง เพราะการระบายข้าวเป็นการอ้างอิงตามราคาตลาดโลก ไม่เกี่ยวกับราคารับจำนำ แต่เป็นผลจากการทุ่มตลาดของบางประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ส่วนข้อกล่าวหาว่าไม่ยับยั้งการทุจริต เป็นข้อกล่าวหาที่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง ยืนยันไม่เคยละเลยคำแนะนำของ สตง. และ ป.ป.ช. เพราะมีกลไกควบคุม มีการปรับปรุงแผนงาน อาทิ การติดตั้งกล้องซีซีทีวีที่โรงสี การจำกัดเงินหมุนเวียนในโครงการไม่เกิน 5 แสนล้านบาท การเปลี่ยนหลักเกณฑ์รับจำนำข้าวทุกเมล็ดเหลือ 350,000 บาทต่อราย ยืนยันว่าไม่เพิกเฉย และเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯเพื่อป้องกันการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว มอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปดูแล ส่วนข้าวไม่ได้คุณภาพ และข้าวหายนั้น สัญญาระบุชัดเจนว่าผู้รับผิดชอบต้องชดใช้ให้รัฐบาลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ตามสัญญา จึงไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นความเสียหายได้

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวอีกว่า ในฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาลพยายามทำทุกอย่างสุดความสามารถ ที่ไม่ยกเลิกโครงการเพราะนายกฯไม่มีอำนาจยกเลิกโดยพลการได้ ต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ และตนได้รับหนังสือจาก สตง.หลังประกาศยุบสภาแล้ว ซึ่งถือว่าโครงการสิ้นสุดไปแล้ว ยืนยันว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการไต่สวนที่เร่งรีบรวบรัด ป.ป.ช.ไม่ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนถือเป็นการข้ามขั้นตอน การใช้เวลา 121 วันชี้มูลความผิด ต่างจากคดีอื่นที่ใช้เวลาเป็นปีๆ ป.ป.ช.ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมรับฟังแต่ข้อมูลทีดีอาร์ไอ ฝ่ายค้าน และคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ แต่ตัดพยานตน เช่น อตก. อคส. ที่จะนำมาหักล้างทิ้ง น่าแปลกใจว่า ป.ป.ช.ลงมติชี้มูลความผิดตนวันที่ 8 พ.ค.57 ถัดจากวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ตนพ้นจากตำแหน่งเพียงวันเดียว เหตุใดจึงให้ถอดถอนซ้ำคนที่ไม่มีตำแหน่งแล้วได้อีก

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า มีความเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์จึงเดินทางมาในวันนี้ อยากขอความเป็นธรรมจาก สนช. ว่า ป.ป.ช.ดำเนินการไม่ปกติ ยินดีให้ตรวจสอบ แต่ขอให้เป็นกระบวนการที่เป็นธรรม ตามหลักนิติธรรม ยืนยันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยทุจริต ประเทศจะเดินหน้าได้ต้องมีความยุติธรรม หวังว่า สนช.จะพิจารณาโดยไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ไม่อยากเห็นกระบวนการถอดถอนเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญ 50 ยกเลิกไปแล้ว การถอดถอนก็ต้องยุติไปด้วย หากดำเนินการโดยไม่มีหลักนิติธรรม การปฏิรูปเพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดองจะเกิดขึ้นได้อย่างไร


'บิ๊กตู่' จ่อต้อนกลุ่มมีคดี เข้ากระบวนการยุติธรรม

วันที่ 9 ม.ค. เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงเรื่องการจัดงานวันเด็กที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (10 ม.ค.) ว่า ได้มอบคำขวัญประจำปีให้กับเด็กไทยทุกคนไปแล้ว คือ “ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต” และคิดว่าเด็กทุกคนต่างรู้ดี ว่าการเป็นคนเก่งนั้นไม่เพียงพอ ต้องเป็นคนดี มีคุณธรรมด้วย จึงจะทำให้ทุกคนมีอนาคตที่ดี ที่สดใส ฉะนั้น ผู้จัดงาน หน่วยราชการ และโรงเรียนต่างๆ ต้องสร้างสรรค์กิจกรรม ที่เป็นการปลูกฝังสร้างความรู้ให้เด็ก ให้เด็กได้รักการอ่าน โดยบันไดในการปลูกฝังมีอยู่ 3 ขั้นตอน

1. การสร้างความตระหนักรู้และเข้าใจ 2. ต้องลงมือทำ ไม่ใช่แค่ท่องจำ แต่ต้องนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และสำคัญที่สุด คือ 3. การสร้างสภาพแวดล้อม เช่นเดียวกับเรื่องค่านิยม 12 ประการ ที่ต้องลงมือทำไม่ใช่หยุดแค่การท่องจำ

"ทุกคนในสังคมก็ต้องเป็นต้นแบบที่ดีทำให้เด็กดู เมื่อเด็กเห็นคนรอบข้างหรือคนในสังคมประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ก็จะเกิดการรับรู้และทำตามนำไปประยุกต์ใช้ เมื่อเจริญเติบโตก็จะเป็นอนาคตที่ดีของชาติต่อไป ฝากพ่อแม่พี่น้องประชาชน ช่วยกันทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็ก มีการสร้างความตระหนักรู้ ให้เขาเข้าใจ และทำสิ่งที่ดี ๆ เพื่อจะนำไปสู่อนาคต นำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนด้วย" นายกรัฐมนตรีกล่าว

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงเรื่องกระบวนการยุติธรรมของรัฐบาลที่มีต่อทุกฝ่ายว่า รัฐมุ่งเน้นการลดความขัดแย้งและต้องการเดินหน้าประเทศไทยไปพร้อม ๆ กัน แต่ขอให้เข้าใจว่ากฎหมายไม่ใช่ความยุติธรรม แต่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการอำนวยความยุติธรรม ให้ความเป็นธรรมกับทุกพวกทุกฝ่าย ซึ่งผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ว่าจะถูกหรือผิด อยากให้เข้ามาต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมด้วยหลักฐาน ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการ และทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายที่มีอยู่ ใครที่เข้ามาก็ย่อมได้รับความเป็นธรรมอย่างชัดเจน ถูกผิดก็ว่าไปตามหลักสากล ตามข้อกฎหมาย โดยไม่จำเป็นจะต้องปลุกระดมมวลชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงมากนัก เพราะไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดร่วมด้วย ต้องมาเสียเวลา เสียเลือดเนื้อ ต้องกระทำผิดกฎหมายไปด้วย ด้วยการอาศัยความเชื่อมั่นและศรัทธาแต่เพียงอย่างเดียว

“การชี้ผิดชี้ถูกโดย คสช. หรือใช้อำนาจพิเศษนั้น อาจจะดูง่าย หรือเร็ว ทันใจ แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบในภายภาคหน้าด้วยว่าเราจะอยู่กันอย่างไร แต่ถ้าหากไม่มีเครื่องมือพิเศษหรือ ไม่มี คสช. แล้ว ก็อาจจะทำให้เราอยู่ร่วมกันยากในอนาคต” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ส่วนการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในขณะนี้ ได้เปิดโอกาสให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มาร่วมในการปฏิบัติงานด้วย ซึ่งคงต้องรอฟังมติสุดท้ายก่อน ว่าอะไรที่จะเป็นผลดี ผลเสีย ต่อประเทศชาติ และได้รับความยอมรับจากสากลหรือไม่

สำหรับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ตนได้เป็นประธานการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์แล้วก็การประมงด้วย ปัญหาหลักคือ การสร้างความเข้าใจในเรื่องของการลดระดับของต่างประเทศ เราต้องรีบแก้ให้เร็ว รัฐบาลได้กำหนดให้การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์เป็นวาระเร่งด่วน ให้ทุกหน่วยงานเร่งเดินหน้าผลักดันการแก้ไขปัญหาในทุกมิติ ทั้งในภาคประมง การค้าประเวณีเด็กและสตรี แรงงานบังคับ แรงงานต่างด้าว เหล่านี้เป็นต้น ด้านการประมงนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ เราเป็นประเทศที่มีรายได้จากการส่งสินค้าจากการประมงมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลกนี้ ถ้าทำไม่ถูกต้อง ทำประมงที่ผิดกฎหมายจะต้องแก้ไขในเรื่องของการค้ามนุษย์ในภาคการประมงร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านของไทยด้วย


'ป๋อ-ณัฐวุฒิ'รับหย่าเมียรัก เจอมรสุมชีวิตทะเลาะกันถี่

จากกรณีเรื่องราวความรักของคู่ชีวิตคนบันเทิง ระดับหัวแถวมีทั้งชื่นมื่น และผิดหวัง ซึ่งแต่ละครั้งมักเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ล่าสุด มีนักเลงคีย์บอร์ด จุดประเด็นการหย่าร้างของ "ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ" พระเอกแถวหน้ากับ "เอ๋-พรทิพย์ สกิดใจ" ภรรยาสาวสวย หลังแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน ที่สำนักงานเขตบางรัก จนสร้างความตกใจและเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นเรื่องจริงหรือแค่ข่าวลือลอยลมเท่านั้น

โดยเมื่อช่วงสายวันที่ 9 ม.ค. ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 อาคารมาลีนนท์ ถนนพระราม 4 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย "ป๋อ-ณัฐวุฒิ" เปิดเผยเรื่องราวดังกล่าว หลังเดินทางมาโปรโมทละครเรื่อง “สายลับสามมิติ” ว่า ก่อนอื่นต้องขอยอมรับข่าวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง แต่เป็นการหย่าเพื่อแก้เคล็ด และเสริมดวงเท่านั้น เนื่องจากมีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ทะเลาะกันมาก โดยชนวนเหตุแห่งการไม่เข้าใจกันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แค่ทำให้ทั้งสองคนไม่สบายใจเท่านั้น จึงพากันไปปรึกษาหลวงพี่อุเทน เจ้าอาวาสวัดท่าไม้ จ.สมุทรสาคร ที่นับถือและได้รับคำแนะนำให้หย่ากัน

พระเอกชื่อดัง เผยต่อว่า ตอนแรกที่ได้ยินก็ตกใจ คิดว่าทำไมต้องถึงขึ้นหย่ากันเลยเหรอ เพราะไม่เคยมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวเลย แต่หลังจากได้คุยกับคุณเอ๋ แล้วก็ตัดสินใจทำตาม เพราะคิดว่าอะไร ๆ น่าจะดีขึ้น จึงพากันไปจดทะเบียนหย่าที่เขตบางรัก เมื่อช่วงเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว และหลังผ่านไป 2 เดือน จึงกลับไปจดทะเบียนสมรสกันใหม่อีกครั้ง ที่สำนักงานเขตบางรักเหมือนเดิม ขอบอกว่าตอนนี้ เหมือนมีเมียใหม่ จึงถือเป็นการแก้เคล็ดที่คุ้มค่าจริง ๆ อย่างไรก็ตามก่อนทำ ได้มีการปรึกษาพ่อแม่และครอบครัวแล้ว ซึ่งทุกคนต่างยินดีเปิดไฟเขียว แต่ที่ไม่ได้บอกใคร เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่อง เดี๋ยวจะพากันคิดมาก

“แค่บางครั้งทำงานเหนื่อยเลยทะเลาะกัน แต่พอหย่าแล้วจดทะเบียนใหม่กลับทะเลาะกันน้อยลงนะ อาจเป็นเพราะตอนจรดปากกาเซ็นใบหย่า เราใจหายไง เราต่างคนต่างเซ็นกันเงียบ ๆ มีสติคิดมากขึ้น สุดท้ายก็เท่านี้เนอะ กว่าจะรักกันมา แต่พอไปจดทะเบียนใหม่ เราก็บอกกันและกันว่า จะเริ่มต้นใหม่นะ ผมมองว่าเป็นกุศโลบายของพระท่าน ทำให้ต่างคิดได้ ไม่รู้จะทะเลาะกันไปทำไม ลดอีโก้ของแต่ละคนเพราะเราต่างคนต่างไม่ยอมกัน ปากเก่งด้วยกันทั้งคู่ หลังจากนั้นได้กลับมาคุยกันดี หันหลังมามองแล้วเห็นว่า ทะเลาะกันไปแล้วจะเกิดประโยชน์อะไร ไม่ว่าเราจะยังไงลูกต้องไม่ได้รับปัญหาจากเราสองคน” พระเอกหนุ่ม กล่าวอย่างจริงจัง

ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า ทำไมถึงเชื่อเรื่องการหย่าแก้เคล็ด? พระเอกผิวเข้ม กล่าวว่า "ส่วนตัวผมเชื่อเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่แล้วแต่มุมมองแต่ละคน ส่วนตัวมองว่าวิธีการคิดแบบนี้ จะสบายใจ เวลาเราไม่มีไกด์นำบางอย่างก็ไม่คล่องแคล่ว แต่ทุกอย่างขึ้นกับวันเวลา คนไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ แต่ผมชอบให้ชีวิต มีอะไรชี้นำนิดหนึ่งจะสบายใจ ที่สำคัญกว่าลูกของเราคือ โซ่ทองคล้องใจ ลูกทำให้เราสองคนไม่แยกจากกัน คือโซ่ที่รั้งเราไว้ เลยคิดได้ว่าจะทะเลาะกันไปแบบนี้ไม่ได้นะ เพิ่งรู้ความหมายของคำว่า โซ่ทองคล้องใจจริง ๆ จากนี้จะกลับมาเป็นคู่ที่ดีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกันดีกว่า”

สำหรับ ป๋อ-ณัฐวุฒิ และ เอ๋-พรทิพย์ แต่งงานกันเมื่อวันที่ 18 พ.ค.2555 ที่โรงแรมแชงกรี-ลา หลังจากคบหากันมานานถึง 8 ปี โดยทั้งคู่พบกันครั้งแรกในกองถ่ายละครเรื่อง “หลงทางรัก” แต่เพิ่งมาตกหลุมรักกันในละคร “มนต์รักลูกทุ่ง” ที่ฝ่ายชายเล่นเป็นพระเอก ส่วนฝ่ายหญิงเล่นเป็นนางร้าย จากนั้นทั้งคู่มีพยานรักเป็นลูกชายชื่อ “น้องภู-ด.ช.ภูดิศ สะกิดใจ” ซึ่งลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2556 ที่โรงพยาบาลบีเอ็นเอช เขตสาทร โดยหลังจากจดทะเบียนสมรสรอบสองแล้ว ทั้งคู่ได้พากันควงกันไปเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการฮันนีมูนรอบสอง เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ถือเป็นการกระชับรักและยืนยันว่าครอบครัวยังมีความสุขอบอุ่นเหมือนเดิมต่อไป.

การบินไทยคว้ารางวัล บริการยอดเยี่ยม 2015

การบินไทย รับรางวัล "สายการบินที่ให้บริการชั้นประหยัดยอดเยี่ยมปี 2015" จากเว็บไซต์ AirlineRating.com โดยได้จากจุดเด่นของชั้นประหยัดของเครื่องบินโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ ที่สะดวกสบาย พร้อมคุณภาพอาหารและเครื่องดื่ม...

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัลสายการบินที่ให้บริการชั้นประหยัดยอดเยี่ยมปี 2015 จากการจัดอันดับของเว็บไซต์ AirlineRating.com ซึ่งได้จัดให้มีการสำรวจความคิดเห็นของผู้อ่านทั่วโลก เพื่อจัดอันดับการให้บริการของสายการบิน กว่า 230 สายการบินทั่วโลก เป็นประจำทุกปี โดยการบินไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นสายการบินที่ให้บริการชั้นประหยัดยอดเยี่ยม ด้วยการบริการที่ดีเลิศ รวมถึงนวัตกรรมภายในห้องโดยสาร

ฝ่ายภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร การบินไทย เปิดเผยว่า การบินไทยได้รับรางวัลสายการบินที่ให้บริการชั้นประหยัดยอดเยี่ยมด้วยการบริการที่ดี ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม รวมทั้งอุปกรณ์สาระบันเทิงบนเครื่องบิน เครื่องบินโบอิ้ง 787-8 ดรีมไลเนอร์

นายเจฟฟรี่ โทมัส บรรณาธิการเว็บไซต์ AirlineRating.com กล่าวว่า หลังจากที่ได้สัมผัสที่นั่งชั้นประหยัดของเครื่องบินโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ลำใหม่ของการบินไทย ให้ความรู้สึกถึงห้องโดยสารที่กว้างขวาง เพดานสูง หน้าต่างที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีปุ่มปรับระดับของแสงไฟ ภายในห้องน้ำมีระบบกดน้ำอัตโนมัติด้วยระบบเซ็นเซอร์ ผู้โดยสารจะสัมผัสได้ถึงการบริการด้วยผลิตภัณฑ์ระดับสากล ที่คุ้มค่าเงิน รวมทั้งคุณภาพของอาหารและเครื่องดื่ม และมั่นใจได้ว่ากำลังได้รับบริการที่ดีที่สุดขณะเดินทาง ในชั้นประหยัดของสายการบินชั้นนำ

สำหรับรางวัลที่การบินไทยได้รับในครั้งนี้ เป็นการยืนยันได้ว่า การบินไทย ยังคงมีมาตรฐานที่ให้บริการในระดับพรีเมี่ยม โดยให้บริการเป็นเลิศในทุกจุดบริการ โดยรางวัลนี้เป็นหนึ่งในรางวัลที่สร้างความภาคภูมิใจและเป็นขวัญกำลังใจแก่พนักงานการบินไทยทุกคน ที่จะมุ่งมั่นรักษาและพัฒนาการบริการ เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความพึงพอใจสูงสุด.