จีนกร้าว เตือนอย่าใช้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เป็นเครื่องมือแทรกแซงจีน ด้วยการมอบให้ม็อบฮ่องกง
เว็บไซต์ Bloomberg รายงานวันที่ 28 ส.ค. ว่า นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าวในการแถลงข่าวระหว่างเยือนประเทศนอร์เวย์ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่าใช้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง หลังมีผู้สื่อข่าวสอบถามถึงแนวโน้มว่า คณะกรรมการรางวัลโนเบลอาจมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ให้กับขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในฮ่องกง
รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนยังย้ำด้วยว่า รัฐบาลจีนต่อต้านความพยายามทุกรูปแบบที่จะใช้รางวัล โนเบลสันติภาพ เป็นเครื่องมือแทรกแซงกิจการภายในของจีนมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน ไปจนถึงอนาคต
แม้รัฐบาลนอร์เวย์จะไม่มีบทบาทในการคัดเลือกผู้ได้รับรางวัลโนเบล แต่เมื่อปี 2553 ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับนอร์เวย์ย่ำแย่ลง จากกรณีที่คณะกรรมการรางวัลโนเบล มอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพให้กับ นายหลิว เสี่ยวโป นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยชาวจีน โดยทางการจีนแสดงความไม่พอใจรัฐบาลนอร์เวย์ ด้วยการระงับการเจรจาการค้าเสรีต่อกัน ก่อนจะเริ่มกลับมามีความสัมพันธ์กันตามปกติในอีก 6 ปีต่อมา
สำหรับท่าทีของรัฐบาลจีนในตอนนี้ ดูเหมือนจะมีความพยายามอย่างมากที่จะสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับชาติยุโรป ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เห็นได้จากการเดินทางเยือนชาติยุโรปอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ซึ่งนอกจากการเยือนนอร์เวย์แล้ว เขายังมีแผนเดินทางไปอิตาลี เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศสและเยอรมนีด้วย
ประธานาธิบดีทรัมป์ แถลงรับเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันอย่างเป็นทางการ ลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย ในศึกเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย. 63
เมื่อ 28 ส.ค. 63 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา แถลงรับการเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันอย่างเป็นทางการ ในการลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย. ที่จะถึงนี้
ในระหว่างการประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกัน ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้กล่าวจากบริเวณสนามทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อคืนวันที่ 27 ส.ค. ตามเวลาท้องถิ่น โดยทรัมป์ยังได้พูดถึงตนเองในฐานะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ปฏิบัติตามกฎและระเบียบ พร้อมกันนั้นทรัมป์ยังให้คำสัญญาว่าหากเขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 สหรัฐฯ จะส่งผู้หญิงไปดวงจันทร์และปักธงชาติสหรัฐฯ บนดาวอังคาร รวมทั้งสหรัฐฯจะต้องชนะการแข่งขันในการพัฒนาเทคโนโลยี 5G รวมถึงเสริมสร้างการรวมวาระแห่งชาติ และนำพาประเทศสหรัฐอเมริกาของเราไปด้วยกัน
นอกจากนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังได้พูดโจมตีคู่แข่งคนสำคัญ นายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตในหลายประเด็น ทั้งพรรคเดโมแครตอยู่ข้างกลุ่มสังคมนิยมหัวรุนแรง และเป็นชนชั้นสูงทางการเมือง รวมทั้งนายไบเดน ยัง ‘เป็นของรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน’
บีบีซี ชี้ว่า สุนทรพจน์ของทรัมป์มีความแตกต่างจากนายไบเดนอย่างชัดเจนที่สุด เพราะนายไบเดนได้กล่าวให้คำมั่นสัญญากับชาวอเมริกันในระหว่างการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตสัปดาห์ก่อนว่า เขาจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของชาวอเมริกัน เมื่อทรัมป์ได้ออกไปจากทำเนียบขาว
สำหรับการกล่าวสุนทรพจน์ของทรัมป์ในระหว่างการรับตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกันอย่างเป็นทางการในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ถือเป็นการกล่าวสุนทรพจน์ในการแถลงรับตำแหน่งเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ใช้เวลานานที่สุดเลยทีเดียว นอกจากนั้นหลังทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์จบแล้วยังมีการจุดดอกไม้ไฟอย่างตระการตาบริเวณรอบอนุสาวรีย์วอชิงตันด้วย
ที่มา : BBC
นาที เมลาเนีย เจอหน้า อิวานกา บนเวทีทรัมป์ รับเป็นตัวแทนชิงปธน.อีกสมัย
แชร์ว่อนโซเชียล เมลาเนีย ทรัมป์ เผชิญหน้า อิวานกา บนเวทีทรัมป์ แถลงรับเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงประธานาธิบดีอีกสมัย ขณะที่อดีตเพื่อนสนิทเมลาเนียเผยผู้หญิงสองคนนี้แย่งอำนาจกันมาหลายปีแล้ว
เมื่อ 28 ส.ค.63 เว็บไซต์เดลี่เมล เผยมีคลิปแชร์ว่อนโซเชียล แสดงให้เห็นถึงสีหน้าของนางเมลาเนีย ทรัมป์ ภริยาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในนาทีที่ได้พบกับอิวานกา ทรัมป์ ลูกสาวคนสวยของสามี บนเวทีที่ทรัมป์แถลงรับการเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันอย่างเป็นทางการ เพื่อชิงชัยการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย เมื่อค่ำวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น
ภาพจากคลิปที่มีคนถ่ายได้ทัน แสดงให้เห็นว่านางเมลาเนีย ที่ยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวาน และเอียงหน้าทักทายอิวานกา ทรัมป์ ซึ่งเดินขึ้นมาบนเวทีเพื่อยืนเคียงข้างประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้เป็นพ่อนั้น ได้แปรเปลี่ยนเป็นอาการโกรธจัดชนิดที่ไม่ชอบอิวานกามากๆ จนเห็นได้ชัดจากสีหน้าและแววตา ในอีกไม่กี่อึดใจต่อมาทันที
การทักทายกันแบบเย็นชาของนางเมลาเนีย กับอิวานกา ที่ต้องมาเผชิญหน้ากันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เนื่องจากเป็นงานสำคัญของทรัมป์นั้น มีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก สเตฟานี วินสตัน โวลค์ออฟ อดีตเพื่อนสนิทของนางเมลาเนีย เปิดเผยเกี่ยวกับ ‘ปฏิบัติการขวางอิวานกา’ ของนางเมลาเนียในหนังสือเล่มใหม่ที่เตรียมจะวางจำหน่าย รวมถึงเผยการแย่งชิงอำนาจของหญิงทั้งคู่ที่เกิดขึ้นมาหลายปี นับตั้งแต่ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้เข้าไปอยู่และทำงานในทำเนียบขาว
เนื้อหาในหนังสือที่เพื่อนของนางเมลาเนียยังเผยด้วยว่า นางเมลาเนียตั้งใจพยายามไม่ให้มีภาพของอิวานกา ลูกสาวคนสวยของทรัมป์อยู่ในภาพการรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทรัมป์ด้วย
สื่อเกาหลีเหนือ สยบข่าวลือ “คิม จอง อึน” อาการโคม่า เผยภาพล่าสุดยังลงพื้นที่เดินดูพืชผลไร่นาที่ได้รับความเสียหายจากไต้ฝุ่นบาวี
สำนักข่าวกลางเกาหลี หรือ KCNA รายงานข่าว ประธานาธิบดีคิม จอง อึน ของเกาหลีเหนือ ลงพื้นที่ตรวจสอบพืชผลไร่นาในจังหวัดฮวางแจใต้ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่นบาวี ที่พัดเข้าเกาหลีเหนือ โดยรายงานข่าวระบุว่า พายุไต้ฝุ่นลูกนี้สร้างความเสียหายให้เกาหลีเหนือไม่มากอย่างที่คิด
ขณะเดียวกันรายงานว่า พายุไต้ฝุ่นบาวี พัดขึ้นฝั่งเกาหลีเหนือที่จังหวัดฮวางแจใต้ เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดี (27 ส.ค.) ขณะที่ตอนนี้รัฐบาลกำลังพยายามเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ฝนตกกหนัก ตั้งแต่เมื่อเดือนช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
รายงานข่าวของ KCNA ไม่ได้ระบุว่า เป็นภาพที่ถ่ายไว้วันไหน แต่สำนักข่าว AFP ระบุว่า จากเส้นทางการเคลื่อนตัวของพายุ และแสงในภาพ มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นช่วงบ่ายวันพฤหัสบดี
เกาหลีรับมือไต้ฝุ่นซัดเข้าคาบสมุทร
ไต้ฝุ่น “บาวี” (Bavi : ชื่อภูเขาทางภาคเหนือเวียดนาม) พัดเข้าคาบสมุทรเกาหลีเมื่อ 26 ส.ค. หอบความเร็วลมสูงสุด 162 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พัดขึ้นฝั่งเกาะรีสอร์ททางใต้ “เจจู” เมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกัน ทำให้ต้นไม้หักโค่นบริเวณกว้าง ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ฉีกขาด ไฟสัญญาณจราจรเสียหายอย่างน้อย 1 จุด แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาเกาหลีใต้ระบุไต้ฝุ่นเริ่มส่งผลกระทบกับพื้นที่แผ่นดินใหญ่ช่วงกลางคืนก่อนพัดเข้าพื้นที่ภาคตะวันตกของเกาหลีเหนือ เมื่อช่วงเช้า 27 ส.ค. ทางการเตือนภัยลมพัดกระโชกแรงและฝนตกหนัก ก่อนหน้านี้มีการยกเลิกเที่ยวบินเข้าออกเกาะเจจูกว่า 330 เที่ยวบิน สั่งปิดสวนสาธารณะและแจ้งเตือนภัยพร้อมอพยพเรือประมงและเรืออื่นๆ
ขณะเดียวกัน นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ กล่าวระหว่างประชุมคณะกรรมการระดับสูงพรรครัฐบาลเกาหลีเหนือ เตือนภัยการระบาดของไวรัสโควิด-19 และเรียกร้องให้เตรียมรับมือไต้ฝุ่นบาวีเพื่อลดทอนความเสียหายและการบาดเจ็บล้มตาย ส่วนที่อัฟกานิสถาน มีผู้เสียชีวิตแล้ว 70 คน บาดเจ็บ 40 คน จากเหตุ
น้ำท่วมหนักที่จังหวัดพาร์วา ทางภาคเหนือ
หลายๆ ปมปัญหากำลังถาโถมรัฐบาล “บิ๊กตู่” แม้มีการปรับ ครม.ชุดใหม่ไปแล้ว แต่หลายฝ่ายมองว่า ไม่ได้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น หรือคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะเป็นเพียงการแก้ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น
หากประเมิน 5 ความเสี่ยง อาจทำให้รัฐบาล “บิ๊กตู่” ไม่ได้ไปต่อ จนครบวาระ 4 ปีในการบริหารประเทศ ทางด้าน รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” โดยเริ่มจาก อันดับหนึ่ง คือ ปัญหาเศรษฐกิจ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับประชาชนในลักษณะห่วงโซ่อุปทาน และผลจากปัญหาเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมากมาย โดยเฉพาะรายได้ของครอบครัวที่ลดลง เป็นเรื่องใกล้ตัวมากหากเศรษฐกิจไม่ได้รับการฟื้นฟูให้ดีขึ้น และนับไปอีก 3 เดือน ทั้งจากการทำงานของ ครม.ชุดใหม่ จะเห็นทิศทางในการแก้ปัญหาได้หรือไม่ และการฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด รวมถึงภาคท่องเที่ยว จะได้รับการฟื้นฟูอย่างไร
อันดับสอง จากการชุมนุมของนิสิต นักศึกษา จะขยายตัวหรือไม่ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดหลังมีการชุมนุมเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้เกิดกระแสการเคลื่อนไหวไปยังระดับโรงเรียน และในเดือน ก.ย.นี้ จะเกิดการชุมนุมเคลื่อนไหวอีก ผนวกกับใน 3 เดือนข้างหน้า ผลประกอบการของธุรกิจต่างๆ จะออกมา หากมีการปิดกิจการ ส่งผลให้คนตกงานเพิ่มมากขึ้น ได้รับความเดือดร้อน นำไปสู่การชุมนุม แม้อุดมการณ์อาจไม่ใช่ทางเดียวกัน แต่มีความต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลเช่นเดียวกัน
เรื่องต่อมาใน อันดับสาม กรณีจัดซื้อเรือดำน้ำ แม้ที่ผ่านมามีคำอธิบายจากกองทัพเรือเรื่องการทำสสัญญากับจีน และรัฐบาลพยายามชี้แจงว่าเป็นงบประมาณผูกพัน มีการดำเนินการไปแล้วบางส่วน แต่ไม่ได้ทำให้สังคมหยุดคัดค้านเลิกวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนการจัดซื้อเรือดำน้ำจะถอยหรือไม่ เกี่ยวข้องกับการเดินหน้าของรัฐบาล เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมายืนยันชัดเจนแล้วจะไม่สนับสนุน หากรัฐบาลยังคงไม่ถอย จะเป็นประเด็นทางการเมืองที่ร้อนแรงทั้งในและนอกสภาในเรื่องความโปร่งใส
อันดับสี่ ประเด็นเหมืองแร่ทองคำอัครา อาจเป็นจุดอ่อนที่จะถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นการเมือง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการพูดถึงการใช้มาตรา 44 ส่งผลให้รัฐบาลต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับบริษัทผู้รับสัมปทาน อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือนำไปโยงกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 ในเรื่องการออกประกาศคำสั่งของ คสช. จากปัญหาการใช้มาตรา 44
อันดับห้า อีกหนึ่งความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อรัฐบาล ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นกติกาที่จะทำให้สังคมเดินหน้าได้หรือไม่ ทำให้รัฐบาลต้องยอมและเห็นควรแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีร่างรัฐธรรมนูญฉบับรัฐบาล, ร่างรัฐธรรมนูญฉบับพรรคเพื่อไทย และฉบับพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นการตกผลึกของทุกฝ่าย แต่หากมีจุดใดจุดหนึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ จะเกิดปัญหานำไปสู่การเรียกร้องกติกาและความเป็นธรรมในสังคม ว่าจะสามารถเดินต่อไปได้ด้วยความเป็นธรรมหรือไม่ หรือเป็นไปทางตรงกันข้าม
“สิ่งที่จะส่งผลกระทบต่อรัฐบาลในการจะอยู่หรือไป มองว่าเรื่องเศรษฐกิจ เกิดจากกระบวนการทำงานที่มาจากรัฐบาลทั้งสิ้น ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด หากรัฐบาลแก้ไขไม่ได้ จะส่งผลกระทบมากมายต่อรัฐบาล และยังมีความเสี่ยงทั้งการเมืองในสภา และนอกสภา จากการชุมนุมเคลื่อนไหว เป็นปัจจัยที่รัฐบาลต้องเผชิญ เพราะทุกอย่างมีการเชื่อมโยงกันหมด และขณะนี้รัฐบาลพยายามแก้ไข อาจยังไม่ถึงขั้นสั่นคลอนรัฐบาล เพราะหลายอย่างเพิ่งเริ่มต้น”
นอกจากนี้จะเห็นการชุมนุมเคลื่อนไหวมีการขยายตัวมากขึ้น แต่ยังไม่มีพลังจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ต้องรอดูเดือน ก.ย. นี้ จะเกิดพลังมากน้อยเพียงใด อาจมีม็อบต่างๆ เข้ามาเสริม ทั้งม็อบเกษตรกร และม็อบผู้ใช้แรงงาน หากม็อบต่างๆ มาเชื่อมต่อกัน จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นและขยายวงกว้าง ทำให้โอกาสของรัฐบาลอยู่ได้ยากมากขึ้น และเมื่อรวมกับเรื่องเรือดำน้ำ เหมืองทองอัครา และการแก้รัฐธรรมนูญ เป็นปัจจัยที่
เกิดจากรัฐบาลกำหนดยุทธศาสตร์ นโยบายกรอบการทำงาน จะยิ่งส่งผลกระทบต่อรัฐบาลมากขึ้น
สุดท้ายแล้วนายกรัฐมนตรี อาจต้องลาอออก มีความเป็นไปได้สูงมากกว่าการยุบสภา เพราะสุดท้ายแล้วจะสามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีก จากการโหวตในสภาซึ่งมีเสียงข้างมาก ส่วนการรัฐประหาร มีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เนื่องจากโครงสร้างกองทัพมีทั้งกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และระบบอาวุโส ซึ่งทั้งหมดจะต้องรอจังหวะ เวลา และโอกาส ทำให้การรัฐประหารในไทยมีความเป็นไปได้ตลอด หรืออาจเป็นกลุ่มใหม่ก่อรัฐประหารก็อาจเป็นไปได้
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012