ข่าว
‘เจ้าคุณพิพิธ’จี้เจ้าวัดจับสึก พระปลุกเสกมือถือ สวดยับ

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พระราชวิจิตรปฏิภาณ (เจ้าคุณพิพิธ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม เปิดเผยว่า กรณีที่มีการแชร์ภาพในเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า “Weerachai Phutdhawong” โอว์โนว์…วิชาใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นพระสงฆ์ทำพิธีปลุกเสกโทรศัพท์มือถือ โดยมีข้อความระบุใต้ภาพว่า

“กำลังมาแรง ปลุกเสกโทรศัพท์มือถือ เพื่อความรุ่งเรืองในการทำธุรกิจ พระไทย…ทำทุกอย่างเป็นไปได้หมด สามารถทำสิ่งบ้าๆ..ให้บ้าหนัก..ทำสิ่งเพี้ยนๆ..ให้เพี้ยนหนัก สิ่งเดียวที่พระไทยทำไม่ได้คือ.. ‘อยู่ในศีลของพระ’ ” ผ่านทางโซเชียลมีเดีย ว่า

โดยปกติพระสงฆ์จะปลุกเสกวัตถุมงคล หรือสิ่งมงคลที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยจะใช้บทสวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และรัตนมาลา 108 คาถาบท รวมถึง จะมีการปลุกเสกเทพเจ้า วัตถุมงคล ของศาสนาอื่นบ้าง อาทิ ปลัดขิก อีเป๋อ ฯลฯ แต่การปลุกเสกวัตถุมงคลของศาสนาอื่นจะไม่ใช้คาถาบทสวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แต่จะใช้การสวดเป็นคำพูด บทร้อยแก้ว หรือร้อยกรองแทน ซึ่งการปลุกเสกดังกล่าวขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของพระสงฆ์ด้วย นอกจากนี้จะมีการปลุกเสกยารักษาโรคในปัจจุบันบ้าง เพื่อให้พรให้คนได้หายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง

“แต่กรณีการปลุกเสกโทรศัพท์มือถือ หรือสิ่งอื่นให้นอกเหนือจากวัตถุมงคลทางพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นความทะลึ่ง อุตริ คนที่ให้พระเสกก็อุตริพอกัน ดังนั้น พระองค์ใดที่ทำแบบนี้ ขอให้เจ้าอาวาสจับสึกทันที” พระราชวิจิตรปฏิภาณกล่าว

'เณรคำ' ใส่ชุดนักโทษ ศาลฯ ไม่ให้ประกันตัว

ศาลชั้นต้น สหรัฐฯ พิจารณาคำร้องขอประกันตัวกรณีพิเศษ "เณรคำ" ทนายยืนยันหลักประกันทรัพย์สิน มีมากกว่าล้านเหรียญและเพื่อมนุษยธรรม แต่ผู้พิพากษาพิจารณาแล้วยังไม่ให้ประกันตัว แนะให้ยื่นประกันตัวใหม่อีกครั้ง...

เมื่อวันพุธที่ 27 ก.ค. 2559 เวลา 10.00 น.. ศาลชั้นต้น คดีอาญารัฐบาลกลาง ริเวอร์ไซด์ แคลิฟอร์เนีย ได้เปิดพิจารณาคำร้องขอประกันตัวเป็นกรณีพิเศษของ นายวิรพล สุขผล อดีตพระวิรพล ฉัตติโก หรือ "หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "เณรคำ" ห้องพิจารณาคดี 333 หลังจากได้หลบหนีคดีในข้อกล่าวหาฉ้อโกง ร่วมเพศกับผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี จากประเทศไทย และดำเนินเรื่องขอลี้ภัยในสหรัฐอเมริกา ต่อมาทางดีเอสไอได้ประสานกับตำรวจสหรัฐอเมริกาจับกุมตัวไว้ได้

ก่อนถึงเวลาพิจารณาคดี ได้มีผู้ที่เคารพนับถือ "เณรคำ" กว่าสี่สิบคนเดินทางจากเมืองซานดิเอโก และเมืองใกล้เคียงทยอยกันเข้าในตัวอาคาร ที่ตั้งของศาลรัฐบาลกลาง ริเวอร์ไซด์ และได้นั่งรออยู่หน้าห้องพิจารณาคดีด้วยสีหน้ามีความกังวล รวมถึงพระสงฆ์หลายรูป พร้อมด้วยกลุ่มแม่ชี และบางคนถือเอกสารประกาศความจำนงสนับสนุนและยอมเป็นพยานให้กับนายวิรพล สุขผล ในการขอประกันตัวครั้งนี้ และเมื่อถึงเวลานัดหมายของศาล บรรดาผู้สนับสนุน "เณรคำ" พากันเข้าห้องพิจารณาคดี และศาลไม่อนุญาต ให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพภายในบริเวณศาล

นายวิรพล สุขผล หรือ เณรคำ อยู่ในชุดนักโทษสีส้ม พร้อมกุญแจมือ ได้ถูกนำตัวมาจากบริเวณด้านหลังของห้องพิจารณาคดี จากนั้น นายเจฟฟ์ แอร์รอน ทนายความของ "เณรคำ" แนะนำตัว และผู้พิพากษา เชอรี พิม (sheri Pym) ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดี โดยผู้พิพากษา กล่าวว่า คดีนี้ไม่ใช่คดีอาญา แต่เป็นเรื่องของการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศ

นายเจฟฟ์ แอร์รอน ทนายความ กล่าวว่า การส่งตัวจำเลยกลับประเทศไทยไปนั้น อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของจำเลยได้ เพราะว่าขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก และมีข้อพิพาทความขัดแย้งกับกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งกำลังเป็นเป้าต่อต้านกับ คสช. นอกจากนั้นทางฝ่ายจำเลยมีหลักฐานขอลี้ภัยพร้อม และขณะที่นายวิรพล อยู่ในสหรัฐฯ นั้น ได้ทำคุณงามความดีต่อสังคมมากมาย

ผู้พิพากษา กล่าวว่า คดีนี้ทางกระทรวงต่างประเทศของไทยเป็นผู้ร้องขอมา แต่ทนายความของ "เณรคำ" แย้งว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นการขอส่งตัว และขอร้องศาลให้พิจารณาอนุญาตให้จำเลยได้รับการประกันตัวเพื่อมนุษยธรรม และทาง "เณรคำ" ฝ่ายผู้ลี้ภัยมีหลักทรัพย์มากกว่าหนึ่งล้านเหรียญ เป็นจำนวนมากพอที่จะขอประกันตัวได้ภายใต้กรณีพิเศษ ในเรื่องสุขภาพของผู้ลี้ภัย ถ้าถูกส่งตัวกลับไปอาจไม่มีสถานที่รักษา

ทางด้านอัยการสหรัฐอเมริกา ได้อ้างสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศไทย และกล่าวว่า เอกสารทั้งหลายที่ทางฝ่ายผู้ลี้ภัยจัดหาให้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น ยังไม่ครบถ้วน ส่วนข้อสำคัญของการขอประกันตัว "กรณีพิเศษ" นี้ มีน้ำหนักพอที่จะให้ผู้ลี้ภัยได้รับการประกันหรือไม่ และผู้ลี้ภัยได้มาพำนักอยู่ในสหรัฐฯ เป็นเวลานานแล้วด้วย แต่อย่างไรก็ตาม มาตรฐานของการกักขังคดีอาญาในที่นี้จะนำมาใช้กับคดีนี้ไม่ได้

ผู้พิพากษา กล่าวสรุปพิจารณาแล้วยังไม่ให้ประกันตัว โดยแจ้งให้ทนายความของ "เณรคำ" ผู้ลี้ภัย ไปติดต่อกับผู้พิพากษาอีกคนหนึ่ง เพื่อพิจารณาในเรื่องขอประกันตัวอีกครั้งต่อไป

สำหรับการขึ้นศาลครั้งนี้ เป็นการขอให้ศาลพิจารณาคดีขอประกันตัวเป็นกรณีพิเศษ ไม่ได้เกี่ยวกับคดีที่ศาลจะพิจารณาส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศไทยแต่อย่างใด.


'หมวดเจี๊ยบ' วอน 'นายกฯ' คลายข้อกังขาคุมตัว 'ทัศนีย์'

"หมวดเจี๊ยบ" วอน "ประยุทธ์" อย่าถือโอกาสควบคุมตัว "ทัศนีย์" แล้วใช้วิธีการกลั่นแกล้ง ต้องทำให้สังคมคลายข้อกังขา ย้ำควรจะเปิดโอกาสให้ใช้สิทธิที่ปรึกษา ทนาย และให้มีโอกาสได้รับยารักษาโรคประจำตัว เพราะไม่มีพฤติกรรมหลบหนี

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต สมาชิกพรรคเพื่อไทย และอดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องสร้างความเชื่อมั่นเพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจว่า น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีต ส.ส. เชียงใหม่ จะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม และปราศจากอคติ เนื่องจาก น.ส.ทัศนีย์ เป็นนักการเมืองสังกัดพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำให้สังคมเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การถือโอกาสกลั่นแกล้งทางการเมือง ทั้งนี้ การควบคุมตัวนักการเมืองหญิงจากพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาล โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกควบคุมตัวได้ใช้สิทธิปรึกษาทนายความ และไม่มีโอกาสร้องขอยารักษาโรค หรือเครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเป็นสำหรับสุภาพสตรี เป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และขัดต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรม

"การที่ เจ้าหน้าที่ทหาร มณฑลทหารบกที่ 11 อ้างว่าได้จัดทหารหญิงประกบ น.ส.ทัศนีย์ ตลอดเวลาแล้วนั้น ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอในการห้ามเยี่ยม เพราะ น.ส.ทัศนีย์ เป็นผู้หญิงย่อมมีความต้องการบางเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชาย และ น.ส.ทัศนีย์ อาจไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะไว้วางใจเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าได้มากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ น.ส.ทัศนีย์ ไม่ได้มีพฤติกรรมหลบหนี ดังนั้น การควบคุมตัวไว้ จึงถือเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ สมควรจะได้รับการปล่อยตัวเพื่อให้ได้ใช้สิทธิ์ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองต่อไป" ร.ท.หญิง สุณิสากล่าว.


“น้ำชา ชีรณัฐ” ลั่นไม่โอเค ถูก “ปันปัน” ด่าอิกะหรี้!

“น้ำชา” ตอบนิ่ม ๆ กรณีถูก “ปันปัน” โพสต์อิกะหรี้! ลั่นไม่โอเค แต่ไม่อยากเอาเรื่อง บอกเด็กอายุไม่เท่าไหร่ แต่พูดจาไม่มีสัมมาคารวะ ใครเป็นผู้ใหญ่ก็คงไม่ชอบ ชาวเน็ตแฉเรื่องของเรื่องมาจากนักร้องหญิงสนิทสนมเกินเหตุกับ “มาร์ช จุฑาวุธ” ทั้งที่ควงหนุ่มไฮโซพันล้านอยู่

กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้งสำหรับเรื่องราวข่าวคราวในแวดวงบันเทิงบ้านเรา หลังทางด้านนักแสดงสาววัยรุ่น “ปันปัน สุทัตตา” ได้มีการโพสต์ภาพช่วงคอของหญิงสาวคนหนึ่งพร้อมกับข้อความว่า...อิกะหรี้ *เสียงสูง*...ก่อนที่เธอจะลบภาพและข้อความดังกล่าวไป

โดยหลังจากที่ตรวจสอบภาพดังกล่าว ก็พบว่า ภาพที่สาวปันปันโพสต์นั้นเป็นภาพของนักร้องหญิง “น้ำชา ชีรณัฐ” นั่นเอง ซึ่งในเวลาต่อมาทางด้านของนักร้องหญิงก็ได้มีการโพสต์ภาพตนเองพร้อมกับข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า...วันนี้มีเรื่องตลกเกิดขึ้น.....จงยิ้มเข้าไว้ GOOD NIGHT ALL #งงแป๊ป #สติค่ะสติ...

ทั้งนี้ จากเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นในโลกโซเชียลเองก็ได้มีการคาดเดากันว่าเรื่องนี้น่าจะมาจากการที่ในช่วงหลังนั้น นักร้องหญิงไปสนิทสนมกับหนุ่ม “มาร์ช จุฑาวุธ” ซึ่งเป็นอดีตแฟนหนุ่มของสาวปันปัน ทั้งที่ตัวนักร้องหญิงเองก็มีข่าวว่าเป็นแฟนกับไฮโซหนุ่มพันล้าน “พก ประธานวงศ์” อยู่นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนั้น ทางด้านของนักร้องหญิงได้มีการให้สัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์ผ่านสื่อบันเทิง daradaily โดยเปิดเผยว่า ตนเองมีโอกาสเห็นภาพที่นักแสดงวัยรุ่นหญิงโพสต์แล้ว จากการที่เพื่อนส่งมาให้ดู พร้อมยอมรับว่าโกรธ แต่ก็มารู้สึกว่าจะไปทะเลาะอะไรกับเด็กที่อายุห่างกันเกือบ 10 ปี

นอกจากนี้ เจ้าตัวยังบอกกด้วยว่า ทางด้านของหนุ่มมาร์ช จุฑาวุธ อดีตแฟนของอีกฝ่ายก็รับรู้เรื่องนี้แล้ว และก็มีความรู้สึกเป็นห่วงตน ก่อนที่นักร้องหญิงจะบอกว่าตนเองไม่ค่อยจะสนิทกับสาวปันปันเท่าใดนัก พร้อมกับยืนยันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับหนุ่มมาร์ชนั้น เป็นเพียงแค่พี่น้องและเพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น

“เราก็ไม่อยากทะเลาะ แต่ก็ไม่โอเคหรอก เด็กอายุเท่าไหร่ แต่มาพูดจาไม่มีสัมมาคารวะ ใครเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ชอบใช่ไหมคะ...”


บังคับผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ให้ออกทะเบียนรถชั่วคราว

Governor Jerry Brown ลงนามในกฎหมาย ที่กำหนดให้รถยนต์ยานพาหนะที่เพิ่งซื้อในแคลิฟอร์เนียต้องแสดงป้ายทะเบียนรถชั่วคราว กฎหมายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหยุดการโกงค่าผ่านทางด่วนและเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถระบุ ยานพาหนะบนท้องถนน ในปัจจุบันในรัฐแคลิฟอร์เนียขณะที่เจ้าของรถกำลังรอทะเบียนรถ รัฐเพียงแค่บังคับเจ้าของรถให้ติดแสดงบนรถใบแจ้งการขาย ซึ่งมีขนาดเล็กและไม่สามารถอ่านหรือถ่ายภาพจากระยะไกล

กฎหมายนี้จะบังคับผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ให้ออกทะเบียนรถชั่วคราวเลยเมื่อขายรถในรัฐแคลิฟอร์เนียเริ่ม 2019 ซึ่งการปรับเปลี่ยนวันหมดอายุของทะเบียนรถชั่วคราวจะเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งทางอัยการจะสามารถเลือกที่จะตัดสินข้อต้องหาว่าเป็นความผิดทางอาญาที่ไม่ร้ายแรง (misdemeanor) หรือ ความผิดทางอาญาอุกฉกรรจ์ (felony)

รัฐประเมินว่ารถที่ไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนรถแอบไม่จ่ายค่าธรรมเนียมโทลเวย์ ทำให้รัฐเสียรายได้ ถึง $15ล้านเหรียญดอลลาร์ ต่อปี

มาแล้ว! “เจ๊เบียบ” รับไม่ได้ ปมข่าวฉาวแต่งงานเด็ก ม.5

29 ก.ค. ที่หอประประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ขอนแก่น นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายกสมาคมเสริมสร้าง(ครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุขได้แสดงความเห็นกรณีเหตุการณ์อื้อฉาว นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ คุกคามกักขังหน่วงเหนี่ยวสื่อมวลชนถึงขั้นสั่งลูกน้องจับผู้สื่อข่าวถอดกางเกงและถ่ายรูป

นางระเบียบรัตน์กล่าวว่า หลังเกิดเหตุและมีข่าวแพร่สะพัดออกไป ตนรู้สึกไม่สบายใจที่เกิดเรื่องราวดังกล่าวขึ้นทำให้จังหวัดขอนแก่นเสียชื่อเสียงเสียภาพลักษณ์ ที่สำคัญคู่กรณีทั้งฝ่ายผู้สื่อข่าวและ นพ.เปรมศักดิ์ต่างก็เป็นบุคคลสาธารณะ หากจังหวัดขอนแก่นจะเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ ก็อยากให้เป็นเรื่องราวดีๆ มากกว่า ไม่อยากให้มีปมประเด็นเกี่ยวกับพฤติกรรมผิดศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่จะทำให้บุคคลสาธารณะโดยเฉพาะผู้บริหารท้องถิ่นมีจิตสำนึกในการวางตัวให้เหมาะสมมากขึ้น

“จากการติดตามข่าวดังกล่าวเชื่อว่าจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่โกหกไม่ยอมรับความจริง ต้องให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการค้นหาความจริงออกมาว่าเรื่องจริงมันคืออะไร อีกไม่นานความจริงต้องปรากฏออกมาแน่นอน แต่เชื่อว่าฝ่ายที่ผิดเขารู้แก่ใจตัวเองอยู่แล้ว” นางระเบียบรัตน์กล่าว และว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกฝ่ายได้รับผลกระทบทางสังคมกันหมด ทั้งฝ่ายผู้สื่อข่าว ฝ่าย นพ.เปรมศักดิ์ และฝ่ายเด็กนักเรียนผู้หญิง ชั้น ม.5 ที่ถูกพาดพิง และเป็นปมประเด็นที่ทำให้ผู้สื่อข่าวต้องตามขอสัมภาษณ์ขอคำอธิบายข้อเท็จจริงจากปาก นพ.เปรมศักดิ์ ดังนั้นในตอนนี้จึงไม่สามารถบอกได้ว่าฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิดเพราะต้องรอผลการสอบสวนหาข้อเท็จจริงให้ชัดเจนก่อน

ต่อข้อถามที่ว่า หากกระบวนการสอบสวนหาข้อเท็จจริงทั้งในส่วนของคณะกรรมการฯ ที่ทางจังหวัดตั้งขึ้นมีปลัดจังหวัดเป็นประธาน และในส่วนของคดีความที่ฝ่ายสื่อมวลชนในฐานะเผู้เสียหายแจ้งความเอาไว้ที่ สภ.บ้านไผ่ เป็นไปด้วยความล่าช้าและหวั่นว่าในที่สุดเรื่องจะเงียบหายไป นางระเบียบรัตน์กล่าวว่า เรื่องนี้จะปล่อยให้เงียบไม่ได้ ต้องทำความจริงให้ปรากฏเร็วที่สุด แต่หากเรื่องล่าช้าหรือเงียบหายไป ทั้งสื่อมวลชนและสังคมต้องช่วยกันติดตาม ในส่วนของตนในฐานะนายกสมาคมเสริมสร้างความครัวให้อบอุ่นฯ ก็จะขอติดตามความคืบหน้าด้วยเช่นกัน อย่าลืมว่าความล่าช้าของความยุติธรรมคือความอยุติธรรม

นางระเบียบรัตน์ได้แสดงความเห็นต่อกรณีที่ นพ.เปรมศักดิ์ตระเวนยื่นหนังสือถึงหลายหน่วยงานในส่วนกลาง ทั้ง กสทช. และสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อให้สอบสวนกรณีที่เกิดขึ้น อ้างว่าถูกสื่อคุกคามการทำงานของเจ้าหน้าที่ และต้องการให้สั่งปิดสื่อ ว่าเป็นสิทธิของ นพ.เปรมศักดิ์ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบความผิดทางวินัยในตำแหน่งหน้าที่การทำงาน ก็ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎระเบียบ กฎหมาย