ข่าว
องค์การยาแห่งยุโรป เผย 4 วัคซีนป้องกันเชื้อเดลต้าได้

เว็บไซต์ วิทยุนานาชาติฝรั่งเศส (อาร์เอฟไอ) รายงานว่า นาย มาร์โก คาวาเลอรี หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์วัคซีน ประจำ สำนักงานยาแห่งยุโรป (อีเอ็มเอ) เปิดเผยเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ยืนยันว่า วัคซีน 4 ตัวที่สหภาพยุโรป (อียู) ใช้ฉีดให้กับประชาชน สามารถป้องกันเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์สายพันธุ์เดลต้า ซึ่งพบครั้งแรกในประเทศอินเดียได้

“ข้อมูลที่ปรากฏจากหลักฐานในการใช้งานจริงแสดงให้เห็นว่าการได้รับวัคซีนเหล่านี้ครบ 2 เข็ม สามารถป้องกันเชื้อเดลต้า แวเรียนท์ ได้” นายคาวาเลอรีระบุ

ทั้งนี้วัคซีน 4 ตัวที่ใช้กันในอียู ประกอบด้วยวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์-ไบออนเทค, โมเดอร์นา, แอสตร้าเซนเนก้า และจอห์นสันแอนด์จอหน์สัน (เจแอนด์เจ) ซึ่งนอกจากจะป้องกันเชื้อเดลตาได้แล้ว ยังสามารถป้องกันเชื้อสายพันธุ์กลายพันธุ์อื่นๆ ที่แพร่ระบาดอยู่ในเวลานี้ได้อีกด้วย

นายคาวาเลอรี เปิดเผยด้วยว่า ทางอีเอ็มเอ กำลังศึกษาวิจัยอยู่ว่า จำนวน 2 เข็มของวัคซีนที่ใช้กันอยู่ในเวลานี้ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันที่เพียงพอต่อการป้องกันเชื้อเดลต้าและเชื้อโควิดกลายพันธุ์อื่นๆ หรือไม่ หรือจำเป็นต้องเพิ่มวัคซีนเข็มที่ 3 สำหรับกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับการป้องกันนี้

“ในตอนนี้ ยังไม่ชัดเจนว่า วัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 จำเป็นในการคงระดับการป้องกันของวัคซีนเหล่านั้นหรือไม่” นายคาวาเลอรีระบุ พร้อมกันนั้น ก็ระบุด้วยว่า อีเอ็มเอ ตระหนักดีถึงการใช้วัคซีนผสม 2 ยี่ห้อที่สมาชิกอียูบางประเทศนำมาใช้ โดยชี้ว่า วิธีการใช้วัคซีนผสมกัน 2 ยี่ห้อนี้เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต อย่างไรก็ตามนายคาวาเลอรียอมรับว่า อีเอ็มเอ ไม่อยู่ในสถานะที่จะให้คำแนะนำแบบจำเพาะเจาะจงในกรณีนี้ได้

แคนาดาอ่วมอุณหภูมิพุ่ง 49 องศา ตายเกือบ 500 ศพ

คลื่นความร้อนแคนาดา ร้อนทะลุ 49 องศาคร่าชีวิต เกือบ 500 ศพ ขณะที่ทางการต้องเร่งอพยพประชาชนนับพันหนีไฟป่าที่ลามเป็นวงกว้าง

คลื่นความร้อนครั้งประวัติศาสตร์ ที่เข้าปกคลุมทั้งแคนาดาและสหรัฐฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในภาคตะวันตกของสหรัฐฯ แล้วราว 100 ศพ และมีผู้เสียชีวิตทั้งในบริติชโคลัมเบีย และแคนาดาอีกเกือบ 500 ศพ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบสาเหตุว่าเกิดจากอากาศร้อนจัดโดยตรงหรือไม่

โดยอุณหภูมิสูงสุดพุ่งขึ้นถึง 121 องศาฟาเรนไฮต์ หรือราว 49.6 องศาเซลเซียสในสัปดาห์นี้ ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในแคนาดา ทำให้หลายพื้นที่ต้องพยายามคลายความร้อนด้วยการนำรถน้ำมาฉีด

ละอองน้ำคลายร้อน ตามสนามเด็กเล่น รวมทั้งฟาร์มเลี้ยงสัตว์ต่างๆ โดยคาดว่าอุณหภูมิจะยังมีโอกาสพุ่งสูงสุดดทำลายสถิติในช่วง 2-3 วันนี้ ในขณะที่คลื่นความร้อนจะเคลื่อนตัวไปทางตะวันออกเข้าสู่ตอนกลางของแคนาดาต่อไป

คลื่นความร้อนยังส่งผลให้เกิดไฟป่าครั้งรุนแรงในแคนาดา เผาพื้นที่กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของเมือง ลิตตัน ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองแวนคูเวอร์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ราว 250 กิโลเมตร บ้านเรือนประชาชนจำนวนมากถูกไฟป่าเผาทำลาย จนต้องสั่งอพยพประชาชนกว่า 1,000 คนออกจากพื้นที่ นอกจากนี้ในเมืองบริติชโคลัมเบียยังมีรายงานเกิดไฟป่ามากถึง 62 จุดในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาด้วย แต่ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุไฟป่า


สหรัฐฯ-นาโต้ ถอนทหารชุดสุดท้าย เกลี้ยงฐานทัพอากาศบากรัมในอัฟกานิสถาน

สหรัฐฯ-นาโต้ วันที่ 2 ก.ค. บีบีซี รายงานว่า กองกำลังสหรัฐอเมริกาและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ชุดสุดท้าย เดินทางออกจากฐานทัพอากาศบากรัม ทางเหนือของกรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถานแล้ว หลังฐานทัพอากาศดังกล่าวเป็นศูนย์กลางของการทำสงครามกับกลุ่มติดอาวุธมากว่า 20 ปี

นับเป็นสัญญาณว่ากองกำลังต่างชาติถอนตัวออกจากอัฟกานิสถานใกล้สิ้นสุด ตามที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า กองกำลังสหรัฐจะไปจากอัฟกานิสถานภายในเส้นตายวันที่ 11 ก.ย. ซึ่งเป็นวันครบรอบวินาศกรรม 11 กันยายน 2544 คร่าชีวิตเกือบ 3,000 ราย โดยฝีมือของกลุ่มผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ซึ่งมีที่มั่นในอัฟกานิสถาน ด้วยการสนับสนุนของกองกำลังตาลิบันที่ควบคุมอัฟกานิสถานตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990

ต่อมาในปีเดียวกันนั้น พันธมิตรทางทหารที่นำโดยสหรัฐบุกอัฟกานิสถานเพื่อเอาชนะทั้งสองกลุ่มผู้ก่อการร้าย จนถึงตอนนี้สหรัฐต้องการยุติสงครามยืดเยื้อที่สุดของประเทศด้วยการสูญเสียชีวิตและค่าใช้จ่ายมหาศาล และให้รัฐบาลอัฟกานิสถานรักษาความมั่นคงเอง

คาดว่าล่าสุดทหารอเมริกันราว 2,500-3,000 นาย ยังประจำการในอัฟกานิสถาน และเมื่อถอนตัวออกไปแล้วจะเหลือเพียงไม่ถึง 1,000 นาย ขณะที่ทหารพันธมิตร จากตัวเลขจนถึงเดือน พ.ค. ประจำการในอัฟกานิสถานราว 7,000 นาย แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่ถอนตัวออกไปแล้ว โดยเยอรมนีและอิตาลีเพิ่งประกาศเสร็จสิ้นภารกิจเมื่อวันพุธที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การถอนกองกำลังออกจากฐานทัพบากรัมครั้งนี้มีขึ้นขณะที่กองกำลังตาลิบันเดินหน้ารุกคืบยึดคืนพื้นที่หลายหลายสิบแห่งของประเทศ ท่ามกลางความกังวลว่า สงครามกลางเมืองครั้งใหม่อาจปะทุขึ้นหลังไร้กองกำลังต่างชาติแล้ว

นายฟาวัด อามาน โฆษกกระทรวงกลาโหมอัฟกานิสถาน ทวีตข้อความวันนี้ว่า “ต่อจากนี้ กองกำลังทหารอัฟกันจะปกป้องและใช้ฐานทัพอากาศแห่งนี้เพื่อต่อสู้กับการก่อการร้าย”

ขณะที่โฆษกตาลิบันยินดีที่กองกำลังสหรัฐถอนตัวออกจากฐานทัพบากรัม เป็นการปูทางให้ชาวอัฟกันตัดสินใจอนาคตของพวกเขาด้วยกันเอง

ความสำคัญของฐานทัพบากรัม

ฐานทัพบากรัมตั้งอยู่ห่างจากกรุงคาบูลไปทางเหนือราว 40 กิโลเมตร และตั้งชื่อตามหมู่บ้านบากรัมที่อยู่ใกล้เคียง ก่อสร้างรัฐบาลอดีตสหภาพโซเวียตซึ่งยึดครองอัฟกานิสถานเมื่อทศวรรษที่ 1980

ต่อมา เดือนธ.ค. 2544 กองกำลังผสมที่นำโดยสหรัฐย้ายเข้ามาประจำการ และพัฒนาเป็นฐานทัพขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับทหารได้มากถึง 10,000 นาย และยังใช้เป็นสถานที่นักผจญเพลิงและตำรวจนิวยอร์กบินมาฝังเศษซากปรักหักพังจากตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่พังถล่มในวินาศกรรม 11 กันยายน 2544 ด้วย

ฐานทัพบากรัมมี 2 รันเวย์ โดยรันเวย์ก่อสร้างใหม่สุดมีความยาว 3.6 กม ซึ่งเครื่องบินขนส่งสินค้าขนาดใหญ่และเครื่องบินทิ้งระเบิดสามารถลงจอดได้ นอกจากนี้ มีจุดจอดเครื่องบิน 110 แห่ง มีกำแพงป้องกัน ระเบิด และมีโรงพยาบาลขนาด 50 เตียงพร้อมห้องผู้บาดเจ็บ ห้องผ่าตัด 3 ห้อง และคลินิกทันตกรรมทันสมัยด้วย

โรงเก็บเครื่องบินและอาคารต่างๆ ของฐานทัพบากรัม รวมถึงเรือนจำหลักสำหรับผู้ถูกควบคุมตัวโดยกองกำลังสหรัฐในช่วงจุดสูงสุดความขัดแย้ง กลายเป็นที่รู้จักในชื่อเรือนจำ “กวนตานาโม” ของอัฟกานิสถาน เหมือนชื่อเรือนจำโด่งดังของสหรัฐในคิวบา

นอกจากนี้ ฐานทัพบากรัมเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่รายการวุฒิสภาสหรัฐว่าด้วยการสอบสวนของสำนักข่าวกรองกลาง หรือซีไอเอ ต่อผู้ต้องสงสัยกลุ่มอัลกออิดะห์ รวมถึงการซ้อมทรมานในสถานกักกันด้วย

จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ?

สำนักประธานาธิบดีสหรัฐทวีตข้อความวันนี้ว่า พลเอกสก็อตต์ มิลเลอร์ ผู้บัญชาการระดับสูงของสหรัฐในอัฟกานิสถาน พบประธานาธิบดีอัชรัฟ กานี ผู้นำอัฟกานิสถาน เพื่อหารือ “ความช่วยเหลือและความร่วมมือของสหรัฐอย่างต่อเนื่อง”

สำนักข่าวเอพีรายงานคาดว่า ทหารสหรัฐราว 650 นาย จะยังอยู่ในอัฟกานิสถาน เพื่อให้ความคุ้มครองแก่นักการทูต และช่วยปกป้องท่าอากาศยานนานาชาติของกรุงคาบูล ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสำคัญสำหรับประเทศไร้ทางออกสู่ทะเลแห่งนี้

ทหารสหรัฐชุดนี้จะปกป้องสนามบินควบคู่กับทหารจากตุรกี พันธมิตรนาโต้ ขณะมีการเจรจาข้อตกลงใหม่เพื่อความปลอดภัยของสนามบินฉบับใหม่กับรัฐบาลอัฟกานิสถาน โดยสหรัฐจะใช้ระบบต่อต้านปืนครก ปืนใหญ่ และจรวด หรือ C-RAM ตลอดจนเฮลิคอปเตอร์ เพื่อปกป้องสนามบินร่วมกับทหารด้วย ส่วนทหารสหรัฐนอกจากชุดนี้จะคุ้มครองสถานทูตสหรัฐประจำกรุงคาบูล

นักวิเคราะห์ทางทหารระบุว่า ความสามารถของรัฐบาลอัฟกานิสถานในการควบคุมฐานทัพอากาศบากรัมต่อไป มีความสำคัญต่อความพยายามปกป้องกรุงคาบูลและผลักดันตาลิบันออกไป

ทั้งนี้ สงครามในอัฟกานิสถานคาดว่าคร่าชีวิตพลเรือนอัฟกันมากกว่า 47,000 ราย และทหารอัฟกันเกือบ 70,000 นาย ตลอดจน ทหารสหรัฐ 2,442 นาย และผู้รับเหมารักษาความปลอดภัยส่วนตัวของสหรัฐมากกว่า 3,800 ราย และทหารจากชาติพันธมิตรอื่นๆ 1,144 นาย

ส่วนค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐ มหาวิทยาลัยบราวน์วิเคราะห์ว่าสูงถึง 2.26 ล้านล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 72 ล้านล้านบาท


โควิด คร่าอินเดียพุ่ง 4 แสนราย WHO เตือนยุโรปเสี่ยงระลอกใหม่-สายพันธุ์เดลตาดุ

โควิดคร่าอินเดียพุ่ง 4 แสนราย – วันที่ 2 ก.ค. บีบีซี รายงานสถานการณ์โควิด-19 ในอินเดียว่า ยอดผู้เสียชีวิตทะลุ 400,000 รายแล้ว เป็นชาติที่สามของโลกต่อจากสหรัฐอเมริกา และบราซิล ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อในอินเดียอยู่ที่ 30 ล้านคน เป็นรองเพียงสหรัฐฯ โดยจำนวนผู้ป่วยรายวันเฉลี่ยในลดลงเหลือเพียง 40,000 คน ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จากระดับสูงสุดที่ 400,000 คน ในเดือนพฤษภาคม เป็นผลมาจากมาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการระบาดระลอกที่สามจะเกิดขึ้น ขณะที่รัฐบาลอินเดียส่งคณะผู้เชี่ยวชาญไปยัง 6 รัฐ ได้แก่ เกรละ อรุณาจัลประเทศ ตริปุระ โอริสสา ฉัตติสครห์ และมณีปุระ ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เพื่อจะประเมินสถานการณ์และตรวจสอบโครงการฉีดวัคซีนในแต่ละรัฐทั้งหก

ท่ามกลางความพยายามเร่งการฉีดวัคซีนของรัฐบาลตั้งแต่เดือนมกราคม ด้วยเป้าหมายให้ชาวอินเดียทั้งประเทศได้รับวัคซีนภายในสิ้นปีนี้ แต่ตอนนี้ประชากรได้รับวัคซีนครบถ้วนเพียง 5% ของประเทศ เนื่องจากการดำเนินการล่าช้า การขาดแคลนวัคซีน และความลังเลของประชาชนในการฉีดวัคซีน

วันเดียวกัน องค์การอนามัยโลกเตือนชาติยุโรปว่า อัตราการติดเชื้อที่หวนกลับมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ภายในสัปดาห์เดียวและเสี่ยงระบาดใหญ่ระลอกใหม่ ทั้งที่เดิมลดลงมาแล้วตลอด 2 เดือน มาจากการฉีดวัคซีนเชื่องช้า การเว้นระยะทางสังคมน้อยลง รวมถึงในมหกรรมฟุตบอลยูโร 2020 และการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาที่พบครั้งแรกในอินเดีย

นายฮันส์ คลูเกอ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ประจำภูมิภาคยุโรป กล่าวว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาอาจระบาดแซงหน้าสายพันธุ์อัลฟาอย่างรวดเร็ว โดยสำนักงานควบคุมโรคของยุโรปคาดว่า สายพันธุ์นี้จะครองสัดส่วนผู้ป่วยในยุโรปร้อยละ 90 ภายในเดือนสิงหาคมนี้ ขณะเริ่มทำให้ยอดผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาลและผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้นแล้ว

ในกรณีของรัสเซียตอนนี้ การระบาดมาจากการที่สายพันธุ์เดลตามีสถิติผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อรายวันต่อเนื่องมา 3 วันแล้ว ด้วยยอดเฉพาะวันพฤหัสบดีที่ 1 ก.ค. วันเดียว เสียชีวิต 672 ราย และติดเชื้อ 23,543 คน


WHO เตือน ยุโรปอาจเจอโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่

2 ก.ค. 64 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า องค์การอนามัยโลก เปิดเผยในวันพฤหัสบดีที่ 1 ก.ค. ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในทวีปยุโรปกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากลดลงมาตลอดช่วง 10 สัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับเตือนด้วยว่า จะเกิดการระบาดระลอกใหม่ หากผู้คนไม่ทำตามมาตรการควบคุม

นายฮันส์ คลูจ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ประจำภูมิภาคยุโรป กล่าวว่า ยุโรปกำลังใกล้จะเผชิญการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ และไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาจะเป็นสายพันธุ์หลักในเดือน ส.ค.

“จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใน 53 ประเทศในยุโรปได้ลดลงเป็นเวลา 10 สัปดาห์ติดต่อกัน แต่ช่วงเวลาดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 10% ในสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากยุโรปมีการผ่อนคลายมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม และมีการเดินทางมากขึ้น” นายคลูจ กล่าว

นายคลูจยังเตือนว่า ชาวยุโรปหลายล้านคนยังคงไม่ได้รับการฉีดวัคซีน แม้มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในอินเดีย และมีการแพร่ระบาดรวดเร็วกว่าสายพันธุ์อัลฟา ซึ่งพบครั้งแรกในอังกฤษ

นายคลูจ กล่าวว่า ระบบสาธารณสุขของยุโรปมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถรองรับผู้ป่วย ขณะที่จะมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ระลอกใหม่ก่อนฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ โดย 3 ปัจจัยที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงดังกล่าว ได้แก่ การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่, การฉีดวัคซีนที่ไม่เพียงพอแก่ประชาชน และการที่ประชาชนมีการพบปะสังสรรค์กันมากขึ้น


'ตุรกี' เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 โดสที่ 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์

2 ก.ค.64 : สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตุรกีเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โดสที่ 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนฉีดวัคซีนที่ดำเนินอยู่ของประเทศ

เมื่อวันพุธ (30 มิ.ย.) หลังการประชุมของคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ด้านเชื้อไวรัสโคโรนา ฟาห์เรตติน โคกา รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขตุรกี แถลงข่าวทางสถานีโทรทัศน์ว่าผู้ที่มีคุณสมบัติฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในรอบนี้ ควรทำการจองคิวเพื่อรับวัคซีนโดสที่ 3 ซึ่งจะไม่มีข้อจำกัดหรือจัดลำดับความสำคัญ เกี่ยวกับชนิดของวัคซีนที่ใช้เป็นโดสที่ 3

โคกากล่าวว่า คณะกรรมการฯ ยังตัดสินใจกำหนดให้ผู้ที่ป่วยโรคโควิด-19 สามารถฉีดวัคซีนได้หลังจากผ่านไป 3 เดือน จากเดิมที่กำหนด 6 เดือน พร้อมระบุว่ามีการประเมินแล้วว่าการทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มระดับแอนติบอดีและระดับการป้องกันในปัจจุบัน ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ตุรกี ซึ่งมีประชากรทั้งหมด 83 ล้านคน เริ่มแผนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั่วประเทศเมื่อเดือนมกราคม โดยฉีดวัคซีนซึ่งพัฒนาโดยซิโนแวค ไบโอเทค (Sinovac Biotech) บริษัทเภสัชภัณฑ์สัญชาติจีน ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้สูงอายุ และวัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทค (Pfizer-BioNTech) ซึ่งถูกเพิ่มเข้ามาในแผนฉีดวัคซีนไม่นานนี้

โคกากล่าวว่ามีการลดระยะห่างระหว่างการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของไบออนเทคจำนวน 2 โดส ลงเหลือ 4 สัปดาห์ จากเดิม 6 สัปดาห์ เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์เดลตา (Delta) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยโควิด-19 ของประเทศ โดยพบผู้ป่วยใน 26 จังหวัดและเพิ่มขึ้นเป็น 244 ราย จากสัปดาห์ก่อนซึ่งอยู่ที่ 138 รายใน 16 จังหวัด

ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดของกระทรวงฯ ระบุว่าตุรกีฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไปแล้วมากกว่า 50 ล้านโดส และมีประชาชนฉีดวัคซีนครบสองโดสแล้วมากกว่า 15.1 ล้านคน

ที่มา : xinhuathai

ฉลอง100 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้เงาสีจิ้นผิง

เว็บไซต์ไทม์ นำเสนอเรื่องราวของประเทศจีนภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ผู้นำรุ่นที่ 5 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสครบรอบ 100 ปี การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งมีการจัดงานเฉลิมฉลองในวันที่ 1 กรกฎาคม ก่อนวันก่อตั้งพรรคจริงในวันที่ 23 กรกฎาคม แม้ตัวสีจิ้นผิงเองจะบอกว่าความสำเร็จของจีนขึ้นอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์ แต่จริงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ก็เพราะตัวเขาเอง

พรรคคอมมิวนิสต์และประเทศจีนมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างภายใต้การนำของนายสีจิ้นผึง โดยนายสีได้ดำเนินการกวาดล้างเจ้าหน้าที่ทุจริตกว่า 100,000 คน ประกาศว่าสามารถขจัดความยากจนขั้นสุดขีดได้ และดูแลเปลี่ยนจีนจาก “โรงงานของโลก” ไปสู่แนวหน้าของเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงเช่น A.I. และ 5G แต่ชายผู้นี้ก็ได้แก้กฎหมายเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีจากเดิม 10 ปี เป็นไม่จำกัดซึ่งทำให้เขาสามารถปกครองจีนได้ตลอดชีวิต

พรรคไม่ได้โฟกัสแต่คนในประเทศอย่างเดียว นายสีทำตามความเชื่อของลัทธิเหมาที่ว่าอำนาจทางการเมืองออกมาจากปลายกระบอกปืน โดยเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม นายสีได้กล่าวภายในงานว่า ประเทศที่แข็งแกร่งจะต้องมีกองทัพที่แข็งแกร่ง

ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของนานาชาติ จีนอาจเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุดเพียงคนเดียวในการเติบโตทั่วโลก แต่ยังถูกหล่อหลอมขึ้นมาให้เป็นผีบูกี้แมนของโลก ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ที่มีความทะเยอทะยานในระดับโลกได้ให้คำมั่นว่าจะตอบโต้ทุกวิถีทาง “เพื่อพิสูจน์ว่าระบอบประชาธิปไตยได้ผล” มันเป็นความท้าทายที่ นายสีพูดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม โดยกล่าวว่า “ไม่มีกองกำลังต่างชาติจะได้รับอนุญาตให้กลั่นแกล้ง กดขี่ หรือปราบปรามประเทศของเขาอีกต่อไป ใครก็ตามที่พยายามทำเช่นนั้นจะพบว่าตัวเองกำลังเผชิญกับกำแพงเหล็กที่หลอมโดยชาวจีน 1.4 พันล้านคน” เขากล่าวพร้อมเสียงปรบมือดังกึกก้อง