สหราชอาณาจักรเผยผลการทดสอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทโนวาแวกซ์ เฟสที่ 3 มีประสิทธิภาพ 89%
เมื่อ 29 มกราคม 64 สำนักข่าวบีบีซีรายงาน ทางการสหราชอาณาจักรเปิดเผยผลการทดสอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทโนวาแวกซ์ (Novavax) จากสหรัฐฯ ในสหราชอาณาจักร เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการทดสอบเฟสที่ 3 พบว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 สูงถึง 89.3%
ด้านบริษัทโนวาแวกซ์ในสหรัฐฯ แจ้งว่าผลการทดสอบเฟส 3 ซึ่งเป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายดังกล่าว ได้มีการฉีดวัคซีนจำนวน 2 โดส ให้แก่อาสาสมัคร กว่า 15,000 ในสหราชอาณาจักร อายุระหว่าง 18-84 ปี ซึ่งในจำนวนนี้ อายุมากกว่า 65 ปี 27%
ในขณะที่ผลการทดสอบวัคซีนโนวาแวกซ์ เฟสที่ 3 ในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่ส่วนใหญ่พบผู้ติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์ ปรากฏว่าวัคซีนโนวาแวกซ์มีประสิทธิภาพป้องกันโควิดอยู่ที่ 60% ซึ่งในคนเหล่านี้ไม่ได้ติดเชื้อ HIV
ด้าน Stan Erck ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทโนวาแวกซ์ กล่าวว่าผลการทดสอบวัคซีนโนวาแวกซ์ เฟสที่ 3 ในสหราชอาณาจักร ถือเป็นสิ่งงดงาม และเป็นเรื่องที่ดีตามที่พวกตนคาดหวังไว้ ในขณะที่ผลการทดสอบวัคซีนเฟส 3 ในแอฟริกาใต้ก็สูงกว่าที่ประชาชนคาดหวัง
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯให้คำมั่นว่าจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นเพื่อต้านกิจกรรมทางทหารของจีนที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และมุ่งมั่นที่จะปกป้องหมู่เกาะเซนกากุ หรือหมู่เกาะเตียวหยู ในทะเลจีนตะวันออกที่อยู่ในการควบคุมของญี่ปุ่น โดยทั้งจีนและญี่ปุ่นต่างอ้างกรรมสิทธิ์
ในการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูกะ ของญี่ปุ่น ซึ่งสื่อในญี่ปุ่นกล่าวว่าผู้นำทั้งสองเรียกกันและกันว่า โจ และโยชิ ได้ตกลงกันว่าพันธมิตรด้านความมั่นคงของประเทศของตนคือรากฐานที่สำคัญของสันติภาพและความมั่งคั่งในอินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง ไบเดนยังจะเสริมการเตรียมการด้านความมั่นคงในภูมิภาคให้แข็งแกร่งซึ่งต่างจากแนวทางของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเปิดเผยต่อสาธารณชนในการถอนทหารออกจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ
ผู้นำทั้ง 2 ยังเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ในคาบสมุทรเกาหลี นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีซูกะยังวางแผนที่จะไปเยือนสหรัฐฯ ทันทีที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 สิ้นสุดลง ทั้งนี้ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้เคยกล่าวกับรัฐมนตรีต่างประเทศของฟิลิปปินส์ นายทีโอโดโร ล็อกซิน ไว้ว่า สหรัฐฯ ปฏิเสธการอ้างสิทธิ์ของจีนในทะเลจีนใต้เกินกว่าที่กฎหมายระหว่างประเทศจะอนุญาต บลิงเคนยังกล่าวในแถลงการณ์ว่าสหรัฐฯ ยืนหยัดเคียงข้างกับฟิลิปปินส์และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ ต้านแรงกดดันจากจีนที่อ้างสิทธิ์ในทะเลจีนใต้
จีนอ้างสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ที่อุดมไปด้วยพลังงาน และยังเป็นเส้นทางขนส่งทางเรือสำคัญของโลก สหรัฐฯกล่าวหาจีนว่าฉวยโอกาสที่โลกวุ่นวายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในการรุกล้ำทะเลจีนใต้ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนย่ำแย่ลงภายใต้การบริหารของทรัมป์จากปัญหาต่างๆ ทั้งสงครามการค้า การแพร่ระบาดของโควิด-19 การปราบปรามกลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง รวมถึงการกดขี่ชาวมุสลิมอุยกูร์
นอกจากนี้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์เตือนภัยก่อการร้ายที่อาจเกิดขึ้น คำเตือนนี้เกิดขึ้น 2 วัน หลังกระทรวงกลาโหมระบุว่ากองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิที่มาวอชิงตันจะยังประจำการอยู่จนถึงเดือน มี.ค. ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากการไม่พอใจข้อจำกัดจากโควิด-19 การพ่ายแพ้ ของทรัมป์ ความโหดร้ายของตำรวจและการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ทั้งนี้ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นทั่วสหรัฐฯ จะยังคงอยู่อีกนานหลายสัปดาห์
เมื่อวันที่ 29 มกราคม 64 เว็บไซต์เดลี่เมลรายงาน ทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของอิสราเอลเผยแพร่ข้อมูลการวิจัยประสิทธิภาพของวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ร่วมกับไบออนเทค จากการฉีดให้แก่ประชาชน 700,000 คน จำนวน 2 โดสตามกำหนด พบว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพในการต้านโควิดสูงถึง 99.06%
จากข้อมูลเบื้องต้นที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอิสราเอลนำมาเผยแพร่ ยังพบว่า มีผู้ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ ครบ 2 โดส เพียงแค่ 300 คน หรือคิดเป็น 0.04% เท่านั้น ที่มีการติดเชื้อโควิด-19 และมีเพียงแค่ 16 รายเท่านั้นที่มีอาการป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ศาสตราจารย์อียัล ลีเชม ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อในอิสราเอล กล่าวด้วยความดีใจว่า รายงานผลการวิจัยประสิทธิภาพของวัคซีนต้านโควิด-19 ของไฟเซอร์นี้ ถือเป็นข่าวดีมากๆ และในเบื้องต้นพบว่า เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้มากทีเดียว
เดลี่เมลยังเผยด้วยว่า จากผลการวิจัยในสหราชอาณาจักรยังพบว่า วัคซีนไฟเซอร์ยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ ได้มากขึ้นด้วย
29 มกราคม 64 สำนักข่าวรอยเตอร์ และบีบีซีรายงาน รัฐบาลจีนออกแถลงการณ์กร้าว เตือนไต้หวัน การพยายามคิดแยกเอกราชจากจีน หมายถึง การทำสงคราม หลังจากไม่กี่วัน จีนได้ยกระดับปฏิบัติการทางทหารส่งฝูงเครื่องบินรบใหญ่บินรุกล้ำน่านฟ้าไต้หวัน ขณะที่โจ ไบเดน เพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีีสหรัฐฯ คนใหม่ได้เพียงไม่กี่วัน
พร้อมกันนั้น ยังกล่าวปกป้องปฏิบัติการทางทหารของกองทัพอากาศจีนเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เป็นปฏิบัติการที่จำเป็นเพื่อแสดงสถานะของเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน และเพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ
อย่างไรก็ตาม ต่อมา นายจอห์น เคอร์บี เลขาธิการฝ่ายสื่อประจำกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้กล่าวเมื่อวันพฤหัสฯ ที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น) ว่า สหรัฐฯ พบว่าการแสดงความเห็นดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่ดีและแน่นอนว่า ไม่เหมาะสมกับความตั้งใจของสหรัฐฯ ที่ต้องการปฏิบัติตามพันธกิจภายใต้กฎหมายความสัมพันธ์กับไต้หวัน
บีบีซี ชี้ว่าแถลงการณ์ดังกล่าวของสหรัฐฯ ถือเป็นแถลงการณ์แรกของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีไบเดนต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวัน หลังจากกองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินธีโอดอร์ รูสเวสต์ และกองเรือรบมายังทะเลจีนใต้ทันที หลังไต้หวันฟ้องชาวโลก จีนส่งฝูงเครื่องบินรบรุกล้ำน่านฟ้า โดยสหรัฐฯ อ้างเหตุผลว่าเพื่อแสดงออกถึงการมีเสรีภาพการเดินเรือทางทะเลในน่านน้ำบริเวณนี้ และละจีนได้ตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการเตรียมซ้อมรบในทะเลจีนใต้
ชนชั้นนำทางการเมืองของเวียดนามกำลังประชุมกันเพื่อคัดเลือกผู้นำประเทศชุดใหม่สำหรับ 5 ปี ข้างหน้า ท่ามกลางความสำเร็จในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต
ส่วนใหญ่ในประเทศอื่นๆ เราจะให้ความสนใจกับการเลือกตั้งทั่วไป แต่เวียดนามปกครองด้วยรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ และการคัดเลือกผู้นำก็มีวิธีการต่างออกไป
ลองนึกถึงการประชุมสภาที่เหมือนกับโรงมหรสพทางการเมืองขนาดใหญ่ที่แต่งแต้มสีสันมากมายของจีน หรือที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ของเกาหลีเหนือ คุณก็อาจจะเห็นภาพชัดขึ้น เวียดนามก็ไม่ต่างกันมาก เพียงแค่ไม่หวือหวามากเท่านั้น
ความสำคัญของเวียดนาม
เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย และเป็นฟันเฟืองหนึ่งของเสถียรภาพในภูมิภาค ไม่ต่างจากจีน เวียดนามมีเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่เติบโตภายใต้เสื้อคลุมลายคอมมิวนิสต์
รัฐบาลเวียดนามมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับทั้งจีนและสหรัฐฯ ทำให้เวียดนามอยู่ในตำแหน่งที่ดีทางทางยุทธศาสตร์
ในทางเศรษฐกิจ เวียดนาม มีความสัมพันธ์ที่ดีกับมหาอำนาจทั้งสองประเทศ และข้อพิพาททางการค้าระหว่างรัฐบาลจีนและรัฐบาลสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ก็ทำให้เวียดนามอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ
บริษัทข้ามชาติหลายแห่งดำเนินการในเวียดนาม รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลกอย่างแอปเปิ้ลและซัมซุง
นอกจากนี้เวียดนามยังเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อยมาก และยังสามารถทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในอัตราปานกลางในปีที่ผ่านมาด้วย
ในทางทหาร เวียดนามพยายามก้าวย่างอย่างระมัดระวังระหว่างจีนและสหรัฐฯ เวียดนามเคยทำสงครามมาแล้วกับทั้งสองประเทศ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยลงรอยกับจีนเกี่ยวกับการอ้างกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนใต้
เวียดนามปกครองอย่างไร
ต่างจากจีนและเกาหลีเหนือ เวียดนามไม่มีผู้ทรงอำนาจกุมบังเหียนเพียงคนเดียว แต่มีตำแหน่งสำคัญ 4 ตำแหน่งที่ช่วยกันบริหารประเทศ ได้แก่ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์, นายกรัฐมนตรี, ประธานาธิบดี, และประธานสภาแห่งชาติ
การลงมติเลือกผู้ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งทั้ง 4 คน เป็นการขยับพวกเขาขึ้นสู่ยอดบนสุดของพีระมิดแห่งอำนาจ ทุกๆ 5 ปี ผู้แทน 1,600 คน จะลงมติเลือกสมาชิก 200 คนเป็นคณะกรรมการกลาง คณะกรรมการกลางนี้เองที่จะเลือกคณะกรรมการกรมการเมืองซึ่งมีสมาชิกประมาณ 20 คน ในจำนวนนี้จะรวมถึงผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งสูงสุดทั้ง 4 ตำแหน่งดังกล่าวด้วย
แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นกระบวนการประชาธิปไตยจากล่างขึ้นบน แต่ปกติได้มีการจัดทัพทางการเมืองที่ครอบคลุมไว้ล่วงหน้าแล้ว และการคัดเลือกถูกกำหนดไว้ก่อน
ปราบปรามผู้แข็งข้อ
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองถูกควบคุมและจัดการอย่างรัดกุม ดังนั้น อะไรก็ตามที่ถูกมองว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ทางการก็จะถูกควบคุมเช่นกัน
ไม่มีอะไรใหม่ในเวียดนาม สุดท้ายแล้ว เวียดนามก็คือประเทศที่ปกครองด้วยพรรคการเมืองเดียวโดยปราศจากเสรีภาพสื่อที่แท้จริง
กระนั้น ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ได้มีการปราบปรามผู้แข็งข้อรอบใหม่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และสำนักข่าวรอยเตอร์ ต่างระบุว่า มีนักโทษทางการเมืองสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และนักเคลื่อนไหวได้รับโทษจำคุกที่นานขึ้น
ก่อนหน้านี้ของเดือน ม.ค. นักข่าวอิสระ 3 คน ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านเวียดนาม และได้รับโทษจำคุกระหว่าง 11 ถึง 15 ปี การควบคุมผู้แข็งข้ออย่างเข้มงวดเช่นนี้ ส่วนหนึ่งอาจมาจากความสามารถของหน่วยไซเบอร์ทางทหารที่ชื่อว่า หน่วยเฉพาะกิจ 47 (Task Force 47) ซึ่งเริ่มพุ่งเป้าไปยังผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในโลกออนไลน์มาตั้งแต่ปี 2018
เหงียน คัก ซาง นักวิจัยด้านเวียดนาม มหาวิทยาลัยวิกตอเรียในกรุงเวลลิงตันของนิวซีแลนด์ อธิบายว่า “ผู้ที่ถูกจับกุมตัวส่วนใหญ่เป็นนักเขียนและนักเคลื่อนไหวที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทาง โดยเฉพาะ
เฟซบุ๊ก”
“สถานการณ์ดูจะยุ่งยากขึ้นสำหรับนักวิจารณ์ เพราะดูเหมือนว่ารัฐบาลมุ่งมั่นที่จะปราบปราบการเคลื่อนไหวทางออนไลน์ทุกรูปแบบ” ใครจะขึ้นมากุมบังเหียน
ในบรรดาตำแหน่งสูงสุดทั้ง 4 ตำแหน่งนี้ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุด
ปัจจุบัน ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้คือ เหงียน ฝู จ่อง วัย 76 ปี เขาอยู่ในตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 หลังจากได้รับการยกเว้นให้สมัครรับตำแหน่งนี้ได้แม้ว่าอายุเกิน 65 ปี ตามที่จำกัดไว้
ดูเหมือนว่า เขาไม่น่าที่จะลงสมัครต่ออีกสมัย แต่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวรั่วไหลเกี่ยวกับผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทั้ง 4 คนออกมาและมีการส่งต่อกันอย่างกว้างขวางในสื่อเวียดนามว่า นายจ่อง จะอยู่ต่อเป็นสมัยที่ 3
เขาเป็นที่รู้จักจากการทำสงคราม “เตาไฟระอุ” (blazing furnace) ต่อต้านการทุจริตที่เริ่มในปี 2016 ทำให้เจ้าหน้าที่ทางการระดับสูงจำนวนมากรวมถึงสมาชิกคณะกรรมการกรมการเมือง 1 คน ถูกจำคุก
แต่ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำ ก็ยากที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางอย่างสิ้นเชิงของเวียดนามได้ “เวียดนามปกครองด้วยเผด็จการที่มีความเป็นสถาบันสูง การตัดสินใจสำคัญต่างๆ จะอยู่บนพื้นฐานของฉันทามติจากผู้นำทุกคน” เหงียน คัก ซาง อธิบาย
________________________________________
“สถานการณ์ที่ยากลำบากของผู้นำรุ่นเก่าในสังคมคนรุ่นใหม่”
เหงียน ซาง บีบีซี ภาคภาษาเวียดนาม
การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามครั้งที่ 13 เริ่มขึ้น โดยมีตำรวจปราบจลาจลออกมาเดินท้องถนนในกรุงฮานอยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่มีความเสี่ยงที่สำคัญใดๆ ต่อพรรครัฐบาลที่มีสมาชิก 5 ล้านคน ซึ่งดูเหมือนว่าจะควบคุมอนาคตของประเทศได้อย่างเต็มที่ต่อไปอีกอย่างน้อย 10-15 ปี ต้องรอดูต่อไปว่า พรรคคอมมิวนิสต์จะสามารถรักษาอุดมการณ์สังคมนิยมให้คงอยู่ต่อไปอย่างยาวนานได้หรือไม่
ในช่วงทศวรรษข้างหน้า เวียดนามมีโอกาสที่ดีในการรักษาเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ เวียดนามจัดการกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้ค่อนข้างดี โดยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่เป็นบวกในปี 2020
ผู้นำเวียดนามดูเหมือนจะเข้าใจในเรื่องนี้
พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะอยู่ต่อไป แม้ว่าอายุมากแล้ว ทั้งที่พวกเขาบอกว่า ต้องการให้สมาชิกรัฐสภาคนใหม่ทุกคนในรัฐสภาเวียดนาม มีอายุต่ำกว่า 55 ปี และผู้หญิงอายุต่ำกว่า 50 ปี ดูเหมือนว่า พวกเขาต้องการมั่นใจว่า เวียดนามจะมีผู้นำที่สร้างสรรค์และอายุน้อยลง แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้
________________________________________
ความท้าทายคืออะไร
ผู้นำใหม่จะต้องพิจารณาช่วงเวลา 5 ปี ข้างหน้าที่มีความสำคัญยิ่ง คาดว่าการระบาดใหญ่ของโควิดจะฉุดให้ประเทศส่วนใหญ่ในโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่เวียดนามต้องพยายามรักษาการเติบโตไว้
ในช่วงปลายปีที่แล้ว เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามในปี 2021 ถูกตั้งไว้อย่างท้าทายที่ 6.5% ส่วนในปี 2020 เวียดนามเติบโตลดลงมาอยู่ที่ 2.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 30 ปี แต่เวียดนามก็ยังคงทำได้ดีกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลก
การเติบโตที่ช้าลงในปีที่แล้ว แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นเพราะการระบาดใหญ่ของโควิด และดูเหมือนว่า การเติบโตในปี 2021 จะยังคงถูกไวรัสโคโรนาฉุดรั้งไว้ต่อไป
เวียดนามจะต้องหาจุดสมดุลทางภูมิศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐฯ ต่อไป
คาดว่า ท่าทีที่แข็งกร้าวของจีนจะผลักดันให้เวียดนามหันเข้าหาสหรัฐฯ มากขึ้น และถ้าความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลจีนยังคงดำเนินต่อไป ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเวียดนาม