ข่าว
ประทับวังไกลกังวลในหลวง-ราชินี พระพลานามัยแข็งแรงขึ้นมาก

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ห้องประชุมตึกอำนวยการ ชั้น 2 โรงพยาบาลศิริราช ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เปิดเผยถึงพระอาการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ภายหลังที่ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับไปประทับ ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ กว่า 3 สัปดาห์

ศ.คลินิก นพ.อุดม กล่าวว่า ทั้งสองพระองค์มีพระอาการดีขึ้นโดยลำดับในทุกด้าน โดยเฉพาะสภาวะทางด้านจิตใจที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้เสด็จกลับไปประทับในสถานที่ที่ทรงโปรดปราน ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ป่วยได้กลับบ้านไปพักฟื้น โดยทุกวันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ ศาลาแปดเหลี่ยม ริมชายหาดเพื่อทอดพระเนตรทัศนียภาพริมทะเล พร้อมทั้งทรงโปรดในการให้อาหารปลาบริเวณท่าลัดดา ซึ่งเป็นท่าน้ำทะเลสาบภายในวังไกลกังวลด้วย ทั้งนี้เมื่อไม่นานที่ผ่านมายังได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรอู่ต่อเรือใบของพระองค์ ด้วยความสนพระราชหฤทัยทำให้ทรงพระเกษมสำราญ

คณบดีคณะแพทยศาสตร์ กล่าวอีกว่า เช่นเดียวกับสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ ที่ทรงเสด็จพระราชดำเนินลงมาออกพระกำลังทุกตอนเย็นบริเวณศาลาเริง ทำให้ขณะนี้ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง ทรงพระดำเนินได้ดี ส่วนพระอาการปวดข้อพระกรข้างซ้าย และพระอังสาหรือหัวไหล่ก่อนหน้านี้นั้น ขณะนี้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาจนเกือบหายเป็นปกติแล้ว

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คณะแพทย์ยังได้ถวายการกายภาพบำบัดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แบบ Hydro Therapy โดยสระน้ำภายในพระตำหนักเปี่ยมสุข อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง.

แกนนำพันธมิตรฯ ออกทีวีประกาศสลายตัวยุติบทบาท

เมื่อ 23 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกแถลงการณ์ ซึ่งมีเนื้อหา ดังต่อไปนี้

แถลงการณ์ฉบับที่ 5/2556

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

เรื่อง แถลงการณ์ฉบับสุดท้าย

ตามที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2556 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะยังไม่นำมวลชนเคลื่อนไหวในช่วงเวลานี้ สืบเนื่องจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชน ได้ถูกกลั่นแกล้งโดยยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอันเป็นเท็จ และเพิ่มผู้ต้องหาจำนวนถึง 96 คน อย่างอยุติธรรมในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องการสร้างพันธนาการให้กับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาหลักนิติรัฐนิติธรรม แต่ศาลอาญาก็ได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อ. 973/2556 ให้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไขตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2556 ว่า

"ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อความเสียหายหรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล"

และศาลอาญาได้แถลงย้ำคำสั่งดังกล่าวอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ย่อมแสดงให้เห็นว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชนอีกจำนวนมากได้ถูกลิดรอนสิทธิจากคำสั่งดังกล่าวอย่างชัดเจน

หากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมโดยทำตามเงื่อนไขภายใต้คำสั่งศาลอย่างครบถ้วนก็จะเป็นเรื่องยากที่จะกำหนดยุทธวิธีในการชุมนุมให้ได้รับชัยชนะได้ในทางตรงกันข้ามหากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะฝ่าฝืนคำสั่งศาลในช่วงเวลานี้เพื่อให้ได้รับชัยชนะทางยุทธวิธีในการชุมนุมก็จำเป็นที่การเสียสละนั้นจะต้องได้รับผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้อย่างแท้จริงเท่านั้นและการเสียสละของแกนนำก็ไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นมาตรการส่งเสริมการขายภาพลักษณ์หรือสร้างคะแนนนิยมให้กับพรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรที่จะพ่ายแพ้ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้กับฝ่ายรัฐบาลในทุกกรณี

เมื่อวิเคราะห์แล้วเห็นว่าหากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำการชุมนุมคัดค้านปัญหาของประเทศรายประเด็นให้ได้ผลสำเร็จก็อาจคัดค้านได้อีกเพียงเรื่องเดียว ภายหลังจากนั้นเมื่อศาลมีคำสั่งให้ถอนการประกันตัว ก็จะมีปัญหาชาติในเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญตามมาอีกไม่สิ้นสุด ดังนั้นการเสียสละของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยการชุมนุมในปัญหารายประเด็นจึงย่อมไม่คุ้มค่ากับผลประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับในขณะนี้

ในทำนองเดียวกันหากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยเคลื่อนไหวให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระหว่างการชุมนุมก็อาจถูกถอนประกันตัวจนไม่สามารถนำชุมนุมให้ได้รับชัยชนะได้ แม้ต่อให้การชุมนุมขับไล่รัฐบาลไปได้สำเร็จ ก็อาจจบลงด้วยการยุบสภาที่พรรคเพื่อไทยก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีก หรือแม้หากมีการสลับขั้วทางการเมือง หรือ การรัฐประหาร โดยปราศจากเป้าหมายในการปฏิรูปประเทศไทย หลังจากนั้นปัญหาวิกฤติของชาติก็ยังอยู่เหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่น การแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง และหากมีการเลือกตั้งใหม่พรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณก็จะได้รับชัยชนะกลับมาเป็นรัฐบาลยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลโดยปราศจากความมุ่งมั่นของผู้ที่หวังจะเข้าสู่อำนาจในอนาคตที่จะปฏิรูปประเทศไทยปราศจากการเสียสละอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนแล้ว ย่อมไม่คุ้มค่าต่อประเทศชาติที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะนำการชุมนุม

ดังนั้นท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองที่มีความสลับซับซ้อนพัฒนาไปมากขึ้น ที่ไม่สามารถยุติปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการคัดค้านปัญหารายประเด็น และการแก้ไขปัญหาระบอบทักษิณก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น ปัญหาของประเทศชาติจึงถูกยกระดับไปเป็นระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งที่ทำให้การเมืองล้มเหลว ดังนั้น แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงเห็นว่าหากมีความจำเป็นก็พร้อมจะเสียสละนำการชุมนุมแต่การชุมนุมนั้นจะต้องได้รับผลคุ้มค่าต่อประเทศชาติเท่านั้นจึงกำหนดความคุ้มค่าของการชุมนุมที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอยู่ที่ "การชุมนุมเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองที่ล้มเหลวในปัจจุบัน และปฏิรูปประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเท่านั้น"

อย่างไรก็ตามนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลในระบอบทักษิณก็มุ่งเน้นที่จะแก้ไขกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้กับตัวเองและพวกพ้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภาอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองส่วนใหญ่ฝ่ายรัฐบาล โดยมีเป้าหมายในการที่จะครอบงำในการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมิให้สามารถตรวจสอบตัวเองได้เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในระหว่างช่วงปีพ.ศ. 2544 - พ.ศ. 2548 อันเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติมาจนถึงวันนี้ เราขอประณามนักการเมืองพรรคเพื่อไทยที่กระทำตัวเป็นทาสในระบอบทักษิณไม่มีสำนึกประโยชน์ของชาติ และสร้างวิกฤติให้แก่ประเทศชาติไม่มีวันจบสิ้น

ดังนั้นนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในนามตัวแทนแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงได้แสวงหาแนวร่วมเพื่อแก้ไขวิกฤติชาติให้ได้อย่างคุ้มค่าต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยได้เสนอทางออกให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์เสียสละลาออกมาเพื่อหยุดความชอบธรรมในจำนวนคณิตศาสตร์ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบอบเผด็จการรัฐสภาและสร้างกระแสเดิมพันหมดหน้าตักนำมวลมหาประชาชนทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อหยุดระบบการเมืองที่ล้มเหลว เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง และการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน 65 ล้านคน โดยไม่เข้าร่วมกับการเมืองในระบบนี้อีกไม่ว่าจะมีการยุบสภาหรือไม่ก็ตามจนกว่าจะได้รับผลสำเร็จตามเป้าหมายการปฏิรูปประเทศไทยหากเป็นเช่นนั้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็พร้อมเสียสละและจะร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองครั้งนี้เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าความเสี่ยงเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับ เพราะหากการชุมนุมของมวลมหาประชาชนเกิดขึ้นเมื่อใดโอกาสที่จะมีการปฏิรูปการเมืองครั้งนี้สำเร็จก็ย่อมมีสูงซึ่งผลที่ได้คือมีโอกาสหยุดปัญหารายประเด็นในปัจจุบันได้ และมีโอกาสหยุดการเมืองระบอบทักษิณในภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้ด้วย

ทั้งนี้ในยามที่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ยังไม่ตื่นรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ยังหลงอยู่ในวังวนของสงครามขั้วอำนาจของพรรคการเมืองต่างๆ ลำพังการนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยย่อมไม่มีพลังพอที่จะนำการชุมนุมเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยได้ในเวลานี้คงเหลือแต่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่มีศักยภาพพร้อมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น มวลชนที่มีฐานคะแนนถึง 12 ล้านเสียง นักปราศรัย นักกฎหมาย ฐานะการเงิน สถานีโทรทัศน์ ฯลฯ อีกทั้งผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์มิได้มีพันธนาการด้วยคำสั่งศาลเหมือนกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพรรคประชาธิปัตย์จึงย่อมอยู่ในฐานะที่จะนำการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้หากยอมเสียสละเพื่อเอาชาติเป็นตัวตั้ง

แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธไม่เสียสละลาออกจากระบบการเมืองล้มเหลวเพื่อออกมาร่วมสู้กับประชาชน ก็แสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังคงหวังเพียงแค่ทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายรัฐบาล หรือ หวังสลับขั้วทางการเมืองในวันข้างหน้า หรือ หวังโค่นล้มรัฐบาลโดยสนับสนุนมวลชนกลุ่มอื่นให้เสียสละแทนตัวเอง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพรรคการเมืองทุกพรรคในสภาผู้แทนราษฎรกำลังสมรู้ร่วมคิดรู้เห็นเป็นใจกันเพื่อรักษาระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งแบบนี้เอาไว้เพียงเพื่อรออำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองในปัจจุบันหรือในวันข้างหน้าเท่านั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เชื่อได้ว่ามีการปฏิรูปประเทศไทยภายใต้ทิศทางการนำของพรรคประชาธิปัตย์ เราได้วิเคราะห์เห็นแล้วว่าแนวทางดังกล่าวที่พรรคการเมืองทุกพรรคกำลังเดินหน้าอยู่นั้นจะนำไปสู่ความชอบธรรมของระบอบทักษิณที่จะได้รับชัยชนะในระบบรัฐสภามากขึ้นและจะกระชับอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนยากที่จะเยียวยาได้

การที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเสียสละในการนำชุมนุมย่อมไม่คุ้มค่าต่อประเทศหากมุ่งแต่เพียงคัดค้านปัญหารายประเด็นหรือโค่นล้มระบอบทักษิณโดยปราศจากการปฏิรูปประเทศ ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เสียสละที่จะนำการชุมนุมเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศอันเป็นประเด็นซึ่งคุ้มค่าที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะร่วมมือด้วยดังนั้นจึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะมีฐานะการนำมวลชนได้จริงในสถานการณ์และเงื่อนไขในปัจจุบันนี้

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบัน มีกลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่งที่มีความห่วงใยบ้านเมืองซึ่งสนใจแต่เฉพาะการชุมนุมคัดค้านปัญหาบ้านเมืองรายประเด็นหรือบางกลุ่มอาจสนใจที่จะเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณแต่เพียงอย่างเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนอยู่ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวทางของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตามที่กล่าวมาข้างต้น ในขณะแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็มิอาจสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนอื่นใดโดยปราศจากความรับผิดชอบในความคาดหวังต่อทั้งชัยชนะต่อประเทศชาติและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วมชุมนุมได้ดังนั้นการดำรงอยู่ของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็อาจเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มอื่นที่อาจไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้

ดังนั้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งรุ่น 1 และ รุ่น 2 จึงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ยุติบทบาทจากฐานะแกนนำ เพื่อเปิดโอกาสให้ แกนนำ นักปราศรัย ศิลปิน พิธีกร ประชาชน ฯลฯ ได้ตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกับกลุ่มใดก็ได้อย่างอิสระเสรี และเปิดโอกาสให้เกิดขบวนการใหม่ในสังคมไทย โดยไม่ต้องรอแถลงการณ์หรือมติใดๆจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีก

การยุติบทบาทครั้งนี้ถือเป็นยุทธวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบัน หรือผู้ที่มีโอกาสจะมีอำนาจในอนาคต รวมถึง ทหารภายใต้จอมทัพไทยและศาลที่กระทำการภายใต้พระปรมาภิไธย ตลอดจนผู้ที่มีบทบาทในบ้านเมือง รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้ตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ของตนเองและเลือกเดินทางของตัวเอง มากกว่าที่จะคาดหวังหรือรอมติการนำมวลชนโดยแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้เป็นตัวแปรหรือเป็นเครื่องมือที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายที่แท้จริงของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะเป็นอดีตรัฐบาลที่สร้างเงื่อนไขให้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนเป็นเหตุอันสำคัญยิ่งที่ทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่สามารถนำมวลชนได้เหมือนเช่นเดิมและในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้านในปัจจุบันไม่เสียสละลาออกมานำการต่อสู้แบบหมดหน้าตักร่วมกับประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองทั้งๆที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศไปแล้วว่าพร้อมที่จะเสียสละเข้าร่วมการในการปฏิรูปประเทศไทยครั้งนี้ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงยังคงเป็นปัญหาส่วนหนึ่งของประเทศและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปประเทศไทยด้วย พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องรับผิดชอบในผลที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อบ้านเมืองต่อไปด้วยเช่นกัน

เราขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าแม้แกนนำจะได้ยุติบทบาทไปแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอยู่เหมือนเดิม และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังคงอยู่เช่นเดิม อุดมการณ์ความเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังอยู่ในสายเลือดและจิตใจของทุกคนเหมือนเดิม และเรายังคงมีภาระหน้าที่ในการต่อสู้คดีความ เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ที่สูญเสีย บาดเจ็บ และเสียชีวิต ตลอดจนแสวงหาความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ถูกดำเนินคดีในระหว่างการชุมนุมต่อไป โดยในระหว่างนี้เราได้ขอให้สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี เว็บไซต์แมเนเจอร์ สื่อสิ่งพิมพ์และวิทยุในเครือ เอเอสทีวี-ผู้จัดการ ยังคงเป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมเพื่อนำไปสู่การให้ปัญญากับประชาชนและการปฏิรูปประเทศ โดยแกนนำที่ยุติบทบาทไปก็จะยังคงทำหน้าที่ให้ปัญญากับประชาชนตามหน้าที่และบทบาทของแต่ละคนเพื่อเป้าหมายในการนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริงเท่านั้น

จนกว่าสถานการณ์จะถึงพร้อมที่ประชาชนทุกกลุ่มได้ตื่นรู้และตั้งสติได้ว่าต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่หรือเมื่อสถานการณ์ที่ผู้มีอำนาจหรือผู้ที่มีโอกาสจะเข้าสู่อำนาจในกาลข้างหน้า เสียสละอำนาจและผลประโยชน์ในปัจจุบันหรือในอนาคตเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์ของคนไทย 65 ล้านคน เมื่อถึงเวลาดังกล่าวแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่แม้จะยุติบทบาทไปแล้ว ก็พร้อมจะกลับมารวมตัวกันใหม่เพื่อทบทวนบทบาทของตัวเองในการเคลื่อนไหวมวลชนอีกครั้งหากในเวลานั้นพี่น้องประชาชนยังคงต้องการพวกเรา

แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 พร้อมผู้ประสานงาน และมีการแต่งตั้งแกนนำรุ่นที่ 2 ต่อมาวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551 อีกทั้งยังมีมีการแต่งตั้งแกนนำรุ่นที่ 2 เพิ่มเติมในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 และวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เราขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ไว้วางใจพวกเราตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา และขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ได้เข้าร่วมชุมนุมแบบต่อเนื่องปักหลักพักค้าง 3 ช่วงเวลา เป็นจำนวนเวลาถึง 384 วัน 384 คืน จนได้รับผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของการชุมนุมทุกครั้ง จึงนับเป็นการชุมนุมโดยสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธของภาคประชาชนครั้งประวัติศาสตร์ที่ยาวนานที่สุดในโลก

เราขอยืนยันว่าจะยังคงแน่วแน่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของวีรชนและพี่น้องประชาชนที่เสียสละไม่เคยเปลี่ยน และขอให้มั่นใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นยุทธวิธีที่จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน


ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เศษซิการ์มัดตัว"สมีคำ" DNAเป็นพ่อเด็ก 11 ปี

เศษซิการ์มัดดีเอ็นเอ“สมีคำ”พ่อเด็ก 11 ปี นิติวิทย์-ดีเอสไอแจงผลตรวจพิสูจน์ 16 จุดแม่นยำสูงกว่าเอฟบีไอ

เมื่อวันที่ 22ส.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วยพ.ท.นพ.เอนก ยมจินดา ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แถลงผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอของนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระวิรพล ฉัตติโก (หลวงปู่เณรคำ) กับหญิงที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอดีตเณรคำ และเด็กชาย 11 ปีที่เป็นลูกชาย โดยพ.ท.นพ.เอนก กล่าวว่า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้รับวัตถุพยานเข้ารับการตรวจหลายชิ้น แต่ชิ้นที่สามารถสกัดดีเอ็นเอและนำมาตรวจสอบเปรียบเทียบความสัมพันธ์ได้คือ ซิการ์ใบจากที่อดีตเณรคำเคยสูบแล้วมอบให้ลูกศิษย์นำไปบูชา เนื่องจากมีเซลล์กระพุ้งแก้มติดอยู่

เมื่อนำไปตรวจเทียบกับดีเอ็นเอที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์เคยตรวจสอบความเป็นแม่ลูกของหญิงสาวและเด็กชาย 11 ปีแล้วปรากฏว่าดีเอ็นเอของอดีตเณรคำตรงกับเด็กชาย 16 จุด ซึ่งถือว่ามีความแม่นยำและเชื่อถือได้ว่าบุคคลดังกล่าวมีความสัมพันธ์เป็นพ่อ แม่ ลูกกันแน่นอน เนื่องจากเป็นการตรวจที่ละเอียดกว่าการตรวจดีเอ็นเอของเอฟบีไอที่ตรวจเพียง 13 จุดเท่านั้น ทั้งนี้ ยืนยันว่าผลตรวจทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถปลอมแปลงขึ้นได้

ด้านนายธาริต ยืนยันพยานหลักฐานที่นำมาใช้ตรวจสอบมีที่มาที่ไปน่าเชื่อถือโดยพนักงานสอบสวนได้มาจากพยานรายหนึ่งที่อาศัยอยู่พื้นที่สาขาของสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม โดยพยานรายดังกล่าวเคยเป็นผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาอดีตเณรคำ หลัง ได้ซิการ์แล้วนำไปเก็บรักษาใส่ถุงไว้อย่างดีเพื่อเก็บไว้บูชา เมื่อทราบข่าวว่าดีเอสไอรับดำเนินคดีความผิดของอดีตเณรคำจึงตัดสินใจนำวัตถุพยานมามอบให้ดีเอสไอ

อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าสำนวนคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีมีสำนวนสมบูรณ์แล้วพร้อมเตรียมส่งสำนวนฟ้องอัยการในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นจะประสานขอความร่วมมืออัยการสั่งฟ้องอย่างเร่งด่วนเพื่อเดินหน้าการขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป นอกจากนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างรวบรวมสำนวนดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น คดีฉ้อโกงที่ขณะนี้มีผู้เสียหายทยอยเข้าให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีผู้เสียหายประมาณ 50 ราย คิดเป็นความเสียหายประมาณ 100 ล้านบาท