ข่าว
''สถานทูตปารีส'เตือนคนไทยในฝรั่งเศสระวังการก่อการร้าย หลีกเลี่ยงสถานที่คนพลุกพล่าน

27 มีนาคม 2567 จากกรณีที่รัฐบาลฝรั่งเศสได้ประกาศยกระดับการเฝ้าระวังภัยการก่อการร้ายเป็นระดับสูงสุด ภายหลังเกิดเหตุก่อการร้ายที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น

ต่อมาเฟซบุ๊ก'Royal Thai Embassy - Paris, France - สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส' ออกจดหมายแถลงการณ์ว่า "สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส ขอเรียนว่า รัฐบาลฝรั่งเศสได้ประกาศยกระดับการเฝ้าระวังภัยการก่อการร้ายเป็นระดับสูงสุด ภายหลังเกิดเหตุก่อการร้ายที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยการยกระดับการเฝ้าระวังภัยดังกล่าวจะทำให้หน่วยงานความมั่นคงติดอาวุธของฝรั่งเศสสามารถปฏิบัติการอารักขาพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะสถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน และศาสนสถานต่างๆ ในการนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอประกาศเตือนคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวไทยในฝรั่งเศสให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางและหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีคนชุมนุมเป็นจำนวนมาก"

โดยประกาศของสถานทูต ระบุว่า "ตามที่รัฐบาลฝรั่งเศสได้ประกาศยกระดับการเฝ้าระวังภัยก่อการร้าย เป็นระดับสูงสุด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2567 ภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติที่จัดขึ้นอย่างฉุกเฉินภายหลังจากเหตุการก่อการร้ายที่กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซียเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 อันเป็นเหตุให้ มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมากลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง IS ได้ออกมาอ้างว่าเป็นผู้ก่อเหตุโศกนาฏกรรม

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส ขอเรียนว่า การยกระดับการเฝ้าระวังภัยก่อการร้ายเป็นระดับสูงสุดดังกล่าวจะทำให้หน่วยงานความมั่นคงที่ติดอาวุธของฝรั่งเศสสามารถปฏิบัติการได้เป็นพิเศษเพื่ออารักขาพื้นที่ สาธารณะ โดยเฉพาะสถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน และศาสนสถานต่าง ๆ ในการนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงขอประกาศเตือนคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวไทยในฝรั่งเศสให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางและหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีคนชุมนุมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานที่ที่มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ของประเทศ โดยขอให้ติดตามข่าวสาร เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ในกรณีฉุกเฉินที่คนไทยในฝรั่งเศสจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ สามารถติดต่อสถาน เอกอัครราชทูตฯ ทางหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน +33 (0) 6 46 71 96 94"

กมธ.ปปง.เชิญหน่วยงานแจงปมขายทองหมื่นกิโลฯ อุบเป็นคนใกล้ชิด‘บิ๊กโจ๊ก’

27 มีนาคม 2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง. ) และยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีเครือข่ายเว็บไซต์การพนันออนไลน์ของ น.ส.ธันยนันท์ หรือมินนี่ กับพวก ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยมีการเชิญเลขาธิการคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ประธานคณะกรรมการบริหารร้านทองแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกระแสข่าวว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. นำทองจำนวนหนึ่งไปขาย รวมถึงนายกสมาคมค้าทองคำ และนายกสมาคมเพชรพลอยเงินทอง เข้าให้ข้อมูล ทั้งนี้ประธานคณะกรรมการบริหารร้านทอง ได้ส่งฝ่ายกฎหมายเข้าชี้แจงแทน ซึ่งใช้เวลาในการประชุมกว่า 3 ชั่วโมง

จากนั้นเวลา 15.35 น. นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล สส.เลย พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธาน กมธ.ฯ ให้สัมภาษณ์ว่า ประเด็นสำคัญในการประชุมวันนี้ คือ จากที่มีการนำเสนอข่าวว่าคนใกล้ชิดนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เอาทองจำนวนมากไปขายเป็นข้อเท็จจริงแค่ไหน ในการขายทองนั้นมีการรายงานธุรกรรมทางการเงินหรือไม่ และมีการให้เงินสดหรือโอนเงินอย่างไร ซึ่งจะเป็นบรรทัดฐานให้กับร้านขายทองหรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายทอง เพราะทองกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่อยู่ในกระบวนการฟอกเงินไปแล้ว

นายเลิศศักดิ์ กล่าวต่อว่า หากร้านขายทอง สมาคมผู้ค้าทองคำ สมาคมเพชรพลอยเงินทอง ปฏิบัติตามกฎหมายของปปง.อย่างชัดเจน ก็จะช่วยเรื่องของการฟอกเงินได้มากขึ้น ซึ่งคำตอบก็เป็นไปตามที่สื่อมีข้อสงสัยและร้านทองก็มีการรายงานธุรกรรมถูกต้อง ซึ่งปปง.ได้รับทราบข้อมูลแล้ว และมีการซื้อขายทองโดยจ่ายเป็นเงินสด ซึ่งทางร้านทองมีการระบุว่าเวลาที่ไปขายทอง ต้องมีการแสดงตัวตนคือการใช้บัตรประชาชน ฉะนั้นจะไม่ทราบว่ามียศมีตำแหน่ง

นายเลิศศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนหลังจากนี้ทางปปง. จะมีการดำเนินงานอย่างไรต่อ ก็เป็นในส่วนรูปคดี ซึ่งกมธ.จะไม่เกี่ยวข้องในส่วนนั้น แต่เราจะเน้นดูในส่วนของข้อเท็จจริงว่ามีการรายงานธุรกรรมทางการเงินหรือไม่ และสิ่งที่สื่อนำเสนอไปนั้นมีข้อเท็จจริงแค่ไหน และการซื้อขายทองที่เป็นในลักษณะก้อนใหญ่เช่นนี้มีความผิดปกติหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ร้านทองไม่ได้ให้ข้อมูลเยอะ เพราะอ้างสิทธิ์ว่าให้ข้อมูลกับปปง. ไปหมดแล้ว และปปง.ไม่อยากให้เสียรูปคดี

เมื่อถามว่า ในการซื้อขายทองเกิดขึ้นกี่ครั้งและเป็นคนเดียวกันนำไปขายตลอดเลยหรือไม่ นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า เกิดขึ้นหลายครั้ง มียอดใหญ่บ้างและย่อยบ้าง และมีหลายบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยในการซักถามนั้น เราถามในช่วงของปี 2563 และการนำทองยอดใหญ่ที่ซื้อมาไปขายนั้น มีการทำเช่นนี้บ่อยหรือไม่

เมื่อถามย้ำว่า คนที่นำทองไปขายเป็นคนใกล้ชิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช่หรือไม่ นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า เป็นไปตามที่มีการนำเสนอข่าว แต่เราไม่ได้ซักถามว่าเป็นคนใกล้ชิดหรือไม่ เราได้แค่ถามตามที่มีการนำเสนอข่าวมาว่ารายชื่อเหล่านี้ได้อยู่ในรายงานธุรกรรมหรือไม่

เมื่อถามต่อว่า จำนวนทองที่นำมาขายเป็นจำนวน 10,000 กว่ากิโลกรัม ใช่หรือไม่ นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า จะมากหรือจะน้อยไม่ทราบได้ แต่ย้ำว่าเราถามตามที่เป็นข่าวว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่

เมื่อถามว่า การทำธุรกรรมในครั้งนั้นไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายปปง. ใช่หรือไม่ นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า เป็นไปตามพระราชบัญญัติ ปปง. มีการรายงาน ทางธุรกรรมทางการเงินจากการซื้อขายทองถูกต้อง และมีหลักฐานชัดเจนทั้งหมด ส่วนจะมีการโยงไปถึงใครหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่และคณะกรรมการส่วนต่างๆ ที่มีการตั้งขึ้นมา

“ยืนยันว่ามีการรายงานธุรกรรมจากการซื้อขายทองจริง กมธ.จะไม่ได้ล้วงลึกไปถึงว่าการสอบสวนเป็นอย่างไร เพราะเป็นหน้าที่ของปปง. และเราจะไม่มีการสอบอะไรเพิ่ม เราจะจบแค่นี้เพราะเราทราบข้อเท็จจริงแล้ว ส่วนรายละเอียดเชิงลึกจะเป็นเรื่องของปปง.” นายเลิศศักดิ์ กล่าว


'จักรภพ'ยังมีหมายจับติดตัว ลงเครื่องถึงไทยปุ๊บถึงต้องไปกองปราบฯทันที

27 มี.ค. จากกรณี นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างการลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว จักรภพ เพ็ญแข – Jakrapob Penkair ว่า “วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม 2567 เวลา 07.35 น.จักรภพ เพ็ญแข กลับไปรับใช้ เมืองไทยครับ”นั้น

ล่าสุด มีรายงานว่า นายจักรภพ เพ็แข จะถึงไทยโดยจะออกทางประตู 9 ชั้น 2 ของสนามบินสุวรรณภูมิ เวลาราว 8.00 น. (ไฟลท์บินลง 07.35 น.) จากนั้นจะเดินทางไปกองปราบปรามฯ กรณีหมายจับในข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายและเป็นอั้งยี่ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะเป็นคนพามาที่กองปราบฯ

ทั้งนี้ ทางนายจักรภพพร้อมจะเปิดใจให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วย


ขุมนรก‘เล่าก์ก่าย’! สาวไทยเล่าเหมือนตายทั้งเป็น โดนหลอกขาย‘จีนเทา’บังคับค้ากามนับปี

27 มีนาคม 2567 นางสาวเอ อายุ 28 ปี เดินทางมาที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากเพื่อนชวนไปทำงานเป็นล่ามแปลภาษาจีนที่ประเทศเมียนมา แต่กลับถูกขายให้กับคนจีนเทาบังคับค้าประเวณี

นางสาวเอ เล่าว่า ตนเป็นคน จ.สกลนคร ทำงานเป็นล่ามภาษาจีน รายได้ไม่พอรายจ่าย และพี่ชายได้รับอุบัติเหตุต้องใช้เงินรักษาตัวจำนวนมาก ต่อมามีเพื่อนชื่อนางสาวบี (นามสมมุติ) ที่ทำงานอยู่เมืองเล่าก์ก่าย ประเทศเมียนมา ชักชวนให้ตนไปทำงานเป็นล่ามที่บริษัทแห่งหนึ่งในเมืองเล่าก์ก่าย บอกว่ารายได้ดี ตนก็หวังว่าจะช่วยครอบครัวได้ จึงตัดสินใจเดินทางไปช่วงเดือน ต.ค.65 โดยตนเดินทางจาก จ.สกลนคร ไป จ.เชียงใหม่ และไปต่อที่ อ.เชียงดาว ก่อนจะมาคนมารับเดินทางต่อไปทางช่องทางธรรมชาติข้ามไปเมียนมา ใช้เวลาถึง 8 วัน เมื่อไปถึงพบกลุ่มคนจีนจ่ายเงินให้นางสาวบี เป็นเงิน 300,000 บาท ตนจึงรู้ตัวว่าถูกขายและนางสาวบีก็ได้หลบหนีไป

นายสาวเอ เล่าต่อว่า จากนั้นเขาก็บังคับให้ตนทำงาน โดยคนจีนบังคับรุมโทรม และเขาติดต่องานมาให้เราทำ ตนตกใจเหมือนกัน เขาบังคับให้ตนค้าประเวณี ให้รับลูกค้าแต่ละวันไม่ต่ำกว่า 10 คน และต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งตนต้องทำงานใช้หนี้ที่เพื่อนตนเอาเงินไป พอจะหมดหนี้แล้วเขาก็ให้เซ็นสัญญา ถ้าไม่เซ็นจะถูกเขาทำร้าย และตนถูกขังอยู่ในห้องที่เป็นลูกกรง แต่ตนไม่ยอมเซ็นสัญญา เพราะไม่ไหวแล้ว เขาก็ใช้ด้ามปืนตบมาที่ศีรษะ ตนสมองบวมเพราะมีเลือดคั่งในสมอง ซึ่งเขาพาตนไปส่งโรงพยาบาล ตนต้องยอมทำต่อไป

“การทำร้ายเขาจะขู่ด้วยมีด ใช้ไม้ตบตี เตะบ้าง ต่อมาจะมีกวาดล้างพวกจีนเทาโดยรัฐบาลจีน ซึ่งเขาจะขายตนให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในราคา 1,500,000 บาท แต่ตนไม่ยอม เขาก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน เขาก็ขายตนให้กับแก๊งที่อยู่เมียวดี ไปทำงานค้าประเวณีเหมือนกัน และมีคนที่เมียวดีบอกกับตนว่ามีมูลนิธิปวีณาฯที่ช่วยเหลืออยู่ ตนจึงขอยืมโทรศัพท์เขา และติดต่อมูลนิธิปวีณาฯให้เข้าไปช่วยเหลือ ตนอยู่ที่เมียนมา 15 เดือน ตนต้องยอมทำตามหวังว่าใช้หนี้หมดจะได้กลับบ้าน แต่เมื่อใช้หนี้หมดสุดท้ายก็ถูกจับตัวไว้ และถูกบังคับให้ค้าประเวณีอีก ช่วงนั้นที่เมืองเล่าก์ก่ายมีสงครามรบกัน โดนตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดสัญญาณโทรศัพท์ทั้งหมด ทำให้ตนไม่สามารถติดต่อใครได้เลย กระทั่งมาติดต่อมูลนิธิปวีณาฯได้ ตนต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก ยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น ตนได้กลับไทย เหมือนตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง” นางสาวเอ กล่าว

ด้านนางปวีณา กล่าวว่า หลังรับเรื่องจากนางสาวเอ ตนได้ประสานไปยังหน่วยงานความมั่นคงของ จ.ตาก ทันที ต่อมาวันที่ 17 มี.ค.67 มูลนิธิปวีณาฯได้ทราบข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงของ จ.ตาก ว่า สามารถช่วยเหลือนางสาวเอ ออกมาได้แล้ว มูลนิธิปวีณาฯจึงได้รับนางสาวเอ เข้าพักอยู่ในความคุ้มครองของมูลนิธิปวีณาฯ และได้ประสาน พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม. ก่อนจะมอบหมายให้นายเอกภาพ หงสกุล ผู้อำนวยการมูลนิธิปวีณาฯ พานางสาวเอ เข้าแจ้งความ และส่งตัวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์ และติดตามจับกุมขบวนการค้ามนุษย์มาดำเนินคดีต่อไป

ทั้งนี้ ขอเตือนภัยสาวไทยทุกคนอย่าหลงเชื่อ หากได้รับการชักชวนไปทำงานต่างแดน และประเทศเพื่อนบ้าน ต้องตรวจสอบจากกระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ หรือมูลนิธิปวีณาฯ ให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะงานสบายรายได้ดีไม่มีจริง และอาจจะต้องตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมาน ตกนรกทั้งเป็น ไม่ได้เงินแล้วยังต้องเป็นหนี้ ถูกบังคับค้าประเวณี ทำงานผิดกฎหมาย และบางคนก็เอาชีวิตไม่รอด ซึ่งเจ้าหน้าที่อาจจะช่วยเหลือไม่ได้ทุกคน

เรือบรรทุกสินค้าชน'สะพานบัลติมอร์'ถล่มเป็นเรื่องผิดปกติ ชี้การสร้างสะพานใหม่ต้องใช้เงินมหาศาล

27 มีนาคม 2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'เดวิด ไนท์' ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เปิดเผย เกี่ยวกับกรณีเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ชนเข้ากับตอม่อสะพานฟรานซิส สกอตต์ คีย์ ในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ ของสหรัฐฯจนเป็นเหตุให้สะพานพังถล่มลงมานั้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์สะพานถล่มครั้งใหญ่เนื่องจากถูกเรือชนครั้งแรกในรอบ 40 ปี ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่ผิดปกติที่สะพานจะถล่มลงมาเพราะแรงกระแทกจากเรือ เราเคยมีตัวอย่างของเรือที่ชนต่อม่อสะพาน แต่ปกติแล้ว ตอม่อจะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับแรงกระแทกจากเรือได้ระดับหนึ่ง

ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เปิดเผยอีกว่า การสร้างสะพานใหม่จะใช้เวลานานประมาณ 18 เดือน ถึง 2 ปี ยังไม่นับช่วงเวลาออกแบบ เพื่อวางแผนในการก่อสร้างสะพานใหม่ ที่น่าจะเกิดขึ้นคือ ต้องมีการสืบสวนอย่างละเอียดจากซากที่เหลืออยู่การสร้างสะพานใหม่จะใช้เวลานาน เป็นได้ไปได้ว่าจะต้องมีการสร้างรากฐานใหม่ และโครงสร้างใหม่ทั้งหมดแทนสะพานเดิม ซึ่งระยะเวลาในการก่อสร้างสะพานใหม่นั้นน่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี แต่ก่อนหน้านั้นต้องมีช่วงเวลาออกแบบที่ต้องมีทีมวิศวกรโครงสร้าง นักออกแบบ และผู้คุมงานก่อสร้าง เพื่อวางแผนว่าจะสร้างสะพานอย่างไรให้แข็งแรง ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสะพานใหม่ คาดว่าน่าจะเงินจำนวนหลายร้อยล้านปอนด์ โดยอ้างอิงจากการซ่อมสะพานของอังกฤษไม่นานมานี้ ซึ่งใช้งบประมาณอยู่ที่ 600 ล้านปอนด์หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 27,000 ล้านบาท